กระบวนการเข้าสู่แก่น....ประเทศไทยต้องการการสร้างประชาธิปไตย
มีข้อน่าสังเกตว่าทั้งสองฝ่ายคือพันธมิตรฯและนปช.มีคำอธิบายเหตุของการกระทำโดยใช้คำพูดเดียวกันคือ จะต้องนำเอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขกลับคืนมาอีกครั้งให้จงได้ ฝ่ายพันธมิตรบอกว่าจะเอาคืนจากฝ่ายรัฐบาลสมชายหรือรัฐบาลทักษิณ ส่วนฝ่ายนปช.บอกว่าจะต้องแก้ปัญหาการละเมิดกติกาของพันธมิตรต่อระบอบประชาธิปไตยด้วยการยุติการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตร ประชาธิปไตยจึงจะกลับคืนมาได้
ในอีกความหมายหนึ่งทั้งสองต่างกล่าวหาซึ่งกันและกันว่าคือตัวการทำลายระบอบประชา
ธิปไตย และทั้งสองมิได้ผิดแต่อย่างใดที่ทำการเคลื่อนไหวฝ่ายตนเพื่อสู้ในสิ่งที่เขาคิดว่าถูกสำหรับประเทศชาติ ทั้งสองฝ่ายต่างบอกว่าตนเองทำเพื่อประเทศชาติด้วยกันทั้งสิ้น
หากจะละเว้นไม่พูดถึงขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่อยู่เบื้องหลังทั้งพันธมิตรและนปช.ไว้ในฐานที่เข้าใจ เพราะผู้ไม่รู้เรื่องลัทธิและเคลื่อนไหวอย่างประชาชนผู้บริสุทธิ์นั้นย่อมมีอยู่ทั้งสองฝ่าย ปรากฏการณ์เช่นนี้กำลังสะท้อนความต้องการที่แท้จริงว่าประเทศชาติต้องการการสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นจริง !
คำตอบง่ายๆก็คือหากประเทศชาติต้องการประชาธิปไตยก็ให้เร่งสร้างประชาธิปไตย
ปัญหาจะได้ยุติลง แต่คำถามคือเพราะเหตุไรจึงแก้ปัญหาประชาธิปไตยไม่เคยสำเร็จ ?
สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นชัดเป็นรูปธรรมปัญหาเรื่องความเข้าใจประชาธิปไตยบนเวทีบน
เวทีพันธมิตรฯ กล่าวคือผู้ปราศรัยบนเวทีหลายคนได้หยิบยกเรื่องปัญหาระบอบมาพูดและยอมรับว่าระบอบที่มีอยู่ปัจจุบันนั้นคือ ระบอบเผด็จการรัฐสภา มิใช่ระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างที่ว่าตามกันมาแต่อย่างใด แต่เมื่อถึงคราต้องโต้อธิบายด้วยเหตุผลเพื่อ เอาชนะ นปช. นักปราศรัยบนเวทีพันธมิตรก็กลับไปประเด็นเดิมเพื่ออ้างความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวสรุปลงในประโยคที่ว่า ต้องการนำเอาการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขกลับคืนมา ร่องรอยความไม่เป็นเหตุเป็นผล สร้างความสับสนมากกว่าความเข้าใจ ทำให้มีข้อกังขาว่าผู้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรนั้น รู้เรื่องที่ตนเองกำลังพูดอยู่หรือไม่ หรือรู้แค่ไหน และระดับใด
เมื่อมองรูปธรรมปัญหาถึงขั้นนี้ ขบวนฯจึงได้ข้อสรุปว่าการแก้ปัญหาประชาธิปไตยไม่
