Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
รำลึกครบรอบ1 ปีสามคนไทยถูกทหารเขมรจับกรณีต่อสู้อย่างสันติรักษาอธิปไตยดินแดนเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพา
สำนักสื่อปฏิวัติสันติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
กรุงเทพ : ๑๖ ก.ค. ๒๕๕๒ : ๑๖.๕๐ น.
   
       เช้าตรู่ของวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๑ สามคนไทยถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับที่บริเวณทางขึ้นเขาพระวิหารหลังการนั่งสมาธิปฏิบัติธรรม 
หลังการพิสูจน์ทราบว่าอธิปไตยดินแดนไทยยังดำรงอยู่จริง  คนทั้งสามจึงถูกจับไปและกลายเป็นข่าวครึกโครมในรอบขวบปีที่ผ่านมา
 
      เพื่อเป็นการรำลึกถึงวันครบรอบ 1 ปีของการทำงานในวันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ของคณะธรรมยาตาคนชุดขาวซึ่งเดินธรรมยาตรากว่า 100 กิโลเมตรไปปักหลักอยู่ที่ผามออีแดงกว่า 3 เดือน      สำนักสื่อปฏิวัติขอนำภาพชุดเหตุการณ์วันที่ ๑๕ กรกฏาคม ๒๕๕๑ เมื่อ ในขณะที่ปัญญาชนคนไทยบางกลุ่มยังให้ความสนใจเรื่องการครบรอบกว่าร้อยปีของปฏิวัติฝรั่งเศส  แต่คนไทยส่วนใหญ่กลับไม่มีความรู้เลยว่า ณ พรมแดนไทย-กัมพูชาคือผลงานชิ้นสำคัญที่ชาติอาณานิคมฝรั่งเศสได้ทิ้งร่องรอยความขัดแย้งไว้ให้คนทั้งสองชาติอย่างไร
 
      ข้างล่างคือบางส่วนจากหนังสือชื่อ   "เปิดตำนานคนชุดขาว - ธรรมยาตราทวงคืนเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพาสู่ปัญหาอธิปไตยดินแดน ” เรื่องจริงของสามคนไทยที่ถูกทหารกัมพูชาจับตัวไป !! เขียนโดย ยอดมณี วัชรธรรม หนึ่งในสมาชิกธรรมยาตรา
 
      
      "... รุ่งเช้าของวันที่ 15 กรกฎาคม มีทหารพรานสองคนเข้ามาทำหน้าที่เวรยามเช่นเคย  คณะธรรมยาตราได้ตัดสินใจรุกอีกขั้นตอนหนึ่งต่อหน้าทหารพรานทั้งสองคนซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่สุดเพื่อก้าวเข้าไปในบริเวณประตูที่ปิดอยู่   โดยมีผู้อาสาข้ามรั้วไปสามคน คือพระคำพอง วิชาญ ทับซ้อน และสตรีอีกหนึ่งคือชนิกานต์ เก่งนอก  ในเวลาประมาณ 6.50 น. ประตูที่ถูกคล้องโซ่โดยเจ้าหน้าที่เขมรเป็นประตูโปร่ง   ด้านข้างไม่มีรั้วหนา   เป็นประตูที่ทำขึ้นคร่าวๆสำหรับเป็นการตรวจตราคนไทยที่ผ่านขึ้นไปเที่ยวบริเวณปราสาทเท่านั้น  ดังนั้นด้านข้างของรั้วจึงไม่ทึบ  และสามารถเล็ดรอดปีนผ่านเข้าไปได้โดยไม่ยากจนเกินไป    ได้ยินเสียงทหารพรานตะโกนร้องห้ามด้วยอาการที่ทำอะไรไม่ถูกเพราะคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่สามารถหยุดตัวแทนคณะธรรมยาตราได้ทัน ปฏิบัติการคราวนี้มีการบันทึกภาพวีดีโอและภาพนิ่งไว้โดยตลอด
      
