Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
ประเทศไทย....สร้างสันติภาพโลกถาวรด้วยพุทธศาสนาประชาธิปไตย
จาก “พุทธศาสนาประจำชาติ....สู่...ศาสนาประจำโลก”
โดย สมาน ศรีงาม
สำนักสื่อปฏิวัติสันติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
กรุงเทพ : ๑๕ ก.ค. ๒๕๕๒ : ๒๓.๕๐ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๐
   
        เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2550 วันวิสาขบูชาโลกโดยไทยเป็นเจ้าภาพในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลก ซึ่งได้มีตัวแทนชาวพุทธจาก 61 ประเทศเข้าร่วมในขณะที่ในประเทศไทยมีความเคลื่อนไหวเรียกร้องผลักดันให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติอย่างกว้างขวางใหญ่โต โดยพระสงฆ์ไทยและชาวพุทธทั่วทั้งประเทศ  และการเคลื่อนไหวได้ยกระดับขึ้นสู่สากลด้วยการจัดการเดินธรรมยาตราวิสาขบูชานานาชาติสร้างสันติภาพโลกถาวร (Lasting World Peace)  ถวายเป็นพระราชกุศล 80 พรรษา ถวายเป็นพุทธบูชาโดยเดินจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) สนามหลวงไปสู่พุทธมณฑล   โดยมีธงธรรมยาตราวิสาขบูชาสันติภาพโลกถาวรสีเหลืองฟ้ามีตราธรรมจักรและลูกโลก   มีข้อความในธงว่า “ ธรรมยาตราวิสาขบูชาวันสันติภาพโลก “ และภาษาอังกฤษว่า  “ The Vesak Day Walk The World Peace Day Walk ” ขนาด 5  X 3 เมตร 2 ผืนๆ หนึ่งติดตั้งบนรถแห่นำขบวน อีกผืนหนึ่งแห่อัญเชิญเดินโดยพระ 6 รูปแบบเดียวกับธงโอลิมปิกเดินธรรมยาตราฯ ตั้งแต่เวลา 12. 30 น. – 18.30 น. เวียนเทียนสวดมนต์รอบพระศรีศากยะทศพลญาณประธานพุทธมณฑลสุทัศน์ (องค์พระ) บรรลุธรรมสำเร็จอย่างงดงาม
 
      ในปีพ.ศ. 2551 ประเทศเวียดนามจะเป็นเจ้าภาพจัดงานวันวิสาขบูชานานาชาติ  ขบวนธรรมยาตราฯได้มีโครงการจะเดินธรรมยาตราวิสาขบูชานานาชาติสร้างสันติภาพโลกถาวร  ยกระดับวันวิสาขบูชาขึ้นเป็นวันสันติภาพโลกถาวร  จากพุทธมณฑลประเทศไทยสู่ประเทศลาว สู่ประเทศเวียดนาม ซึ่งจะมีพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธจำนวนมาก เข้าร่วมโยมีพระเถระผู้ใหญ่บางรูปได้เสนอว่าจะใช้ช้าง 99 เชือก ร่วมเดินธรรมยาตราเป็นต้น
 
