อหิงสาจริงต่อสู้ด้วยความรักเป็นกุศลจิต
อหิงสาปลอมสู้ด้วยความโกรธเป็นอกุศลจิต
จดมุ่งหมายของการต่อสู้ด้วยอหิงสาคือการต่อสู้ เหนี่ยวนำไปสู่การชำระจิตใจของผู้ต่อสู้ คือใช้เงื่อนไขการต่อสู้เป็นการปฏิบัติธรรม การที่จิตไม่ถูกกระทบด้วยสิ่งปลุกเร้าต่างๆ ไม่ถูกกระทบด้วยวจีกรรม (ด่าทอ) ไม่ไหวติงหากถูกกระทบด้วยกายกรรม (การทุบตี) ไม่ถูกกระทบด้วยมโนกรรม (ไม่คิดอกุศล)
การต่อสู้ด้วยอหิงสาพุทธเป็นการสู้จากจิตภายในที่พัฒนาแล้ว หรือกำลังอยู่ระหว่างการพัฒนา คือเป็นการต่อสู้ระหว่างจิตอกุศลและจิตกุศล การระงับความโกรธได้คือชัยชนะ การระงับความเคียดแค้นคือชัยชนะขั้นต่อไป การระงับการจองเวรได้ การระงับความขุ่นมัวในจิตได้ นำสู่การยุติของจิตด้านมืดสู่จิตด้านสว่าง เห็นด้วยปัญญาเพราะเข้าใจสถานการณ์ มีสติรู้ชัดก็จะตามด้วยปัญญามิใช่ตามด้วยอารมณ์ นำสู่การวางเฉย ด้วยจิตที่ปราศจากการปรุงจนเข้าใจสิ่งต่างๆรวมทั้งสถานการณ์ด้วยใจที่เป็นกลาง เมื่อจิตยกระดับแล้ว มีความละเอียดประณีตพอแล้ว จึงจะปรากฏความสลด สังเวชต่อเงื่อนไขรุมเร้าต่างๆ จนถึงขั้นประจักษ์แจ้งในเหตุที่มา เกิดเวทนา จนถึงขั้นเผื่อแผ่ความรักความเมตตาได้ นั่นจึงจะเป็นการสู่ด้วยสันติอหิงสาที่สำเร็จด้วยจิตได้จริง (อ่านไฟล์แนบ_การต่อสู้แบบอหิงสาพุทธคืออะไร)
การต่อสู้ด้วยความรัก ความเข้าใจในเพื่อนมนุษย์ มิใช่การต่อสู้เพื่อเอาชนะ แต่เป็นการต่อสู้ที่เหนี่ยวนำจิตใจผู้ร่วมต่อสู้ไปสู่ภาวะจิตที่สูงขึ้น เป็นครรลองการพัฒนาของจิตแต่ละขั้นตอน มิใช่พากันฉุดรั้งให้จิตตกต่ำ หม่นหมอง อ่อนแอ และพ่ายแพ้ในที่สุด
จริงอยู่ว่าในระหว่างการต่อสู้นั้นผู้เข้าต่อสู้อาจเพลี่ยงพล้ำต่อศัตรู ด้วยจิตดวงที่ต่ำกว่า มีอกุศลมากกว่า แต่จิตก็พัฒนาได้ ยกระดับได้ และเป็นกระบวนการเรียนรู้ของนักสู้ทุกคนที่ต้องพัฒนาจิตด้วยตัวเอง
ดังนั้นขบวนฯจึงได้เสนอมาตลอดว่าการนำทางจิตวิญญาณจึงมีความสำคัญมากต่อการต่อสู้เช่นนี้ การนำทางจิตวิญญาณด้วยสันติอหิงสานั้นคือการปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้นทุกขณะจิตที่เผชิญต่อศัตรู ในขบวนต่อสู้ที่ใช้พลังสันติเป็นพลานุภาพในการขับเคลื่อนนั้นจำเป็นต้องมีการนำทางจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง นำพาให้ผู้ต่อสู้แบบอหิงสาได้มีกิจกรรมอันเป็น กุศลมูล สำหรับเป็นแรงจูงใจ มิใช่กิจกรรมแบบ อกุศลมูล เพราะนั่นคือขั้นตอนในการแยกแยะว่าจิตดวงที่ใช้ดำเนินกิจกรรมต่างๆเป็นจิตกุศลหรือจิตอกุศล อาทิ การนั่งสมาธิผจญการด่าทอด้วยคำผรุสวาท การขว้างปาข้าวของจากฝ่ายตรงข้าม ผู้ปฏิบัติการอหิงสาจะต้องกำหนดจิตให้ถูกต้อง รู้ทั้งนอกรู้ทั้งใน คือรู้ว่าเกิดสิ่งใดบ้างรอบตัว และรู้ภายในจิตว่าจิต ไม่มีความเคียดแค้น ทุนรนทุรายไปกับคำด่าทอหรือกิริยาเช่นนั้น
