Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
ประเทศไทยภายใต้ยุทธวิธีแนวร่วมคอมมิวนิสต์

ทวีศักดิ์ จันทศรี เขียน 
นางแก้ว  เรียบเรียง
 
 
          “ แนวร่วม ” หรือ “United Front”  แปลเป็นภาษาไทยแปลว่า  “ สหแนวรบ” ความหมายในทางยุทธศาสตร์ซึ่งใช้เป็นยุทธวิธีนำสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง  ด้วยการ “เอาศัตรูมาช่วยรบ”    และมีความหมายตรงกันข้ามกับคำว่า  “ พันธมิตร” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Alliance “ ซึ่งแปลว่า “มิตรร่วมรบ” ตามทฤษฎีของลัทธิประชาธิปไตย
 
           “ทฤษฎี” แนวร่วมเมื่อนำมาปรับประยุกต์ใช้ก็กลายเป็น “ ยุทธวิธี ” 
 
เงื่อนไขการปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ตามที่ร่ำเรียนกันมาจากลัทธินำเข้ามาร์กซ เลนิน เหมาเจ๋อตุง ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข 3 ประการ  เรียกให้สวยหรูว่า แก้ว 3 ประการ   อันหมายถึง
  1. พรรค
  2. แนวร่วม และ
  3. กองกำลัง (กองทัพ)
        ทำไมคอมมิวนิสต์จึงต้องใช้ยุทธวิธีนี้ ?
 
         สถานการณ์ของประเทศในช่วงปี 2518-2519 ก่อนที่จะมีนโยบาย 66/23 นั้น  เป็นการต่อสู้ด้วยอาวุธ เพื่อยึดอำนาจรัฐ ด้วยการทำ “ สงครามกลางเมือง” ตามทฤษฎี   แต่หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์ไทยถูกปราบปรามแล้วด้วยสงครามโดยกองทัพแห่งชาติ  ในปีพ.ศ. 2523 ด้วยการยุติสงครามกลางเมืองกับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์ ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่66/23ตามนโยบายต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมนิวนิสต์ได้สำเร็จ   กองทัพปลดแอกฯไม่อยู่ในสภาพที่จะก่อสงครามได้อีกต่อไป
        การยุติสงครามกลางเมืองโดยกองทัพแห่งชาติจึงเป็นการทำลาย “ ยุทธวิธีสงคราม” ของพคท. สมาชิกพคท.พบว่าเงื่อนไขแก้ว 3 ประการมีไม่เพียงพอ  แก้วประการที่ 3 คือกองกำลังหรือกองทัพ ถูกสลายลง  เป็นการทำลายเงื่อนไขการปฏิวัติสังคมตามทฤษฎีและทำให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ไม่สามารถบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของตนเองได้    
 