      การสร้างสันติภาพโลกได้มีการเคลื่อนไหวมายาวนานโดยเฉพาะหลังสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง  ได้มีการตั้งองค์การระดับโลกขึ้นคือ สันนิบาตชาติ (The League of Nation)  หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และองค์การสหประชาชาติ (United Nations)  สันนิบาตชาติไม่สามารถรักษาและสร้างสันติภาพโลกได้เพราะหลักการจัดตั้งไม่สมบูรณ์  มีเพียง 3 หลักคือ อิสรภาพ เสมอภาค เสรีภาพ ในที่สุดเสียงข้างมากก็ลากไปทำสงครามโลกครั้งที่ 2  ต่อมาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีการจัดตั้งองค์การสหประชาชาติเพื่อรักษาสันติภาพโลกและรักษาความมั่นคงระหว่างประเทศ  โดยมีการเพิ่มหลักการจัดตั้งเข้าไปอีก 2 หลักคือ สุขุมคัมภีรภาพ  และดุลยภาพ ให้คณะมนตรีความมั่นคงเป็นสถาบันหลักเป็นผู้ถือดุล   ซึ่งประกอบด้วยมหาอำนาจที่ชนะสงครามเป็นฝ่ายพันธมิตร 5 ชาติ คือ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส รัสเซีย จีน ร่วมกันรับผิดชอบ (Collective Responsibility) ต่อความมั่นคงระหว่างประเทศและสันติภาพโลก  หลักสุขุมคัมภีรภาพคือ ไม่ให้สมัชชาใหญ่เป็นผู้ถือดุล  แต่ให้คณะมนตรีความมั่นคงเป็นผู้ถือดุลและเป็นสถาบันหลักแทน  โดยใช้หลักดุลยภาพ (Equilibrium) คือในมติสำคัญจะต้องลงมติเป็นเอกฉันท์และให้สิทธิ์วีโต้ (Veto) แก่สมาชิกคณะมนตรีความมั่นคง

       แต่ก็สามารถรักษาสันติภาพโลกชั่วคราวได้เท่านั้น  แม้จะไม่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 แต่ก็เกิดสงครามระหว่างชาติและสงครามกลางรุกราน  สงครามกลางเมืองกันอยู่ตลอดเวลา  ไม่เกิดสันติภาพถาวรเพราะเหตุที่ไม่มีการปฏิวัติทางสังคมอย่างสันติ (Peaceful Revolution)  กับการปฏิวัติจิตใจของมนุษย์ไปพร้อมกันซึ่งเรียกว่า “มนุษยปฏิวัติ” (Human Revolution)  มีแต่การปฏิวัติรุนแรง เช่น มหาปฏิวัติฝรั่งเศส (ซึ่งเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตย)

     การปฏิวัติด้วยสงครามประชาชนของรัสเซียและจีน (ซึ่งเป็นการปฏิวัติสังคมนิยมคอมมิวนิสต์) จึงทำให้การแก้ปัญหาระหว่างมนุษย์ (ประชาชาติ)  ยังคงใช้ความรุนแรงเป็นวิธีการต่อสู้  และการต่อสู้สูงสุดคือสงคราม  แม้จะใช้หลักการจัดตั้งของสหประชาชาติ  ระบบรับผิดชอบร่วมกันและคานกันไว้ของอำนาจโลก 2 ขั้วก็ตาม  แต่เมื่อโลกเสียดุล สหภาพโซเวียตล่มสลายก็เกิดการก่อการร้ายสากลสู้กับขั้วอำนาจเดียวกันคือ สหรัฐฯ  และสหรัฐฯก็ตอบโต้โดยตรงไม่ผ่านคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ  กลายเป็นสงครามบุกอัฟกานิสถานและอิรัก การก่อการร้ายสากลยิ่งรุนแรงขึ้น กลายเป็นสังคมโลกรูปแบบใหม่คือ “สงครามกับการก่อการร้ายสากล” ทำให้สหประชาชาติล้มเหลวในการรักษาสันติภาพโลก
       
      การปฏิวัติทางจิตใจของมนุษย์ก็ทำได้แต่เพียงในระดับบุคคลปัจเจกชน  โดยไม่สัมพันธ์สอดคล้องกับการแก้ปัญหาส่วนรวมอันเป็นสังคมที่มีการเมืองเป็นส่วนนำ   กลับขัดแย้งกัน  การเมืองใช้สงครามแก้ไขจิตใจใช้ธรรมะแก้ไข  จึงทำให้การปฏิวัติจิตใจของบุคคลปัจเจกชนไม่ก้าวหน้า ถูกขัดขวางจากการเมืองที่ใช้ความรุนแรง “สงครามครอบงำสันติภาพ” หรือปฏิวัติรุนแรงครอบงำปฏิวัติสันติ
 