       เมื่อคนไทยสามคนเข้าไปนั่งสมาธิเรียงหน้ากระดาน  มีพระคำพองนำเข้าไปก่อน  ต่อด้วยวิชาญ  ระหว่างนั้นได้มีหญิงชราชาวเขมรสองคนที่เดินเข้ามาทักทายยกมือไหว้พระด้วยความบริสุทธิ์ใจ  แต่เมื่ออาสาสมาชิกคนสุดท้ายคือชนิกานต์เข้าไปร่วมนั่งสมาธิได้ไม่นานเกินครึ่งชั่วโมง   ก็ปรากฎเจ้าหน้าที่ฝั่งกัมพูชาขึ้นหลายคน  ทั้งที่เป็นทหารในเครื่องแบบ นายตำรวจฯลฯ ที่ต่างตรงเข้ามาเจรจากับคนไทยสามคนที่นั่งปฎิบัติธรรมอยู่   นอกจากนั้นแล้วยังกรูกันเข้ามาถ่ายรูปคณะธรรมยาตราที่เหลืออยู่นอกประตู      มีการเจรจาอยู่ได้ไม่เกินสิบนาที  เจ้าหน้าที่เขมรก็ตรงเข้าจับกุมคนไทยทั้งสาม  และพาเดินลึกเข้าไปข้างในพ้นจากบริเวณ  ทิ้งสมาชิกธรรมยาตราที่เหลือนั่งปฏิบัติธรรมต่ออีกด้านหนึ่งต่อไป
                 
       ในขณะที่คนไทยได้อ่านข่าวสั้นๆว่าคณะธรรมยาตราประท้วงกัมพูชาด้วยการอดข้าวแต่เช้าตรู่ของวันที่ 15 กรกฏาคม  ในช่วงสายของวันเดียวกันหลังสามคนไทยถูกจับตัวไปได้ประมาณหนึ่งชั่วโมงกลุ่มธรรมยาตราที่เหลือและยังคงปักหลักปฏิบัติธรรมอยู่ที่บริเวณลานหินแดงก็ปรากฎว่าพลตรีกนก เนตรระคเวสนะผู้บังคับบัญชากองกำลังสุรนารี  ได้นำผู้การธัญญาและผู้กองวีรยุทธ สังเวพร้อมทหารพรานหลายสิบนายตรงมาบริเวณลานหินแดง   ด้วยความโมโหพลตรีกนกตรงไปทุบประตูที่ปิดตายและร้องบอกทหารกัมพูชาว่าให้เรียกนายมาคุยด้วย พร้อมร้องบอกให้ส่งคีมตัดเหล็กมาตัดประตู ทหารเขมรหลายนายตกตกใจวิ่งหนีห่างออกไปจากบริเวณประตู  เห็นชัดว่าพลตรีกนกผู้รับผิดชอบกองกำลังสุรนารีกำลังโกรธเอาเรื่อง    จากนั้นจึงหันมาบอกกล่าวคณะธรรมยาตราให้ออกไปจากบริเวณลานหินแดงที่ใช้นั่งปฏิบัติธรรมอยู่   สมาชิกชุดขาวค่อยๆถอยออกไปทีละคนสองคนหลังถูกรบเร้าหนักขึ้นยกเว้นเพียงอ.สมานที่ยังคงนั่งปฏิบัติธรรมอยู่แต่เป็นคนสุดท้าย  เมื่อไม่มีการขยับเยื้อนจากแกนนำ  พลตรีกนกจึงสั่งให้ทหารพรานหลายนายอุ้มอ.สมานด้วยมือเปล่าออกไปจากเส้นแนวที่กั้นรั้วลวดหนามพาไปอยู่ฝั่งที่ข้ามมา   จากนั้นการเผชิญหน้าระหว่างคณะธรรมยาตรากับทหารไทยแทนตำรวจและนายอำเภอ    เสียงพลตรีกนกแข็งกร้าว  ส่งเสียงบอกอ.สมานว่า “ผมรู้นะว่าคุณเป็นคนของใคร”  อ.สมานโต้ตอบไปว่า “ผมก็รู้ว่าผมเป็นคนของประชาชน”    การโต้ตอบด้วยวาจาระหว่างประชาชนชุดขาวและทหารหาญปกป้องอธิปไตยดินแดนเป็นไปไม่กี่ประโยคหลังจากนั้นไม่นาน....."   