 
        ความเหนือกว่าทางทฤษฎีตามนโยบาย 66/23
 
         ในปี 2523 ซึ่งเป็นปีที่กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสงครามกลางเมืองลงได้เพราะความเหนือกว่าทางการเมือง อธิบายดังนี้คือ ในขณะนั้นคู่สงครามคือกองทัพปลดแอกฯสู้กับกองทัพแห่งชาติ   นโยบาย 66/23จึงติดอาวุธทางยุทธวิธีให้กับกองทัพแห่งชาติให้มีการเมืองที่เหนือกว่า   การต่อสู้ในขณะนั้นจึงขยับฐานะสูงขึ้น  กลายเป็นการต่อสู้ทางการเมืองตามนโยบาย 66/23   สู่การสลายกองทัพปลดแอกฯเป็น การนำเอา “ การเมืองที่เหนือกว่า ”ไปทำลาย “ การเมืองที่ต่ำกว่า” 
          นโยบาย 66/23 มุ่งให้ปฏิบัติการต่อบุคคล ต่อการแก้ไขความคิดของ “คน” ที่ได้รับการปลูกฝังแล้วโดยลัทธิคอมมิวนิสต์ ด้วยการปฏิบัติหลักการ  “ ขยายเสรีภาพส่วนบุคคลของลัทธิประชาธิปไตย”  โดยไม่เอาผิดกับผู้กระทำความผิด ถือว่าผู้กระทำความผิดเป็นผู้หลงผิด ไม่ถือว่าเป็นเชลยสงคราม ถือว่าเป็นผู้ต้องการร่วมพัฒนาชาติเหมือนกัน    เสนอแนวทางให้ออกมาจากป่าเพื่อมาร่วมกันสร้างชาติ สร้างประชาธิปไตย   นั่นคือขั้นตอนดึงสหายวัยเยาว์ออกจากที่แอบซ่อนในป่ามาสู่ที่แจ้งในเมืองแบบผู้เจริญ
ให้เกียรติในฐานะเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย
          ขั้นตอนนี้ทำให้กองทัพแห่งชาติสามารถยุติสถานการณ์สงครามกลางเมืองได้ซึ่งไม่ใช่การยกเลิกสงคราม    ในขณะนั้นหากปล่อยให้กองทัพแห่งชาติ ไปต่อสู้กับกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์โดยลำพัง คือเป็นกองทัพที่ปราศจากการเมือง และปราศจากมวลชนก็จะทำให้พ่ายแพ้ต่อสงครามปฏิวัติของ พคท.ได้
 
         ย้อนกลับไปดูความผิดพลาดในอดีต.....การขาดแล้วซึ่งแก้วทั้งสามประการ  ทำให้คอมมิวนิสต์หันมาใช้แนวร่วมเป็นหลัก
 
         การยุติสงครามกลางเมืองในครั้งนั้น(ไม่ใช่การยกเลิกสงคราม)หรือหมดเงื่อนไขสงครามเพียงแต่เป็นการทำลายความเป็นปึกแผ่นของกองทัพปลดแอกคอมมิวนิสต์  แต่มิได้เป็นการทำลาย “ คน” ในกองทัพ
        มาดูกันว่าเมื่อแก้ว 3 ประการนั้นมีไม่ครบองค์สมบูรณ์ต่อการนำสู่การปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ บรรดาสมาชิกพคท.แก้ปัญหายุทธวิธีอย่างไร.....
        ตามที่อธิบายว่าเมื่อเงื่อนไขทั้งสามไม่พอ  พคท.ยังมีเงื่อนไขอื่นอีกให้สร้างงานต่อไป   กล่าวคือการยุติสงครามในครั้งนั้นหยุดได้เพียงสงครามทางกายภาพคือการปราบปรามด้วยการฆ่าฟันแต่มิได้หยุดการเคลื่อนไหวทางความคิดตามทฤษฎีแนวร่วมได้    ขบวนการการปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ เปลี่ยนรูปแบบ แปลงโฉมมานับแต่นั้น ด้วยการนำเอายุทธวิธีแนวร่วมมาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
       จากสงครามถือปืนแอบซ่อนในป่า สมาชิกพคท.เริ่มใช้อาวุธแบบใหม่คือการอำพรางตนภายใต้เสื้อคลุมตัวใหม่ใช้ชื่อว่า “ประชาธิปไตย” ต่อท้ายทุกเรื่องไป.....เรื่องนี้  ต้องถามผู้นำกองทัพสมัยนั้นว่า...ทำไมจึงไม่ปฏิบัตินโยบายขั้นตอนที่สองของนโยบาย 66/23 เพื่อการเปลี่ยนแปลงทางความคิดให้ลุล่วง
 
จากคอมฯในป่าสู่เมือง.....14 ตุลาฤาจะไปไหนพ้นนอกจากกลับบ้านเก่า  การต่อตัวทางความคิดสู่แนวร่วม
 