         อีกประการหนึ่ง ในยุคหลังๆ นั้น บรรดาศาสนิกของแต่ละศาสนาเกิดความย่อหย่อนในการปฏิบัติธรรม   เข้าไม่ถึงหลักธรรมที่แท้จริงของแต่ละศาสนา เช่น ศาสดาของตนเอง คำสอนที่ถูกต้องถูกบิดเบือน หรือถูกผู้ปกครองผู้มีอำนาจรัฐใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือปกครองแบบเผด็จการและถูกระบบเศรษฐกิจครอบงำศาสนา เป็นต้น  ศาสนาแบบอัตตาก็ถูกใช้เป็นเงื่อนไขทำสงคราม  แม้ศาสนาเดียวกันก็รบกันเอง  ส่วนศาสนาแบบอนัตตาก็ถูกครอบงำจนไม่อาจจะแสดงบทบาทออกมาได้เพียงพอที่จะนำบุคคลปัจเจกชนและสังคมการเมืองไปสู่มนุษยปฏิวัติ  สร้างสันติภาพโลกถาวรได้

        ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกที่ทั่วโลกยอมรับ    อีกทั้งโลกยอมรับยกย่องให้วันวิสาขบูชาเป็นวันสากลของโลกเพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพที่แท้จริง  เพราะเป็นศาสนาอนัตตา  ประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ไทยนั้น  ได้ทรงนำเอาหลักทศพิธราชธรรมของพระพุทธศาสนามาเป็นหลักการของสถาบันพระมหากษัตริย์ใช้ปกครองและปกป้องกอบกู้ประเทศชาติตลอดมา  จึงทำให้ประเทศไทยมีเงื่อนไขเหมาะสมเพียงพอที่จะทำมนุษยปฏิวัติได้สำเร็จเป็นประเทศแรกของโลก (Novelty) เพราะคนไทยมีลักษณะพิเศษประจำชนชาติไทยอันสูงส่งเหนือกว่าชนชาติอื่นทั้งสิ้น คือ รักความเป็นไท (Love of Independence)  อหิงสา (Non-Violence)รู้จักประสานประโยชน์ (Power of Assimilation)  ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่สุดของการทำปฏิวัติสันติทางการเมือง พอดีกับประเทศไทยยังปฏิวัติประชาธิปไตยยังไม่แล้วเสร็จ (Democratic Revolution)  ซึ่งเริ่มขึ้นโดยพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช 3 พระองค์คือ รัชกาลที่ 5 รัชการที่ 6 และรัชกาลที่ 7 เพราะถูกทำลายลงการปฏิวัติรุนแรงโดยคณะราษฎร  เมื่อวันที่  24 มิถุนายน 2475 และต่อมาถูกการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ขัดขวางการปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติ  
 
         แต่ฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยอย่างสันติในแนวทางพระปกเกล้าก็สามารถต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์ลงได้ด้วย
นโยบาย 66/23 แต่ก็ยังสร้างประชาธิปไตยระดับสูงอย่างสันติในขั้นตอนที่ 2 ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายไม่สำเร็จ  เพราะยังถูกลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเผด็จการขัดขวางอยู่
   
        ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่เรายังปฏิวัติประชาธิปไตยยังไม่แล้วเสร็จ  ปฏิวัติช้ากว่าประเทศใดๆในโลก   เราจึงจะสามารถทำการปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยต่อจากพระมหากษัตริย์ไทยในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช 3 พระองค์ได้  อีกทั้งเกิดการเคลื่อนไหวใหญ่ต่อสู่เพื่อผลักดันเรียกร้องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติโดยพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธส่วนใหญ่ของประเทศ  ให้บัญญัติรับรองและรักษาไว้ในรัฐธรรมนูญ  ซึ่งเป็นรูปการเบื้องต้นของการ ปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยอย่างเป็นไปเองตามแนวทางประชาธิปไตยของสมเด็จพระปกเกล้าที่ทรงสืบทอดมาจากรัชกาลที่ 5 “สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง” พระบิดาแห่งประชาธิปไตย หรือ พระบิดาแห่งปฏิวัติสันติของไทย  ต่อสู้กับเผด็จการในรูปการความคิดคือ “ลัทธิรัฐธรรมนูญ”  ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ  เป็นเผด็จการตรงข้ามกับพระพุทธศาสนาและได้ขัดขวางกดขี่ทำลายพระพุทธศาสนาในประเทศไทยมาตลอดเป็นเวลายาวนานถึง 75 ปี    