สำเร็จนั้นเกิดจาก ความไม่รู้ นั่นเอง การสาวหาเหตุแก้ปัญหาประชาธิปไตยที่ถูกต้องสำหรับทั้งพันธมิตรและนปช.นั้นในเบื้องต้นต้องยอมรับก่อนว่าระบอบที่มีอยู่มิใช่ประชาธิปไตย แต่คือเผด็จการรัฐสภาฯ จึงจะเริ่มต้นแก้ปัญหาร่วมกันได้ถูกต้องทั้งสองฝ่าย การเคลื่อนไหวด้วยความไม่รู้จริงนำสู่ความรุนแรงด้วยอาการอาฆาตมาดร้ายต่อตัวบุคคลก็จะบรรเทาความรุนแรงลง เพราะหากจะโทษความเห็นผิดต่อตัวบุคคลแล้วก็จะหันไปเพ่งโทษความเห็นผิดของการมีระบอบผิดแทน จะเป็นวิธีการเดียวที่จะลดความรุนแรง เกลียดชังในจิตใจของทั้งสองฝ่ายได้
กฎเกณฑ์แห่งกรรม....พระปกเกล้ารัชกาลที่ ๗ ไม่ใช่สถาบันพระปกเกล้าฯ
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในฐานะผู้อธิบายเรื่อง ระบอบเผด็จการรัฐสภา สวนทางกับนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ในประเทศไทยทุกสถาบัน จนทำให้ข้อเท็จจริงนี้ปรากฏเป็นที่ยอมรับของปัญญาชนคนไทยเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยมีการต่อสู้ของขบวนการประชาชนผ่านพันธมิตรและนปช.(รัฐบาล) เป็นเงื่อนไขสำคัญ
แท้จริงแล้วสาเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งขั้นแตกหักในระหว่างนี้คือการที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภา จึงทำให้เกิดคู่ขัดแย้งดังกล่าว หากมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ความขัดแย้งก็จะไม่ลุกลามใหญ่โตถึงขั้นนี้ ขบวนฯจึงได้เสนอให้ทำการเปลี่ยนระบอบด้วยการสร้างประชาธิปไตย หรือที่เรียกว่า ปฏิวัติประชาธิปไตย ขึ้นมานั่นเอง โดยมั่นใจว่าการให้ความรู้เรื่องการปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution) จะเป็นทางออกทางเดียวของประเทศไทยที่จะกู้วิกฤตชาติครั้งนี้ได้สำเร็จ
ความไม่รู้ต้องแก้ไขด้วยความรู้ซึ่งเป็นคู่ตรงข้ามกัน อุปสรรคของ ความไม่รู้ ชัดเจนที่สุดของประเทศไทยเรื่องประชาธิปไตย มีสาเหตุหลักมาจากบทบาทของคณะราษฎรที่ทำให้คนไทยเชื่อว่าหลังการยึดอำนาจจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้ารัชกาลที่ ๗ ในวันที่ ๒๔มิถุนายน ๒๔๗๕ ได้แล้วคือการสร้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยสำเร็จ คณะราษฎรได้ดำเนินการทำให้ รัฐธรรมนูญ มีมนต์ขลังสะกดผู้มีโอกาสทางสังคมในประเทศ บินข้ามลัดฟ้าไปเรียนวิชากฎหมายฝรั่งเศสกันอยู่ชั่วอายุคน ความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย เป็นใบเบิกทางนำนักกฎหมายเข้าสู่สภาฯการเมือง
ดูเหมือนว่าในปัจจุบันการทำงานระดับนโยบายในประเทศไทยจะขึ้นอยู่กับการตีความทางกฎหมายประการเดียว คือถ้าชอบธรรมตามกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรานี้หรือมาตรานั้นแล้วจึงจะดำเนินการได้ หาเช่นนั้นแล้ว จะต้องยุติลง จนทำให้เกิดคำถามความหมายว่ากฎหมายนั้นมีไว้เพื่ออะไรกันแน่ ระหว่างเป็นข้อจำกัดและ/หรือเพื่อความชอบธรรมในการดำเนินการบางอย่าง และมีเจตจำนงอะไรในแต่ละตัวบทกฎหมาย
มรดกของคณะราษฎรสะท้อนผ่านสถาบันพระปกเกล้าในระยะหลายสิบปีที่ผ่านมา
สวนทางกับแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยในแนวทางของพระปกเกล้าฯรัชกาลที่ ๗ อย่างสิ้นเชิง การใช้แนวทางของคณะราษฎรดำเนินงานภายใต้ชื่อ สถาบันพระปกเกล้าฯ นั้นเป็นการบิดเบือนความจริงโดยมิชอบ และเป็นการตบตาคนทั้งประเทศอย่างไม่สง่างามเท่าไรนัก เพราะคณะราษฎรคือผู้แย่งชิงบทบาทการสร้างประชาธิปไตยของสถาบันฯ เมื่อแย่งชิงไปแล้วยังกลับมาใช้พระนามของพระองค์ในนามสถาบันฯ นี่คือความ ยอกย้อนซ่อนเงื่อน ไม่ซื่อตรงอีกคำรบหนึ่งของชนชั้นปกครองไทย
แนวทางการสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้าฯด้วยการปฏิวัติประชาธิปไตยซึ่งเป็น การปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution) นั้นมีหลักฐานปรากฏอยู่ในพระราชหัตถเลขาของพระปกเกล้ารัชกาลที่๗ ถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ เมื่อพ.ศ.๒๔๗๐ ว่า
การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเดิมเป็นตั้งกระทรวง ๑๒ กระทรวงนี้ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า พลิกแผ่นดิน ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า เรโวลูชั่น
การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงดังนี้มีน้อยประเทศนักที่จะทำสำเร็จไปได้
โดยราบคาบปราศจากการจลาจล หรือว่าจะไม่มีเลยก็เกือบว่าได้ ประเทศญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างพลิกแผ่นดินเหมือนประเทศสยาม แต่หาดำเนินการได้สงบราบคาบอย่างประเทศสยามไม่ ยังมีการจลาจลในบ้านเมือง เช่น กบฏสัตสุมา เป็นต้น
กฎเกณฑ์แห่งกรรมอันนี้ทำให้สถาบันพระปกเกล้าฯไม่สามารถเป็นตัวกลางเจรจาแก้
ปัญหาประเทศชาติท่ามกลางขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ได้เลยแม้แต่น้อย เพราะสถาบันพระปกเกล้าฯคือผู้สืบทอดมรดกทางความคิดของคณะราษฎร นี่คือผลแห่งกรรมที่สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางการปฏิวัติประชาธิปไตย จะไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ
นี่คือฝ่ายอุปสรรคของการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยกลุ่มหนึ่ง ที่ขบวนฯเรียกว่านักวิชาการ เสาค้ำรัฐธรรมนูญ (อ่านเพิ่มเติมภัยจากลัทธิรัฐธรรมนูญ) ยังมีอีกอุปสรรคหนึ่งนอกเหนือจากสายเสาค้ำนี้คือ สายนักคิดสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ โดยตรงที่ไม่ต้องผ่านแนวร่วม นั่นก็คือ การต่อสู้ระดับความคิดของฝ่ายประชาธิปไตยกับฝ่ายสำนักคิดคอมมิวนิสต์นั่นเองซึ่งจะกล่าวถึงในบทต่อไป
ใครเข้าถึงสัจธรรมก่อนดำเนินการก่อน
นักเคลื่อนไหว นักปราศรัยบนเวที นักวิชาการ นักจัดรายการ มักชอบอ้างว่า เรื่องที่เขาพูด คิดขึ้นมาก่อนใคร เป็นการแสดงตนแบบมีอัตตา ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือคนเราสามารถคิดเรื่องเดียวกันได้ และแสดงออกมาด้วยการพูดหรือการกระทำเกือบจะพร้อมๆกัน แต่มักไม่ยอมกัน เรื่องนี้สะท้อนความมี อัตตา ของปัญญาชนไทย ที่เข้าไม่ถึงหลักศาสนา