จึงมิได้เป็นการกล่าวอย่างเกินเลยแต่อย่างใดว่าการต่อสู้แบบอหิงสาพุทธนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูง ต้องอาศัยผู้ที่ฝึกฝนมา การนำเช่นนี้หากผู้นำเข้าไม่ถึงอุดมการณ์ ไม่เข้าใจธรรม ปฏิบัติไม่ได้แล้วละก็ จะไม่สามารถทำสำเร็จได้จริง
การต่อสู้ด้วยอาวุธที่เท่าเทียมกันระหว่างแนวร่วมนปช.VSแนวร่วมพันธมิตร
ปรากฏการณ์การนำพระสงฆ์จำนวนนับหมื่นรูปออกมาทำพิธีกรรมสงฆ์โดยพล ต อ.สล้าง บุนนาคที่ลานพระรูปทรงม้านั้นเป็นการฉุกคิดได้หรือว่าเป็นเพียงความต้องการเอาชนะฝ่ายพันธมิตร หลังการหยุดชะงักไม่นำกองทัพตำรวจไปยึดทำเนียบรัฐบาลคืนจากพันธมิตรมาสู่ขั้นตอนนำพระสงฆ์ออกมาปฏิบัติกิจสงฆ์ที่บริเวณลานพระรูปทรงม้าแทน จังหวะและเวลาก็คือหลังการพิพากษาคดีทักษิณ ชินวัตรในวันที่ 21 ตุลาคมหนึ่งวัน
เกิดปรากฏการณ์ฝนฟ้าคะนองฉับพลันในระหว่างพิธีกรรม พระสยามเทวาธิราช เทวดาอารักษ์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมืองทรงเป็นพยาน หากพลังบริสุทธิ์นั้นจะกลายเป็นดุลสำคัญในการเปลี่ยนแปลงประเทศชาติ แต่หากจะถูกใช้เป็นเพียงเครื่องมือสร้างความชอบธรรมเพื่อเอาชนะกันแล้ว ธรรมชาติจะสำแดงศักดาให้ปรากฏ ไม่ต่างกันเลยกับเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในวันที่ลูกเห็บตกที่ทำเนียบรัฐบาลฉันใด ฉันนั้น
ระหว่างพิธีกรรมพล ต.อ.สล้างได้แจ้งข่าวบอกสื่อมวลชนถึงแผนการของเขาที่จะทำการล้อมทำเนียบในอีกสามวันข้างหน้าเพื่อตัดเสบียงกรังพันธมิตรภายในบริเวณทำเนียบ โดยอ้างว่าไม่ใช่วิธีการรุนแรงและมิได้ระบุชัดว่ากำลังที่จะมาล้อมนั้นจะเป็นกำลังมาจากไหน พล ต.อ. สล้างในชุดเสื้อขาวกางเกงดำระหว่างยืนให้ข่าวกับจำนวนคนรายล้อมในเครื่องแต่งกายสองสีเหมือนกัน ในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์กำลังแสดงความชอบธรรมในการประกาศแผนการผ่านพิธีสงฆ์ที่จัดมาเบ็ดเสร็จโดยรัฐบาลสมชาย
เป็นที่แน่ชัดว่าการประกาศเกมใหม่กำลังเกิดขึ้นแล้วเพื่อยื้อให้เกมนี้จบช้าลงกว่าเดิม คือการทำให้ม็อบพันธมิตรมีเงื่อนไขเคลื่อนการต่อสู้ต่อไป โดยมีพล ต.อ. สล้างในฐานะแม่ทัพอาสาปราบม็อบเป็นภารกิจพิเศษ
หากเทียบการต่อสู้กันแล้ว แนวร่วมพันธมิตรได้ใช้สถาบันพระมหากษัตริย์มาเป็นเครื่องมือแสดงความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวด้วยการประกาศว่าสถาบันฯ(สมเด็จพระบรมราชินีนาถ) อยู่ฝ่ายตนและพวกเขาในฐานะทหารเสือพระราชินีพร้อมจะต่อสู้พิทักษ์ราชบัลลังก์ บัดนี้แนวร่วมนปช.กำลังจะใช้อาวุธที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันคือ สถาบันสงฆ์เป็นเครื่องมือในการต่อสู้ ด้วยการระดมนิมนต์ (สั่ง) ให้พระสงฆ์รุดเข้ากรุงเพื่อทำพิธีสวดมนต์