      

 
   
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
ภาพข่าวชุดนี้บันทึกขึ้นโดยคณะธรรมยาตราชุดขาว โดยนายปิยวัตร หนึ่งในสมาชิกคณะธรรมยาตราที่อยู่ในเหตุการณ์ในขณะที่ยังไม่มีสื่อมวลชนรู้ข่าว
 

            ในวันที่ 7 กรกฎาคมตัวแทนคก.ปท.ก็ได้เดินทางตรงไปยังกรุงเทพเพื่อยื่นจดหมายเปิดผนึกประท้วงต่อองค์การยูเนสโกเรื่องให้ยูเนสโกยุติบทบาทการรับรองกัมพูชาโดยสิ้นเชิง  เพื่อรับรองให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก
มีเนื้อความดังนี้

          “ อาศัยมติเอกฉันท์ของการประชุมสมัชชาแห่งชาติครั้งที่ 1 ณ ผามออีแดง อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ วันเสาร์ที่ 5 กรกฎาคม 2551 ของคณะกรรมการแห่งชาติกอบกู้รักษาอธิปไตยของชาติด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย จึงได้ดำเนินการดังต่อไปนี้
          ตามที่องค์การยูเนสโก้องค์การสหประชาชาติได้รับคำขอของรัฐบาลกัมพูชาเพื่อพิจารณาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกนั้น คณะกรรมการแห่งชาติกอบกู้รักษาอธิปไตยของชาติด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย (คก.ปท.) ขอแจ้งแก่ยูเนสโก้ องค์การสหประชาชาติ และผู้เกี่ยวข้องทั้งสิ้นว่า ยูเนสโก้สหประชาชาติไม่สามารถจะรับพิจารณาจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิงเพราะเหตุผลดังต่อไปนี้..

          1.ยูเนสโก้สหประชาชาติจะต้องไม่ละเมิดอธิปไตยของประเทศสมาชิก และต้องปฏิบัติตามกฎบัตรสหประชาชาติ และยึดถือปฏิบัติกฎหมายระหว่างประเทศ ดังเช่น “กติกาสัญญาต้องยึดถือ” และต้องส่งเสริมให้ประเทศสมาชิกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดอีกด้วย โดยไม่ร่วมทำผิดหรือรับรองการกระทำที่ผิดกับประเทศใด ๆ ทั้งสิ้นทั้งในภาคีและนอกภาคี
          2.ปราสาทเขาพระวิหารโดยแท้จริงแล้วมิได้เป็นของกัมพูชาแต่เป็นของไทยมาตลอดจนกระทังบัดนี้ เพราะคำตัดสินของศาลโลกตั้งอยู่บนพื้นฐานของกติกาสัญญาที่เป็นโมฆะ คือ ข้อตกลง ไทย- ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946 เป็นโมฆะเพราะไม่มีสัตยาบันรับรองจากรัฐสภาไทย ฉะนั้น คำตัดสินของศาลโลก พ.ศ.2505 จึงเป็นโมฆะ ตามไปด้วย อย่างไม่อาจปฏิเสธได้แม้แต่น้อย
          3.ด้านการเมือง ฝรั่งเศสเป็นนักล่าอาณานิคม และจักรพรรดินิยม ได้รุกรานไทยหลังจากไทยได้ก่อตั้งรัฐชาติสมัยใหม่ เสร็จแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 จึงมีกฎหมายระหว่างประเทศคุ้มครองแล้วตามหลักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คือ ไม่รุกราน ไม่แทรกแซงกิจการภายใน เคารพในบูรณภาพแห่งอาณาเขต เสมอภาคในผลประโยชน์ร่วมกัน ฝรั่งเศสรุกรานบีบบังคับให้ไทยยกดินแดนให้ คือ ลาวฝั่งขวา และ กัมพูชาใน ที่เป็นส่วนหนึ่งของชาติสยามอันเป็นรัฐแห่งชาติสมัยใหม่แล้ว โดย บังคับให้เซ็นสัญญาสยามฝรั่งเศส ค.ศ. 1904 และ 1907 จึงเป็นสัญญารุกราน และไม่ชอบธรรม เป็นโมฆะ