เรื่องการปฏิวัติประชาธิปไตยนี้ จริงๆแล้วพระมหากษัตริย์ดำเนินการมาก่อนใครทั้งสิ้น และดำเนินการมาร้อยกว่าปีแล้ว แต่ยังไม่สำเร็จ เพราะมีอุปสรรคจากนักเรียนหัวนอกตะวันตกเสียเป็นส่วนใหญ่ เช่นอ.ปรีดีเป็นต้น หมดจากยุคอ.ปรีดี ในสมัยนี้เราก็มีอ.บวรศักดิ์ อุวรรโณ ฯลฯ
ที่ทรงดำเนินการมาก่อนเพราะทรงเห็นสัจธรรมก่อนใคร คือสัจธรรมของการเปลี่ยนแปลงในโลก ในยุคที่มีการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้นการเมืองโลกเปลี่ยน ประเทศสยามภายใต้สังคมโลกก็จะต้องเปลี่ยนไปด้วย และเป็นการเปลี่ยนที่สอดคล้องกับยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลง คือการเปลี่ยนจากยุคประวัติศาสตร์เก่าสู่ประวัติศาสตร์สมัยใหม่ในช่วงลัทธิล่าอาณานิคม การสื่อสารด้วยพิธีทางการทูต การคุกคามทางการทหาร ฯลฯ เปลี่ยนจากยุคเกษตรกรรมสู่ยุคอุตสาหกรรม โลกทั้งใบกำลังเปลี่ยนจากยุคเจ้าครองนคร และเศรษฐกิจแบบศักดินาสู่การผลิตแบบใหม่ ที่ต้องปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมการผลิตใหม่ที่ส่งผลต่อสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครองทั้งองคาพยพ
การเห็นพลวัตการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ทำให้พระมหากษัตริย์ผู้ทรงมองการณ์ไกล เริ่มต้นการเปลี่ยนระบอบด้วยพระองค์เอง พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ มิได้ทรงจะยึดอำนาจไว้กับพระองค์เอง ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้าที่จะมอบให้แก่ประชาชน เมื่อได้รับการกราบบังคมทูลจากกรมพระนเรศวรฤทธิ์ให้เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยนั้น ทรงตอบโต้เป็นพระราชหัตถเลขา ว่ามิได้ทรงเป็น คางคกตกอยู่ในกะลาครอบ ดังปรากฏในวรรคที่ว่า
ไม่ต้องห่วงระแวงอย่างหนึ่งอย่างใดว่าเราจะเป็นผู้ขัดขวางในการที่จะเสียอำนาจซึ่งเรียกว่าแอบโซลูตเป็นต้นนั้นเลย...แลการที่ควรจะทำการทำนุบำรุงให้เจริญอย่างไรเล่า เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะจัดการนั้นให้สำเร็จตลอดไปได้...แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่จะเปลี่ยนมาแต่ก่อนจนมีเหตุบ่อยๆ เป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนอย่างคางคกตกอยู่ในกะลาครอบ ที่จะทรมานให้สิ้นทิฎฐิ ถือว่าตัวโตนั้น ด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