          ณ.วันนี้ขบวนการปฏิวัติของพคท.ได้ปรับสภาพตัวเองในสถานการณ์ใหม่หลังจากออกจากป่า
มาสู่เมือง   จากสภาพนักศึกษาผู้หวังเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยอุดมการณ์ลัทธิคอมมิวนิสต์ สู่การกลับสู่อ้อมอกบ้านเกิด  ดินแดนแห่งมาตุภูมิ  ทำมาหาเลี้ยงชีพ...ตามสาขา  แต่หัวจิตหัวใจ ยังฝักใฝ่ ลัทธิที่ถือครอง
  • จากพรรคคอมนิวนิสต์เต็มรูปแบบมาอยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวที่ไม่ใช่พรรค.....
  • จากปฏิวัติสังคมคอมมิวนิสต์สู่ความละห้อยโหยหาประชาธิปไตยของประชาชน.....
  • จากความพ่ายแพ้และบอบช้ำในป่ามาสู่การเอาชนะในเมือง......
  • จากความพ่ายแพ้ยุทธวิธีสงครามมาสู่การเอาชนะด้วยยุทธวิธีแนวร่วม......
  • จากยึดอำนาจรัฐด้วยปลายกระบอกปืน มายึดอำนาจรัฐด้วยการใช้ “ ศัตรูฆ่าศัตรูเพื่อชัยชนะของตนเอง” ......(ศัตรูของศัตรูคือมิตรช่วยรบชั่วคราว คอมมิวนิสต์ไร้ศีลธรรมอย่างนี้แหละ)
  • จากยุทธวิธีรุนแรงสู่สันติวิธีแบบฆาตกรรมอำพราง.......คอมมิวนิสต์ยืมมือคนอื่นเสมอ...ไม่ทำเอง 
           อย่างไรก็ดียุทธวิธีแนวร่วมทั้งหลายทั้งปวงที่มาแทนยุทธวิธีสงครามก็เป็นการสร้างเงื่อนไขนำไปสู่สงครามกลางเมืองขั้นตอนใหม่ตามความเชื่อที่ถูกปลูกฝังมาว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมต้องเกิดจากความรุนแรงเสมอ (ทฤษฎีวิภาษวิธีแบบวัตถุๆคือ กิริยา VS ปฏิกิริยา สู่สหกิริยา) เพียงแต่ขณะนี้หันมาใช้ยุทธวิธีแนวร่วมสร้างเงื่อนไขความรุนแรงเพื่อนำไปสู่สงครามประชาชน(People’s war) ยุทธวิธีแนวร่วมเป็น “ วิธีการแยกประเทศ” อย่างแนบเนียนพวก พคท.จะปิดบังอำพรางการเคลื่อนไหวไม่ให้คนรู้ว่าเขากำลังหลอกลวงประชาชนว่า....
  • ไม่คิดแบ่งแยกประเทศ....
  • ไม่คิดเปลี่ยนแปลงรูปประเทศและ.....
  • ไม่คิดเปลี่ยนแปลงการปกครอง.....
          คอมมิวนิสต์จอมบงการในกลไกการเมืองบ้านเราเป็นนักปั่นหัวตัวยง  ทำของจริงให้เป็นเท็จ ทำของเท็จให้เป็นจริง   ผิดศีลตลอดเวลา  บอกว่าตัวเองเป็นพวกประชาธิปไตย และป้ายสีพวกประชาธิปไตยว่าเป็นคอมมิวนิสต์  วิธีการนี้มักใช้ได้ผลเสมอกับฝ่ายขวาตกขอบที่กลับกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับชั้นดีของคอมมิวนิสต์  ไม่เว้นแม้ในกองทัพแห่งชาติเอง
           ที่กล่าวมาทั้งหมดเป็นการเคลื่อนไหวต่อสู้ทั้งทางอุดมการณ์ทางการเมืองและการจัดตั้งกับขบวนการคอมมิวนิสต์หากไม่มีอาวุธทางความคิด ไม่รู้ยุทธวิธีของพคท.ก็ไม่สามารถเข้าใจรูปแบบเนื้อหาการเคลื่อนไหวได้
 
 
         รัฐธรรมนูญและการถ่วงหม้อลงน้ำ !!!
 