          ต่อมา ฝรั่งเศสกลัวเยอรมันก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะเริ่มขึ้นได้ขอทาบทามไทยให้เซ็นสัญญาไม่รุกรานกัน ไทยยินดีรับคำทาบทามโดยขอปรับปรุงแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ดังกล่าว แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมตามคำขอของไทย และได้รุกล้ำอธิปไตยไทยด้วยการทิ้งระเบิดที่นครพนม จึงทำให้ไทยจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ และรักษาอธิปไตยของชาติ ทำสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศส อยู่ถึง 22 วัน ญี่ปุนจึงได้ขอเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ยโดยทั้งไทยและฝรั่งเศสต่างก็ยินดีให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ไกล่เกลี่ย จึงได้มีการเจรจากันขึ้น ณ นครโตเกียว โดยฝรั่งเศสยินยอมยกแผ่นดินที่เคยโกงเอาไป เมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 คืนให้แก่ไทยทั้งหมด (โดยแท้จริงแล้วไทยต่อสู้ยึดได้เอง) อนุสัญญาโตเกียวจึงทำขึ้นอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ 3 ขั้นตอน คือ เจรจา ลงนาม และให้สัตยาบัน รัฐสภาไทยได้ลงสัตยาบันรับรอง และได้จัดการปกครองมณฑลบูรพาเป็น 4 จังหวัด คือ ฝั่งกัมพูชาประกอบด้วย จังหวัดพระตะบอง และ พิบูลสงคราม ด้านลาว ประกอบด้วยจังหวัดจังหวัดนครจำปาศักดิ์ และลานช้าง มีการเลือกตั้งทั่วไป มีส.ส.ในสภา ปกครองอยู่ 5 ปี ฝรั่งเศสก็ได้มาโกงกลับเอาไปอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2  หยุดลง โดยบีบบังคับให้ไทยต้องยอมคืนดินแดนมณฑลบูรพาทั้งหมดให้ฝรั่งเศส ด้วยการเซ็นสัญญาเป็นข้อตกลง ไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946  โดยไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย ด้วยการรุกราน  การข่มขู่ บีบบังคับ จึงเป็นโมฆะ ไม่ชอบธรรม จึงไม่สามารถจะให้สัตยาบันจะไปยกเลิกอนุสัญญโตเกียวได้ เพราะเป็นสัญญากู้ชาติ และชอบธรรมที่มีรัฐสภาให้สัตยาบัน ดังนั้น มณทลบูรพา คือ จังหวัดพระตะบอง พิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จึงยังคงเป็นของไทยตลอดมา ตั้งแต่ ค.ศ.1941 จนถึงบัดนี้ และปราสาทพระวิหารจึงยังคงเป็นของไทยจนถึงบัดนี้เช่นกัน

          คำตัดสินของศาลโลก เมื่อ พ.ศ. 2505 นั้น เป็นการตัดสินตามข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสที่อยุติธรรมและเป็นโมฆะ ผิดทั้งด้านภูมิศาสตร์ คือผิดหลักสากล ที่ไม่ใช้หลักสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่ถูกต้องตามธรรมชาติ ตัดสิน กลับใช้แผนที่หยาบ ๆ เขียนด้วยมือ โดยฝรั่งเศสเขียนเอาฝ่ายเดียวมาตัดสินชี้ขาด ผิดทั้งด้านการรักษาอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเพราะกัมพูชาไม่มีทางขึ้น มีแต่หน้าผาสูงชัน ต้องมาขึ้นฝั่งไทยจึงไม่สามารถรักษาอธิปไตยกัมพูชาไว้ได้ ปราสาทพระวิหารจึงไม่ใช่ของกัมพูชา ไทยสามารถรักษาอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารได้ปราสาทฯจึงเป็นของไทย ไม่สามารถยึดสันปันน้ำได้ทำให้เขตแดนไทย-กัมพูชา ต้องอยู่ข้างล่างหน้าผาลงไปไม่ใช่ข้างบนปราสาท ต้องยึดถือเอาหลักการของยุคประวัติศาสตรสมัยใหม่ไม่ใช่ยุคโบราณ หรือยุคสมัยกลางมาตัดสินปัญหานี้ ดังนั้นปราสาทพระวิหารจึงเป็นของไทยในทุก ๆ ด้าน