วิบากของประเทศ สะท้อนผ่านการทำงานและความไม่เข้าใจของพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เมื่อมีผู้คิดค้นการประยุกต์แนวทางการปฏิวัติสันติอีกครั้งหนึ่งผ่านนโยบาย๖๖/๒๓ พลเอกเปรมได้นำนโยบาย ๖๖/๒๓มาปฏิบัติเพียงขั้นตอนที่หนึ่งแต่มิได้ปฏิบัติภารกิจขั้นตอนที่สองให้แล้วเสร็จ เท่ากับเป็น การปฏิวัติครึ่งเดียว สาเหตุของการปฏิวัติครึ่งเดียวของพลเอกเปรมนั้น มิได้เกิดจากต้องการให้ประเทศชาติล่มจมไปตามกาลเวลาหากแต่เกิดจาก ความไม่รู้ หรือการเข้าไม่ถึงสัจธรรมของพลเอกเปรมเอง ดังนั้นเมื่อมีการเสนอการเปลี่ยนระบอบอีกครั้งด้วยข้อเสนอ
สภาปฏิวัติ ในปี ๒๕๓๑ โดยคณะบุคคลหนึ่ง ริเริ่มโดยอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร นั้น พลเอกเปรมกลับแสดงการไม่เอาด้วยกับสภาปฏิวัติที่เสนอการถวายคืนพระราชอำนาจ ด้วยการชิงเดินทางไปต่างประเทศเสียก่อน ในครั้งนั้นฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตยได้ทูลเกล้าถวายฎีกา แต่ขาดผู้สนองพระบรมราชโองการขั้นตอนสำคัญของการถ่ายโอนอำนาจนั่นเอง
ผู้คิดค้นนโยบาย ๖๖/๒๓นั้นมิได้ยกตนข่มท่านว่าเป็นผู้คิดค้นทฤษฎีนี้มาก่อน หากแต่ได้อธิบายว่านโยบายนี้มาจากการนำแนวทางสร้างประชาธิปไตยของพระปกเกล้าฯรัชกาลที่ ๗ มาประยุกต์ใช้ ผู้ที่เริ่มเห็นจริงแล้วว่าแนวทางนี้เป็นคำตอบของปัญหาหากแต่ยังตะขิดตะขวงใจกลัวการผิดพวกผิดพ้องก็จะได้สบายใจ เพราะว่าผู้นำเสนอแนวทางมิได้อ้างตนว่าเป็นเจ้าของผลงานเหมือนการเลื่อนขั้นของระบบราชการ หรือผู้ถือยศติดศักดิ์ทั้งหลายตามโลกธรรม ๘ แต่เป็นเพียงผู้ปฏิบัติทฤษฎีให้บังเกิดเป็นจริง หากน้อมใจกันนำไปปฏิบัติก็เท่ากับว่าได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาต่อบูรพมหากษัตราธิราชเจ้า ๓ พระองค์ที่ได้ทรงเพียรสะสมความรู้ทิ้งไว้ให้มากมาย
เป็นไปดังที่ปราชญ์ราชบัณฑิตสรุปไว้ว่า ผู้ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศไทยได้นั้น จะต้องเป็นผู้บรรลุโมกษธรรมระดับหนึ่ง เพราะขบวนเผด็จการในประเทศไทย ได้กระชับแน่นและวางหมากกลตบตาไว้หลายชั้นจนผู้ไม่ถึงธรรม จะไม่มีวันมองทะลุไปถึงแก่นของปัญหาได้
จะหยั่งรู้ทุกข์ของประเทศได้ ต้องละการมองปัญหาด้วยการใช้หลังพิงพวกพ้อง ละวางสักกายทิฎฐิระดับกลุ่มบุคคล พิจารณาความไม่เที่ยงของการรวมตัว มองเห็นปัญหาโดยปราศจากฉันทาคติต่อพวกตนและอคติต่อฝั่งตรงข้ามได้ เป็นการรุกคืบด้วยการถึงสัจธรรม ใครถึงก่อนก็ได้กำไรทางจิตวิญญาณไปก่อน
วิธีคิดแบบนี้จึงจะแก้ปัญหาการอ้างว่ากลุ่มตน พวกตนคิดและทำเรื่องนี้มาก่อนใคร และจึงจะละตัวตนไม่เป็นเจ้าของทฤษฎีได้ สามารถทำงานส่วนรวมโดยไม่ต้องแสวงหาบทบาทอย่างเป็นไปเอง
การรุกคืบของฝ่ายสันติด้วยการปกครองเฉพาะกาลต่อทุกฝ่าย
ปรากฏการณ์การเดินธรรมยาตราของเกษตรกรชาวนาจำนวนหลายพันคนเพื่อเสนอ การปกครองเฉพาะกาล เป็นทางออก เมื่อวันที่ ๓๐ ตุลาคมหลังการชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้าของคนจำนวนนับหมื่นพร้อมการปราศรัยนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาด้วยการถวายฎีกา การปกครองเฉพาะกาล (Provisional Government) เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน
เกิดสิ่งใหม่ขึ้นเมื่อหนึ่งในแกนนำพันธมิตรคือพลตรีจำลอง ศรีเมืองประกาศยอมรับแนวทาง การปกครองเฉพาะกาล ที่ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเสนอ ไล่เลี่ยกันกับการตอบรับการปกครองเฉพาะกาลโดยอ.บวรศักดิ์ อุวรรโณในนามสถาบันพระปกเกล้าฯผู้สืบทอดแนวทางคณะราษฎรตามที่ปรากฏเป็นข่าว พร้อมๆกับพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะก็ยอมรับ รัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งเสนอโดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ด้วยเช่นกัน
นี่คือเหตุการณ์สะท้อนความพ่ายแพ้ของลัทธิรัฐธรรมนูญต่อประชาธิปไตยอย่าง
สิ้นเชิง ปรากฎชัดเมื่อเกิดกรณีการถกเถียงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และสสร.๓นั้น จนได้ข้อสรุปว่าการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่เกิดประโยชน์อันใด และไม่ใช่ทางออกของประเทศ !
ในขณะที่การต่อสู้กันทางความคิดกำลังเข้มข้นจากปฏิกิริยาของทุกฝ่ายหลังการเสนอเรื่องการปกครองเฉพาะกาลผ่านพ้นไป สงครามตัวแทนประชาชนก็กำลังอ่อนล้าลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในขณะที่ภาพการใส่เสื้อสีแดงพร้อมอัฒจรรย์ที่นั่งสีแดงฉาน ณ สนามราชมังคลากีฬาสถานปรากฎเป็นภาพข่าว จาตุรน ฉายแสงกุนซือผู้ทำแนวร่วมคอมมิวนิสต์คนสำคัญของฝั่งนปช.ในเสื้อสีแดง ทำหน้าที่นั่งแถลงข่าวกลางสนามร่วมกับวีระ มุสิกพงษ์ กำลังสะท้อนให้เห็นการ ลงมาเล่นเอง ของขบวนการแนวร่วมแล้ว
สถานการณ์การต่อสู้ในขณะนี้คือม็อบนปช.คือกองหน้ามวลชนของรัฐบาล ในขณะที่พันธมิตรคือมวลชนของประชาธิปัตย์ คำถามคือ นี่คือมิติใหม่ของการต่อสู้ใช่หรือไม่ ? หรือเป็นเพียงการหาทางออกไม่พบของทุกฝ่ายกันแน่ ?
สถานการณ์ติดล็อคแบบ No Exit คือขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์นปช.กับเผด็จการพลเรือน (รัฐบาล) คือเสื้อแดง ไม่เอาด้วยกับทหาร สะท้อนเห็นชัดว่านปช.พร้อมใจยอมจำนนต่อเผด็จการพลเรือนภายใต้ระบอบทักษิณ
ส่วนพันธมิตรฯนั้นดูเหมือนก้าวหน้ากว่าตรงที่สู้กับเผด็จการรัฐสภาโดยตรง เพราะมองเห็นยากกว่า แต่เมื่อถึงเวลาเปิดเกมสู้กลับไปดึงทหารมาสู้ด้วยเนื่องจากความไม่รู้ ทำให้ถูกกล่าวหาจากหลายฝ่ายว่าเป็นพวกถอยหลังเข้าคลองพากันกลับไปสู่เผด็จการทหารอีกครั้งหนึ่ง ความขัดแย้งในขั้นสูงสุดของสงครามตัวแทนทั้งสองฝ่ายคือการก่อสงคราม สู่การสูญเสีย ซึ่งไม่มีใครต้องการให้เกิดและต้องการยุติปัญหาความรุนแรงลงอย่างเป็นเอกฉันท์
เท่ากับว่าได้ทำให้ถึงข้อสรุปที่ว่าทั้งสองฝ่ายสร้างประชาธิปไตยไม่เป็นทั้งคู่ !