ขบวนฯ จึงจำเป็นต้องอธิบายถึงเหตุที่มาของปรากฏการณ์เช่นนี้ให้ครบสมบูรณ์ในจุดมุ่งหมายที่ซ่อนแอบมาอย่างแท้จริง ดังนั้นเพื่อเป็นการปกป้องสถาบันสงฆ์อันเป็นส่วนหนึ่งของสถาบันศาสนา ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ได้นำเอกสารชิ้นสำคัญคือ ข้อมติอหิงสาพุทธ เพื่อนำไปเผยแผ่ที่มหามงกุฎราชวิทยาลัย และมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เพื่อชี้แจงให้เข้าใจตรงกันว่าข้อมติอหิงสาพุทธคืออะไร การนำพระสงฆ์ออกมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองแบบผิดๆ เป็นเพียงอีก ภาพมายาหนึ่ง ของนักตบตา เล่นเกมทางการเมืองของรัฐบาลสมชายประกาศการปราบม็อบพันธมิตรใหม่ภายใต้การนำของพล ต. อ.สล้าง บุนนาค ที่ได้รับมอบหมายมาเป็นการพิเศษ
ลัทธิความรุนแรงซ่อนแอบอยู่ในสถาบันการศึกษาของพระสงฆ์
แท้จริงการทำแนวร่วมคอมมิวนิสต์พระสงฆ์เกิดขึ้นมานานแล้วในสถาบันการศึกษาของพระสงฆ์ทั้งสองสถาบัน คือมหามกุฎราชวิทยาลัยและมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย สิ่งที่สะท้อนชัดมากก็คือการเป็นผู้ฝักใฝ่ศาสนาแบบตกขอบ ทั้งสองสถาบันนี่เองที่เป็นแหล่งกระจายเอกสารยั่วยุความเกลียดชังระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิมอย่างเปิดเผย (ซึ่งจะอธิบายในตอนต่อไป) โดยอาจารย์พระสงฆ์ที่กลายเป็นแนวร่วมมุมกลับโดยไม่รู้ตัว
การตกเป็นกำลังของฝ่ายทำแนวร่วมนั้นปรากฏชัด ด้วยการปลุกปั่นพระสงฆ์ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ จนทำให้เกิดปรากฏการณ์พระบุกสภาขึ้นเมื่อปี 2550 โดยมีขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเคลื่อนพระสงฆ์ฝ่ายสันติเข้าไปสกัดแผนร้ายได้ทันท่วงที เกิดการชิงการนำกันขึ้นระหว่างพระสงฆ์สองฝ่ายในสองฟากถนนหน้ารัฐสภา ขบวนฯในฐานะผู้ขับเคลื่อนแนวทางสันติได้ทำวารสารพิเศษชื่อรัฐสภาวนารามขึ้นมาเพื่อใช้อธิบายแนวทางสันติ ต่อสู้กับการครอบงำพระสงฆ์ฝ่ายรุนแรงผ่านการนำของพระมหาโช ทัศนีโยผ่านรายการวิทยุสถานี FM 88.75
การเคลื่อนไหวแนวรุนแรงกระทำผ่านเครือข่ายองค์กรชาวพุทธ ๗ องค์กรโดยมีพล อ.ธงชัย เกื้อสกุลเป็นประธาน การต่อสู้หน้าสภานำมาซึ่งการรวมตัวของชาวพุทธที่มีทัศนะต่างกัน ทั้งฝ่ายเข้าร่วมและฝ่ายคัดค้าน การปักหลักหน้าสภาฯใช้เวลาประมาณสี่เดือนเต็ม ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้มีโอกาสร่วมงานกับพระนักสู้แนวสันติเพิ่มขึ้นอีกหลายรูปและส่งผลต่อเนื่องโยงใยไปถึงการประกาศแนวทางสันติที่เขาพระวิหาร
ปรากฏการณ์การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์ผ่านหลายองค์กร นำมาถึงเหตุการณ์พระมหาโช ทัศนีโย นำพระสงฆ์ที่จัดตั้งมาจากวัดธรรมกายเข้าบุกสภา ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ทำการเคลื่อนไหวประกบในนาม รัฐสภาวนาราม ภายใต้การนำของพระราชปัญญาเมธีในช่วงต้นและสู่การนำในช่วงที่สองโดยพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร (ประธานรัฐสภาวนารามและประธานสภาธรรมาธิปไตยคนปัจจุบัน) ใช้การเจริญมนต์แบบสันติต่อสู้กับความรุนแรงระหว่างที่พระมหาโชใช้เครื่องเสียงอีกด้านหนึ่งของริมถนนระดมพระให้ไปออกันที่บริเวณประตูทางเข้า เพื่อทำการบุก ระหว่างความชุลมุนนั้นก็เกิดการประทุษร้ายทางวาจาขึ้นจากพระปลอมกลุ่มหนึ่งที่เผยโฉมความรุนแรงออกมาด้วยการกระทำต่อแกนนำคนสำคัญคืออ.สมาน ศรีงาม ถึงขั้นพร้อมทำร้ายร่างกาย เรื่องจบลงได้ด้วยบารมีธรรมของพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโรที่ได้ทำการยุติการบุกสภาของพระสงฆ์ทั้งจริงและพระปลอมกลุ่มหนึ่งสำเร็จด้วยตาลปัตรหนึ่งอัน โดยมีพระราชปัญญาเมธีนำสวดมนต์