          4.โดยแท้จริงแล้วเส้นแบ่งเขตแดนระหว่างไทย-กัมพูชา คือ ตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941 ที่มีร่องน้ำลึกและแม่น้ำโขงเป็นเกณฑ์ ไม่ใช่เส้นแบ่งเขตแดนตามสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904- ค.ศ. 1907 ที่ถูกยกเลิกไปแล้วโดยอนุสัญญาโตเกียว ข้อที่ 11 ว่า “บันดาบทบัญญัติแห่งสนธิสัญญา อนุสัญญา และความตกลงที่มีอยู่ระหว่างสยามกับฝรั่งเศส ซึ่งไม่ขัดแย้งกับบทบัญญัติแห่งอนุสัญญานี้ เป็นอันยังคงใช้อยู่ต่อไป”

           ข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1946 ไม่สามารถยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวได้ เพราะรัฐสภาไม่ให้สัตยาบัน แม้ ข้อ1ของสัญญาฯจะยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวก็ตาม คือ...  “ข้อ 1 อนุสัญญาโตกิโอ ฉบับวันที่ 9  พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสบอกปฏิเสธมาก่อนนั้นเป็นอันยกเลิก และสภาพก่อนอนุสัญญานั้นเป็นอันกลับสถาปนาขึ้น” และรัฐบาลพลเรือตรีถ.ธำรงนาวาสวัสดิ์ผู้เซ็นข้อตกลงระหว่างรัฐบาลก็ล้มไปนานแล้ว จึงไม่มีรัฐบาลนั้นมายึดถือปฏิบัติรักษาข้อตกลงของรัฐบาลนั้นอีกต่อไป จึงหมดสภาพไปตามรัฐบาลนั้นตามไปด้วยอย่างเป็นไปเอง ดังนั้น ตัวปราสาท ภูเขา และแผ่นดินจึงเป็นของไทยตลอดมา กัมพูชาจึงนำเอาปราสาทพระวิหารไปขึ้นมรดกโลกไม่ได้ เพราะผิดต่ออนุสัญญาโตเกียวต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายระว่างประเทศคือ “กติกาสัญญาต้องยึดถือ” อนุสัญญาโตเกียวเป็นกติกาสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสฉบับที่ถูกต้องมีผลบังคับใช้เพียงฉบับเดียวเท่านั้น ส่วนสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 ได้ถูกยกเลิกไปแล้วโดยอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ.1941  และข้อตกลงไทยฝรั่งเศส ค.ศ.1946 เป็นโมฆะ ไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย (เพราะตามหลักเกณฑ์กฎหมายเรื่องแผ่นดินไม่ว่าจะเอาเข้ามา หรือแบ่งแยกออกไปจะต้องผ่านรัฐสภาชี้ขาดเท่านั้น)

           5.ดินแดนมณฑลบูรพา เช่น พระตะบอง และพิบูลสงคราม นั้น ฝรั่งเศสได้โกงเอาไปจากไทย หลังจากไทยก่อตั้งรัฐชาติสมัยใหม่แล้ว เมื่อ ค.ศ. 1904 -1907 ไทยรบกับฝรั่งเศสเอาคืนมาได้ในสงครามอินโดจีน 22 วัน (De facto) และฝรั่งเศสยอมคืนให้ตามจริงที่ไทยยึดคืนมาได้ ส่วนที่ใดยึดไม่ได้ก็ให้ชดใช้เป็นเงิน (De Jury) โดยทำเป็นอนุสัญญาโตเกียวที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุดตามกฎหมายระหว่างประเทศ และชอบธรรมทั้งทางการเมืองกู้ชาติกู้แผ่นดิน

           หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงฝรั่งเศสมาโกงเอามณฑลบูรพาด้วยการรุกรานข่มขู่บีบบังคับจึงไม่ชอบในทางการเมืองอย่างยิ่ง และบังคับให้เซ็นข้อตกลงไทย- ฝรั่งเศสค.ศ.1946 จึงเป็นข้อตกลงที่รุกรานยึดครอง และไม่มีสัตยาบันรับรองจากรัฐสภาจึงเป็นโมฆะ
 ต่อมาฝรั่งเศสถอนตัวจากอินโดจีน (กัมพูชา ลาว เวียดนาม) เมื่อพ.ศ.2497 ฝรั่งเศสกลับไปทำผิดต่อหลักการการโอนอำนาจอธิปไตยคือต้องคืนให้แก่ไทย เช่นเดียวกับอังกฤษคืนมอญให้แก่พม่า ฝรั่งเศสโกงไปจากไทยโดยผิดทั้งทางการเมือง และผิดกฎหมายเป็นโมฆะ กลับทำผิดยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการโอนมณฑลบูรพาของไทยไปให้กับกัมพูชา ซึ่งก็จะมีผลเช่นเดียวกันคือ โมฆะ เพราะเป็นโมฆะตั้งแต่ต้นแล้ว กัมพูชารับโอนมณฑลบูรพาจากฝรั่งเศสเท่ากับ กัมพูชาร่วมทำผิดไปด้วยมีผลเป็นโมฆะเช่นเดิม เพียงแต่เพิ่มความผิดเข้าไปอีก 1 กระทง คือ การโอนอธิปไตย ว่าด้วยปัญหาชาติ และเพิ่มอีกกระทงหนึ่ง คือ การที่ประเทศกัมพูชาปกครองด้วยพรรคคอมมิวนิสต์ฮุนเซ็นจึงเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ที่จะต้องปฏิบัติหลักการสังคมนิยมไม่รับมรดกการล่าเมืองขึ้นของจักรพรรดิ์นิยมฝรั่งเศสต้องคืนดินแดนนั้น ๆ แก่เจ้าของเดิม อันเป็นการปฏิบัติหลักการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ(Peaceful Co-Existence) ถ้าไม่คืนจะเป็นเงื่อนไขสงครามเพราะไม่ถูกต้องยุติธรรม ถ้าจะอ้างว่าเป็นการสืบสิทธิก็เป็นการสืบสิทธิการโกง หรือความเป็นโมฆะ หรือสิทธิของนักล่าอาณานิคมจักรพรรดินิยมผู้รุกราน ฉะนั้น การที่รัฐมนตรีต่างประเทศกัมพูชากล่าวหาว่ากลุ่มประชาชนไทยที่เรียกร้องมณฑลบูรพา จะเป็นผู้ก่อสงครามกับอินโดจีนนั้น ไม่เป็นความจริงเพราะทั้ง 3 ประเทศที่ต้องปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์ต้องคืนดินแดนที่นักล่าอาณานิคมหรือจักรพรรดนิยมฝรั่งเศสโกงเอาไปจากไทย คือ มณฑลบูรพา แก่ไทย จึงจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ต่างหาก แต่การไม่คืนมณฑลบูรพาคือเงื่อนไขสงครามอันขัดต่อหลักสากลนิยมชนกรรมาชีพ คือ “การอยู่รวมกันอย่างสันติของประเทศที่มีระบบสังคมต่างกัน” ที่พรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา ลาว เวียดนาม จะต้องยึดถืออย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะพรรคพี่เวียดนามที่คอยช่วยพรรคน้องกัมพูชา

          ดังนั้น หลังจากไทยก่อตั้งรัฐชาติสมัยใหม่เสร็จแล้ว ฝรั่งเศสจึงได้โกงไทยครั้งแรกเมื่อ ค.ศ.1904-1907 ฝรั่งเศสโกงครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1946 ฝรั่งเศสโกงไปครั้งที่ 3 เมือโอนอธิปไตยเหนือมณฑลบูรพาให้กัมพูชา พ.ศ. 2497 กัมพูชาโกงไทยที่ไม่ยอมคืนให้ไทย กลับไปรับช่วงจากฝรั่งเศสเป็นครั้งที่ 4  กัมพูชาโกงครั้งที่  5 คือโกงตัวเองที่เป็นคอมมิวนิสต์แต่กลับไปรับช่วงมรดกของนักล่าอาณานิคม หรือจักรพรรดินิยมฝรั่งเศสที่คอมมิวนิสต์เป็นศัตรูและประณามว่าชั่วช้าเลวร้ายที่สุด แต่ตัวเองกลับเป็นเสียเอง