         คณะราษฎรได้ทำลายปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ลงแล้วสถาปนาลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นครอบงำปกครองประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ. 2475  เป็นต้นมาจนถึงบัดนี้   !

        ขบวนการเผด็จการลัทธิรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฏฐิได้ทำการต่อสู้กับพระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธทั้งประเทศ  ไม่ยินยอมบัญญัติว่า “พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ” ลงในรัฐธรรมนูญเป็นอันขาด  เพราะจะเป็นการทำลายลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นเผด็จการและมิจฉาทิฏฐิที่พวกขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญได้อำนาจและได้ผลประโยชน์  จึงทำให้พระภิกษุสงฆ์และชาวพุทธยิ่งตื่นตัวและเริ่มมองเห็นความเป็นเผด็จการและมิจฉาทิฏฐิของลัทธิรัฐธรรมนูญชัดเจนยิ่งขึ้น  ได้ลุกขึ้นต่อสู้แบบอหิงสาครั้งใหญ่  โดยเริ่มปฏิบัติอหิงสาธรรมอดอาหารและนั่งปฏิบัติธรรม ณ รัฐสภาวนาราม  หน้าอาคารรัฐสภาติดกับสวนสัตว์ดุสิต (เขาดิน)  ถ.อู่ทองใน เขตดุสิต กรุงเทพฯ  เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2550 แต่ได้เริ่มปักกลดต่อสู้จนเป็นรัฐสภาวนารามตั้งแต่ วันที่ 27 มีนาคม 2550 อันเป็นกระบวนการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองทางปฏิบัติอย่างเป็นไปเอง  โดยมีสื่อสารมวลชนหลัก (Press Organ) คือ โทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ช่อง 5 สุวรรณภูมิแห่งยุคสมัย  รายการ “ร้อยยุทธศาสตร์ ล้านยุทธวิธี” และรายการรู้รักสามัคคี  รายการรักความเป็นไท สถานีวิทยุเสียงสามยอด (สสส) AM 1179 KHZ. และรายการสู่ชัยชนะ FM 92.25 MHZ. รวมทั้งสถานีวิทยุของพระพุทธศาสนา  ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือเผยแผ่โฆษณารวม   เสนอแนวทางเคลื่อนไหวรวม  จัดตั้งรวมและกำหนดยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีรวม โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในแนวทางพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 5 รัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 7 ร่วมกับขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติที่ยึดถือพระพุทธศาสนาเป็นสถาบันหลักและเป็นผู้ถือดุลแห่งศาสนาทั้งปวง