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ขบวนฯได้ยุติความรุนแรงและความเสื่อมเสียที่จะเกิดขึ้นกับสถาบันสงฆ์หรือสถาบันศาสนาได้เป็นผลสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง ไม่อาจคาดเดาได้ว่าหากมีการนำพระบุกสภาสำเร็จสถาบันศาสนาและพระสงฆ์ไทยจะได้รับความเสื่อมเสียถึงขั้นไหนในสายตาชาวโลก
จะเห็นว่าแนวสันติได้ขับเคลื่อนต่อกรกับการทำงานฝ่ายรุนแรงที่แอบซ่อนอยู่กับสถาบันศาสนามาช้านาน และเช่นกัน การเคลื่อนพระสงฆ์ไปใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมของทุกฝ่าย และนี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของการต่อสู้กันอย่างเป็นรูปธรรมของแนวสันติและแนวรุนแรงที่ซ่อนแอบมากับสถาบันสงฆ์
บทบาทของสถาบันฯในฐานะพลังสันติถ่วงดุลกับแนวทางรุนแรงมาตลอด 76 ปี
ดังที่ได้อธิบายในเมล์ฉบับก่อนว่า สถาบันพระมหากษัตริย์นั้นยึดแนวทางสันติมาโดยตลอด หากไม่ยึดแนวทางสันติโดยใช้ขันติบารมีอย่างยิ่งแล้ว ประเทศไทยอาจมิได้มีสภาพเช่นนี้ อาจตกอับมากกว่าเท่าที่ปรากฎในปัจจุบัน
เมื่อพูดถึงบทบาทของสถาบันในฐานะผู้ใฝ่สันติแล้ว ยังต้องพูดถึงบทบาทสถาบันกับผลประโยชน์ชาติด้วย ความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์ของคนต่างกลุ่มนั่นเอง ที่นำประเทศไทยสู่ความรุนแรง กรณีการสวรรคตของพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลรัชกาลที่ 8 นั้นเป็นกรณีหนึ่งสะท้อนความรุนแรงของการขึ้นสู่อำนาจ
ในทัศนะนี้จะเห็นว่าแนวทางสันติกับผลประโยชน์ชาติสวนทางกับผลประโยชน์ของคนส่วนน้อยที่กระทำความรุนแรง การสร้างเงื่อนไขของความรุนแรงสะท้อนได้หลายทาง แต่สูงสุดของความรุนแรงคือการคร่าเอาชีวิตคน เป็นอย่างนี้ทุกครั้งไปในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ประเทศไทยก็ไม่พ้นเงื่อนไขนี้เช่นกัน
เป็นเรื่องยากที่จะบิดเบือนว่าสถาบันฯใช้ความรุนแรงเป็น มือที่สาม เบื้องหลังการเมืองของสถาบัน ฯ เหตุเพราะว่าย้อนหลังกลับไปในอดีต ประเทศไทยได้เผชิญความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียชีวิตพระมหากษัตริย์ไปแล้วหนึ่งพระองค์ สถาบันฯย่อมเรียนรู้ที่จะดำรงอยู่ภายใต้เงื่อนไข ความเป็นไปได้ในการก่อความรุนแรง มาตลอดระยะเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันขึ้นครองราชย์ในเป็นเวลากว่า 60 ปี ทรงดำรงอยู่ภายใต้คลื่นใต้น้ำที่พร้อมโหมกระพือเป็นคลื่นยักษ์ได้ทุกเมื่อ พระองค์ทรงบำเพ็ญภายใต้แนวทางแห่งทศพิธราชธรรมและใช้พลังสันติเข้าสู้มาโดยตลอด พลังสันติสำแดงตนเองแล้วต่อชาวโลกเมื่อเกิดปรากฏการณ์คนเสื้อเหลืองในปี 2549 พิสูจน์บารมีธรรมท่ามกลางสายตาประชาคมโลก