         กัมพูชากับฝรั่งเศสเมื่อโกงไปแล้วยังไม่พอยังมาโกงเอาปราสาทพระวิหารอีก ด้วยการยื่นฟ้องต่อศาลโลกเมื่อ พ.ศ. 2502 และโกงเอาไปตามคำตัดสินที่เป็นโมฆะ พ.ศ. 2505 เพราะตัดสินตามข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1946 ที่เป็นโมฆะ ทั้งหมดทั้งปวงนี้แสดงว่ามณฑลบูรพา และปราสาทพระวิหารเป็นของไทยทั้งทางกฎหมายและทางการเมืองตลอดมา
6.องค์การยูเนสโก้ สหประชาชาติ จะไม่รับช่วงการโกงหรือไม่รับรองการโกงของฝรั่งเศสและกัมพูชาปราสาทพระวิหารและมณฑล บูรพา ถ้าไม่รับการจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก ทั้ง ๆ ที่ ยังเป็นของไทยอยู่ ไม่ได้เป็นของกัมพูชาแต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่ถ้ายูเนสโก้รับจดทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก จะเป็นการละเมิดต่ออนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 อันเป็นกติกาสัญญาระหว่างประเทศที่ยูเนสโก้ต้องเคารพอย่างยิ่ง และเป็นการละเมิดต่ออธิปไตยของชาติสมาชิกคือละเมิดต่ออธิปไตยของไทย จึงเป็นการละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติอย่างร้ายแรง ทำให้ยูเนสโก้ถูกครอบงำเป็นเครื่องมือของพรรคคอมมิวนิสต์ฮุนเซ็นกัมพูชา

          ไทยยินดีที่จะนำเอาปราสาทพระวิหาร สระตราว สถูปคู่ และภาพสลักนูนต่ำขึ้นเป็นมรดกโลกนานแล้ว แต่ถูกฝรั่งเศสและกัมพูชาโกงเอาไปจึงยังทำไม่ได้ ถ้ากัมพูชาคืนให้ไทยก็จะผลักดันให้นำไปขึ้นเป็นมรดกโลกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ทันที เพราะปวงชนชาวไทยส่งเสริมให้เป็นมรดกโลกอย่างถูกต้องสมบูรณ์เต็มที่ตลอดมาอยู่แล้ว เราคัดค้านแต่ส่วนที่ไม่ถูกต้องเท่านั้น

           อนึ่ง ไทยได้สงวนสิทธิในอธิปไตยเหนือดินแดนกัมพูชา และลาว ถ้าอินโดจีนอธิปไตยเปลี่ยนไปจากฝรั่งเศสจะต้องคืนให้แก่ไทย รวมทั้งได้สงวนสิทธิในมณฑลบูรพาที่รัฐบาลเสรีไทย (Free Thai Government) ได้ยอมทำข้อตกลงแต่ไม่ยอมให้สัตยาบันคือทำให้เป็นโมฆะ รวมทั้งสงวนสิทธิในปราสาทพระวิหารต่อศาลโลกนั่นเอง

          จึงเรียนมาเพื่อยุติการขึ้นทะเบียนมรดกโลกปราสาทพระวิหารที่เสนอโดยรัฐบาลกัมพูชา ที่มิได้เป็นเจ้าของตัวจริงตามข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ.1946 ที่ไม่ได้รับสัตยาบันเป็นโมฆะ แต่ไทยต่างหากที่เป็นเจ้าของที่แท้จริงตามอนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 จะทำให้เกิดประโยชน์อย่างยิ่งต่อมนุษยชาติ และสันติภาพโลกถาวรตลอดไป อีกทั้งการกระทำใด ๆ ในกรณีนี้ของรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภาที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยย่อมไม่ถูกต้องเป็นโมฆะเพราะขัดต่อเจตจำนงค์ของปวงชนชาวไทยไม่เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตย และรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านการรับรองของรัฐสภาองค์กรแห่งอำนาจนิติบัญญัติที่สำคัญที่สุด จึงผิดต่อกฎหมายระหว่างประเทศอย่างสิ้นเชิง
 
 

           ขอแสดงความนับถือ

 

          (นายสมาน ศรีงาม)
          เลขาธิการคณะกรรมการแห่งชาติ กอบกู้ รักษาอธิปไตย
          ของชาติด้วยอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย(คก.ปท.)
          เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ 

 




Webboard is offline.