     แม้แต่รัฐธรรมนูญก็ถูกนำมาเป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทำให้สังคมไทยหลงคิดทางจนเกิดกลียุคหลายครั้งแล้ว  รัฐธรรมนูญกลายเป็นเงื่อนไขให้พคท.นำมาใช้สู่ “ การเคลื่อนไหวระดับประเทศ ” ทำให้คนไทยหลงคำโฆษณาเพียงแค่คำว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็นแค่ “ ปฏิรูปรัฐธรรมนูญ”  ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือเมื่อหลงแก้แต่รัฐธรรมนูญแต่ไม่ยอมแก้การปกครองก็เท่ากับเป็นการรักษาการปกครองเดิมไว้อยู่นั่นเอง   นับเป็นการมัดสายสิญจน์ถ่วงหม้อดินรัฐธรรมนูญลงน้ำแบบวิชาหมอผีชั้นดี
          เรื่องถ่วงน้ำนี้เป็นเรื่องสำคัญ  เพราะคำว่า “ ถ่วง “ คือการทำให้หนัก ให้จม  เกิดความไม่เป็นธรรมจากการปกครองที่ล้าหลังไปเรื่อยๆ  ดังจะเห็นได้จากการเรียกร้องความไม่เป็นธรรมจากทุกฝ่ายต่อรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ในปัจจุบันเหมือนกันหมด      ประกอบกับสำนักแนวร่วมของพคท. ที่มาทำแนวร่วมกับผู้ปกครองที่ถืออำนาจรัฐ ซึ่งตามหลักถือว่าเป็นศัตรูแต่มาอยู่ร่วมกับศัตรูเป็นการมาช่วยศัตรูให้ทำผิดให้มากๆ ขึ้นเรื่อยๆ   กล่าวคือทำการปกครองที่ไม่เป็นธรรมเพื่อให้ศัตรูของตนเองช่วยสร้างเงื่อนไขความแตกแยกในสังคมให้มากที่สุดเพื่อบรรลุยุทธศาสตร์ทางการเมืองของลัทธิฯ
         เพราะแนวร่วมมีอุปนิสัยเป็นเผด็จการอยู่แล้ว  การกระทำใดๆผ่านแนวร่วมจึงเป็นการทำลายความเป็นไปประชาธิปไตยลงในทุกมิตินั่นเอง    ต้องไม่ลืมว่าการทำแนวร่วมในความหมายของคอมมิวนิสต์ก็คือการเอาศัตรูมาช่วยรบ เพราะศัตรูของชาว พคท. ก็คือพวกเผด็จการนั่นเอง  เพื่อช่วยตนเองให้รบชนะ เป็นการใช้ศัตรูโดยการไปอยู่ร่วมกับศัตรู เพื่อให้ศัตรูตนเองกระทำความผิด
         ขออธิบายเรื่องเผด็จการในบ้านเรา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องสอดคล้อง เผด็จการในประเทศไทยนอกเหนือจากเผด็จการคอมมิวนิสต์แล้ว ยังมีเผด็จการอื่นอยู่อีก 2 ประเภท
  1. เผด็จการรัฐสภา (เผด็จการพลเรือน) หรืออำนาจรัฐเป็นของกลุ่มทุน ฝ่ายซ้ายเรียกว่าประชาธิปไตยของนายทุน ตามหลักรัฐศาสตร์เรียกว่าระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา (แต่มีนักวิชาการสายรัฐศาสตร์ในระดับราชบัณฑิตไม่ยอมรับข้อเท็จริงอันนี้)
  2. เผด็จการทหาร คือ อำนาจรัฐเป็นของคณะนายทหารที่ใช้วิธีการยึดอำนาจ