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกไว้ก็คือหลายต่อหลายครั้งพระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญที่สุดคือการยุติความรุนแรงของกลุ่มผลประโยชน์หลายฝ่าย เช่นกรณีพฤษภาทมิฬเป็นต้น กรณีตุลาวิปโยคนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าสถาบันฯ ให้ความร่วมมือกับฝ่ายขวาจัด ทำหน้าที่เข่นฆ่าชีวิตนักศึกษาจำนวนมา จนทำให้อดีตนักศึกษาหลายคนที่กลายเป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองฝ่ายซ้ายแสดงอาฆาตมาดร้ายมาจนปัจจุบัน
คนไทยอาจลืมง่าย เรื่องนี้จำต้องบอกเล่าขยายผลข้อเท็จจริงต่อถึงขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ฝังตัวอยู่ในทุกภาคส่วนของสังคม ผู้ที่สะท้อนความเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันฯด้วยความชิงชังต่อฝ่ายซ้ายมักตกเป็นแนวร่วมมุมกลับได้เสมอ กลุ่มคนที่มีทัศนะขวาจัดก็กลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการเข่นฆ่าได้เช่นกัน เหตุการณ์ปี 2516 และ 2519 จึงเป็นเหตุการณ์สะท้อนความสำเร็จของขบวนการแนวร่วมในการสร้างเงื่อนไขก่อความรุนแรงสู่การก่อจลาจลได้สำเร็จ และนำประเทศไทยก้าวเข้าสู่ภาวะสงคราม นักศึกษาจำนวนมากหนีเข้าป่าและเข้าร่วมรบกับกองทัพแดง
ภาวะสงครามห้ำหั่นกันด้วยอาวุธนั้นมายุติลงในปี 2523 ด้วยนโยบาย 66/23 หรือคำสั่งนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 66 ออกในวันที่ 23 เมษายน พ.ศ.2523 เป็นนโยบายที่ใช้หลักพุทธศาสนามาประยุกต์เข้ากับแนวทางด้วยการกำหนด ไม่ฆ่า ไม่ด่า ไม่จับ และเปิดโอกาสให้ผู้หลงผิดออกจากป่ามาเป็น ผู้ร่วมพัฒนาชาติ อย่างมีเกียรติ นั่นคือหลักการของ อหิงสา อโหสิ นั่นเอง เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แนวทางสันตินำมาใช้ยุติความรุนแรงได้อีกครั้งหนึ่งผ่านการกำหนด นโยบายชาติ หรือนโยบาย 66/23ที่นำมาปฏิบัติเสร็จเพียงครึ่งเดียว (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ_กระทู้Manager Radio_จลาจลหน้าบ้านป๋าเปรมสะท้อนอะไรบ้าง)
ถิ่นกาขาวไม่ใช่ครึ่งดำครึ่งขาว
จะเห็นว่าทั้งสองสถาบันคือสถาบันพระมหากษัตริย์(ผ่านสมเด็จพระบรมราชินี) และสถาบันศาสนา (ผ่านพระสงฆ์กลุ่มหนึ่ง) กำลังถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของการเคลื่อนไหวเผชิญหน้ากันของทั้งสองฝ่าย สะท้อนให้เห็นว่าสองในสามสถาบันอันศักดิ์สิทธิ์ที่คนไทยต้องช่วยกันธำรงไว้ กำลังอยู่ในสภาวะไม่มั่นคง หรืออีกนัยหนึ่งปรากฏการณ์นี้กำลังสะท้อนปัญหาความมั่นคงของชาติ ไม่ต่างจากปัญหาความมั่นคงของอธิปไตยดินแดนในกรณีเขาพระวิหารเลยทีเดียว