         ในขณะนี้ประเทศไทยอยู่ในสถานการณ์ปฏิวัติของระยะเปลี่ยนผ่าน (Transition Period) ในการปกครองเฉพาะ
กาล (Provisional Government) โดยคณะคมช.และรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่จะต้องยกเลิกระบอบเผด็จการทุนนิยมผูกขาด  สร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ  กำลังต่อสู้กับระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือเผด็จการพลเรือน  ซึ่งจะต้องนำเอาประชาธิปไตยแนวทางพระปกเกล้าที่เป็นการปฏิวัติสันติตามนโยบาย 66/23  เข้าต่อสู้จึงจะชนะคู่ต่อสู้ได้  จะใช้ลัทธิรัฐธรรมนูญโดยการร่างรัฐธรรมนูญแล้วเลือกตั้งแบบเผด็จการก็จะพ่ายแพ้ เช่นเดียวกับคณะรสช. เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอย   แต่จะต้องต่อสู้กับลัทธิรัฐธรรมนูญเช่นเดียวกับพระภิกษุสงฆ์ และชาวพุทธ จึงทำให้กลายเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์กันอย่างเป็นไปเองในท้ายที่สุด  จะได้ปฏิบัติภารกิจปฏิวัติสันติสร้างประชาธิปไตยแบบอหิงสาของพระพุทธเจ้าและของพระมหากษัตริย์ร่วมกันในท้ายที่สุด  อันเป็นการปฏิบัติธรรมทางการเมืองและทางจิตใจไปพร้อมๆกัน  ปฏิวัติเพียงด้านเดียว ด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
 
        เมื่อประเทศไทยได้ทำการปฏิวัติสันติแบบอหิงสาพุทธสร้างประชาธิปไตย  จะเกิดสัมพันธภาพระหว่าง “คนกับสังคม” (Man & Society) ระหว่าง “วัตถุกับจิต” ระหว่าง “ธรรมะกับประชาธิปไตย” ระหว่าง “โมกษธรรมกับการเมือง” ระหว่าง “ศาสนจักรกับอาณาจักร” ระหว่าง “สังขตธรรมกับอสังขตธรรม”  ระหว่าง “โลกียธรรมกับโลกุตตรธรรม” ระหว่าง “ความไม่มีกับความมี” หรือ “ศูนย์กับหนึ่ง” (0 กับ 1) ระหว่าง” จิตมนุษย์กับจิตสังคม” อันเป็นสัมพันธภาพภายในที่ถูกต้อง (Interrelationship) ของสรรพสิ่งและปรากฎการณ์ทั้งมวลจะบังเกิดเป็น “สันติภาพโลกถาวร” ขึ้นในประเทศไทยเป็นประเทศแรก

         สันติภาพโลกในประเทศไทยจะก่อผลสะเทือนแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งผ่านระบบโลกาภิวัตน์ (Globalization) ในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ มีความไวของเทคโนโลยีการสื่อสาร  จะยกระดับโลกทั้งใบจาก “โลกาภิวัตน์...สู่ประชาธิปไตยภิวัตน์...สู่ธรรมาภิวัตน์...สู่สันติภาพถาวรภิวัตน์ “ 

          ประเทศไทย จะเป็นผู้นำโลกหรือมนุษยชาติเปลี่ยนผ่านจาก “ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern History)” สู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Post Modern History) ที่เป็นยุคแห่งพระศรีอาริยเมตตรัยอย่างแท้จริง

          นี่คือยุทธศาสตร์โลกยุทธศาสตร์ธรรม “สร้างสันติภาพโลกถาวรด้วยพระพุทธศาสนาและประชาธิปไตย” อันเป็นมนุษยปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่สูงส่งและสูงสุดนั่นเอง         อันเป็นการพิสูจน์ว่า “ธรรมะย่อมเอาชนะอธรรม” และ”ประชาธิปไตยย่อมชนะเผด็จการ” และ “สันติภาพย่อมเอาชนะสงคราม” และ "เอกภาพย่อมชนะความขัดแย้ง” และ “ อนัตตาย่อมชนะอัตตา” ตลอดมาและตลอดไป  เป็นอนัตตากาลชั่วนิรันดร ตามคำสอนอันยิ่งใหญ่ของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระศาสดาเอกของโลกและจักรวาลพระองค์นั้น
 
 
 
 
 
สมาน ศรีงาม
รักษาการขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ
เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
11 มิถุนายน พ.ศ 2550
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
ภาพข่าวชุดนี้บันทึกขึ้นระหว่างการเดินธรรมยาตราวิสาขบูชาโลก The World Vesak Day for World Peace ในปีพ.ศ. 2550
 
 
 



Webboard is offline.