คำถามขั้นต่อไปต่อคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายคือ สุดสายป่านของทั้งสองฝ่ายอยู่ที่ไหน ? ความรุนแรงเช่นนั้นหรือ ?
นอกจากจะมีอุปสรรคจากนักวิชาการสายเสาค้ำรัฐธรรมนูญแล้ว ยังเกิดปรากฏการณ์ใหม่จากปฏิกิริยาของนักวิชาการซ้ายคนสำคัญเรื่องข้อเสนอการปกครองเฉพาะกาล ในบทวิจารณ์ของดร.นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์ ต่อพลเอกชวลิต ยงใจยุทธที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์มติชน ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญของ การยกระดับการต่อสู้ขึ้นสู่การสู้ทางความคิด การต่อสู้แบบนี้แตกต่างจากขบวนการแนวร่วมเพราะเป็นการว่ากันโดยความคิดและหลักการล้วนๆ ไม่ใช้ยุทธวิธีพูดดำเป็นขาวพูดขาวเป็นดำแบบพวกแนวร่วมนักเคลื่อนไหวทางการเมืองกลุ่มต่างๆ
กล่าวโดยสรุปว่าผลของการเสนอเรื่องการปกครองเฉพาะกาลส่งผลให้เกิดการโต้กัน
ในระดับสูงคือในระดับนักคิด เป็นการยกระดับทางปัญญา ทัศนะต่างๆของผู้โต้จะสะท้อนวิธีคิดของสำนักคิดในประเทศไทยให้ปรากฏออกมา การแลกเปลี่ยนเช่นนี้มิได้เป็นอันตรายต่อประเทศชาติ กลับจะเป็นประโยชน์สูงสุดต่อผู้รับฟังทัศนะที่แตกต่าง ได้แง่มุมที่เป็นประโยชน์หากคัดเลือกเฉพาะสิ่งดีนำมาใช้ อาจทำให้เกิดการเข้าถึงทางปัญญาของสาธารณชนได้ และทำให้ช่องว่างทางความคิดระหว่างสำนักต่างๆที่ดูลึกลับล่อแหลมเป็นอันตรายต่อสังคมถูกทำให้แคบลง เกิดความใกล้ชิดกับประชาชนยิ่งขึ้น ประชาชนเองก็จะไม่รู้สึกว่าห่างไกลความรู้จนพึ่งตัวเองไม่ได้จนต้องพึ่งระบบวีรบุรุษบนเวทีปราศรัยฯลฯ
ความก้าวหน้าของสถาบันฯที่ถูกทำให้ดูล้าหลัง
อีกปรากฏการณ์หนึ่งคือการเสนอ ราชประชาสมาศัย ของนักวิชาการกลุ่มหนึ่ง ทำให้กุนซือแนวร่วมพันธมิตรฯ คำนูณ สิทธิสมานออกมาอธิบายแนวทาง ราชประชาสมาศัย ในบทความของเขาทันทีทันใดว่ามีที่มาจากท่านอาจารย์ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมทย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์นั้นถือเป็นตัวแทนอนุรักษ์นิยมขวาจัด การชิงอธิบายเรื่องที่มาของราชประชาสมาศัยในบทความของคำนูณซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ จึงเป็นการสะท้อนจุดยืนอันน่าสับสนของคำนูณ สิทธิสมานอย่างยิ่งในฐานะลูกศิษย์อ.ผิน บัวอ่อน เจ้าสำนักคิดฝ่ายซ้าย