สังคมไทยเต็มไปด้วยการตบตาหลอกลวงกันเอง ว่าขาวคือดำ ว่าดำคือขาว อ้างอิงยกย่องกันโดยปราศจากผู้รู้และการลงมือกระทำให้บังเกิดได้จริง แนวทางอหิงสาเป็นแนวทางสูงส่งสำหรับนักปฏิบัติธรรม จะนำลงมาอธิบายให้คุณค่าต่ำไปกว่าความเป็นจริงไม่ได้ ผิดหลักวิชา เป็นการดูแคลนธรรมะพระพุทธองค์ ยังคงต้องคงสถานะไว้ อย่าให้การตีความเข้าข้างพวกเดียวกันพาความหมายที่แท้จริงตกต่ำไปกว่านี้ ต้องเคารพปราชญ์และผู้นำทางจิตวิญญาณทุกคนที่ได้ลงมือกระทำให้บังเกิดมาก่อน และต้องอย่าเหยียบย่ำวิชาความรู้ด้วยคำพูดสรุปเอาเองตามใจพวกเดียวกันแบบง่ายๆ
ถึงเวลาที่ต้องนำธรรมะพระพุทธเจ้ามาอธิบายปรากฏการณ์ สถานการณ์ การเมือง ความเป็นไปของประเทศไทยในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นพันธมิตรหรือนปช.และพล ต.อ. สล้างไม่ใช่กลุ่มคนที่จะปฏิบัติแนวทางสันติได้จริงสมดังที่ลั่นวาจา เป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่ธรรมะจะเข้ามามีบทบาท ต้านความเห็นผิดทั้งหลาย เป็นหน้าที่ของผู้นำทางจิตวิญญาณทุกคนที่จะต้องสะท้อน หัวข้อธรรม ในทุกๆเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดความเห็นผิดในสังคมอันนำมาซึ่งการก่อความรุนแรงทุกฝ่าย ธรรมะพระพุทธเจ้ามิได้มีอยู่แต่ในวัด ความสูงส่งของพุทธิปัญญา สามารถนำมาใช้อธิบายปรากฏการณ์ทางสังคมและความผิดเพี้ยนของลัทธิมิจฉาทิฎฐิในประเทศนี้ได้อย่างหมดจดที่สุด
ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าการเมืองและการศาสนาผูกร้อยสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก เพราะทั้งสองอย่างมีไว้สำหรับจัดระเบียบสังคม ทำให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข การเมืองที่จะสร้างสันติสุขให้กับประเทศชาติได้อย่างถาวร จะต้องเป็นการเมืองที่ใช้การศาสนาเข้าไปประสาน จึงจะถูกต้องได้ การเมืองที่ปราศจากศาสนาเป็นเพียงการใช้อำนาจของผู้ปกครองที่อาจเห็นถูกเป็นผิดได้ เพราะการจะทำให้ถูกนั้น การถูกตามกฎเกณฑ์เป็นเรื่องสำคัญที่สุด
พุทธศาสนามีหลักอธิบายโดยพุทธิปัญญา ไม่เคยพึ่งพาโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ครอบงำผู้ใด ความสูงส่งของพุทธศาสนาคือความมีกฎเกณฑ์แบบวิทยาศาสตร์แต่มีความเหนือกว่าวิทยาศาสตร์ทางโลก การอ้างพุทธศาสนาหรือข้อธรรมมาอ้างผิดเพื่อให้การกระทำของตนเองหรือกลุ่มก้อนของตนเองให้มีความชอบธรรมเป็นการหลอกลวงทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น และเป็นการผิดกฎเกณฑ์ทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นเรื่องน่าละอายของผู้แอบอ้างทุกกลุ่ม
เป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคนต้องแสดงการรู้เท่าทันกลเกมของผู้ที่มุ่งหวังแต่เพียงเอาชนะคะคาน และเป็นช่วงเวลาสำคัญที่พุทธบริษัท 4 จะต้องออกมาทำหน้าที่ดำรงไว้บรรทัดฐานเดิมของอุดมการณ์สูงสุดของพระพุทธศาสนา หากมุ่งหวังจะสืบสานให้ประเทศนี้เป็นแผ่นดินแห่งพระพุทธศาสนาสมดังคำทำนายสืบไป