ว่ากันตามเนื้อผ้าโดยไม่จำเป็นต้องเจาะลึกถึงแนวร่วมแบบ อีแอบ ที่ซ่อนตัวอยู่ แนวทางราชประชาสมาศัยนั้นเป็นความคิดริเริ่มของผู้ประสงค์ดีต่อสถาบันฯก็จริงแต่หารู้ไม่ว่าสถาบันฯในอดีตนั้นก้าวหน้ากว่านั้นมาก
แท้จริงแล้วสถาบันฯ นอกจากจะได้ทำการศึกษาลัทธิประชาธิปไตยล่วงหน้าตั้งแต่จุดเริ่มต้นการสร้างรัฐชาติสมัยใหม่ ยังทรงคิดริเริ่มดำเนินการถึงขั้นลงมือปฏิบัติให้เกิดขึ้นไว้ในเบื้องต้นแล้ว ด้วยการนำหลักการประชาธิปไตยมาปฏิบัติให้ปรากฏ ในรัชกาลของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ภายใต้การเปลี่ยนแปลงแบบ ปฏิรูปในปฏิวัติ หรือ Reform in Revolution คือการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากแบบเก่ามาเป็นระบบกระทรวง และทำการเลิกทาส คือการให้หลักความเสมอภาคของมนุษย์ควบคู่กับการจัดโครงสร้างใหม่ของการปกครอง ซึ่งนับเป็นความก้าว
หน้าอย่างยิ่งของสถาบันพระมหากษัตริย์
ส่วนราชประชาสมาศัยที่มีการกล่าวถึงแบบยุทธวิธีบนเวทีนปช.โดยวีระ มุสิกพงษ์ เป็นการดูแคลนทั้งสถาบันฯทั้งนักวิชาการไปด้วย โดยหารู้ไม่ว่าสถาบันฯได้สะสมวิชชาความรู้ผ่านตำราและมีหลักฐานให้สืบค้นได้จริง ข้อเท็จจริงเช่นนี้ทำให้วีระ มุสิกพงษ์กลายเป็นผู้รู้ไม่จริงไปในทันที
สิ่งที่ต้องชี้ให้เห็นชัดก็คือ ความเหมือนโดยรูปการของราชประชาสมาศัยกับการ-
ปกครองเฉพาะกาลนั้นอยู่ตรงที่การถวายฎีกาในหลวง แต่แตกต่างกันอย่างลิบลับตรงที่ ราชประชาสมาศัยเป็นแนวทางที่พัฒนามาจากแนวอนุรักษ์นิยมขวาจัด ส่วนการปกครองเฉพาะกาลนั้นมีที่มาจากการสร้างประชาธิปไตยของสถาบันพระมหากษัตริย์โดยตรง !
ดังนั้นราชประชาสมาศัยจึงมีลักษณะอนุรักษ์นิยมขัดแย้งกับการเปลี่ยนแปลงของกระแสโลก และที่สำคัญสวนทางกับพระราชปณิธานของพระมหากษัตริย์สามรัชกาล คือร.๕ ร.๖ ร.๗ ที่ทรงปรารภความเพียรในการปฏิวัติประชาธิปไตยให้เกิดในแผ่นดินไทยมากว่าร้อยปี !
จำแนกข้อเปรียบเทียบให้เห็นเด่นชัดขั้นนี้ อาการ ขนลุก ของวีระ มุสิกพงษ์ต่อราชประชาสมาศัย อาจเปลี่ยนเป็นอาการ ขนหัวลุก ต่อการปกครองเฉพาะกาลก็ย่อมได้หากมีการปฏิบัติปรากฎเป็นจริงขึ้นได้ในอนาคตอันใกล้นี้ !