         ทั้งสองขบวนเผด็จการเป็นผู้ที่ช่วยทำให้การปฏิวัติสังคมของพคท.บรรลุผล ได้  ฝ่ายแรกได้อำนาจมาด้วยการซื้อเสียงและรูปแบบการเลือกตั้งจอมปลอม ฝ่ายหลังได้อำนาจมาด้วยวิธีการยึดอำนาจโดยกองทัพ
        ความแนบเนียนของพคท.ทำโดยการเบี่ยงเบนปัญหา ให้มีการยึดอำนาจโดยทันที   และหันไปร่วมมือกับศัตรูของตนเอง  ศัตรูนั้นก็คือ “ นายทุน”  พคท.หันไปร่วมมือกับนายทุนใหญ่  หลอกใช้ศัตรู (นายทุน) ทั้งหลาย เช่น ทุนเจ้าที่ดิน  ทุนสื่อสาร ทุนพลังงาน ทุนข้ามชาติ  ฯลฯ
         แนวรบอีกด้านหนึ่งของคอมมิวนิสต์ก็คือด้านมวลชน  แนวรบนี้เป็นผู้นำพาประชาชนไป  เคลื่อนไหวเรื่องรัฐธรรมนูญแต่ไม่ได้เป็นไปเพื่อเปลี่ยนมือเจ้าของอำนาจรัฐ    พคท.จะไม่เอาอำนาจรัฐมาเป็นของปวงชน     แท้จริงแล้วการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ มีความมุ่งหมายเพื่อเอาอำนาจรัฐสู่กลุ่มจัดตั้งของตน  การปลุกประเด็นการเคลื่อนไหวสู่สาธารณะด้วยการเอารัฐธรรมนูญมาเป็นตัวหลอกเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ   จึงเป็นที่ถูกใจ พอใจ ของผู้ปกครองที่หวังได้ความชอบธรรมตามกระแสเพื่อทำให้เข้าใจว่านี่คือประชามติแบบประชาธิปไตยที่มีประชาชนมีส่วนร่วม
         การใช้การเคลื่อนไหวตามลัทธิรัฐธรรมนูญขณะนี้  เปิดโอกาสให้พคท.ได้สร้างแนวร่วมทุกระดับ   และปิดบังอำพรางการเคลื่อนไหวทางการเมืองของตนเองไว้   เปิดช่องและโอกาสไว้ก็เพียงการทำแนวร่วม  สร้างแนวร่วมสู่การจัดตั้งเพื่อนำไปสู่การสร้างสถานการณ์ปฏิวัติ คือ การสร้างความขัดแย้งภายใน (Internal Conflict) ในทุกภาคส่วน    โดยอาศัยการทำแนวร่วมที่แทรกอยู่กับการเคลื่อนไหวทุกระดับ เพื่อสร้างประชามติ    พคท.จะอาศัยตัวแทนในรูปแบบต่างๆและใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีไปดูให้เป็นเสมือนการขัดแย้งทั่วไป เพื่อมุ่งสู่ความสามารถในการรุกทางการเมืองเพื่อสร้างกระแสคลื่นของประชาชนเป็นส่วนใหญ่ไปในแนวทางที่ตนเองต้องการได้ในที่สุด
          หลักสำคัญของทฤษฎีแนวร่วมของเหมาเจ๋อตุงที่ควรเข้าใจ คือ ไม่ทำลายนายทุนทั้งหมดทีเดียว แต่จะทำลายทีละส่วน จากร่วมมือกับนายทุนหรือร่วมมือกับแนวร่วม หรือ ร่วมมือกับเผด็จการ (ร่วมมือแบบเป็นศัตรูกัน) อีกด้านหนึ่งก็เป็นพันธมิตรทำยุทธวิธีกับกรรมกรชาวนา นักศึกษา หรือ เป็นพันธมิตรกับกรรมการชาวนาไปด้วย  เรียกว่าขบวนการแนวร่วม
 
การจัดกำลังของขบวนการแนวร่วม
  1. พันธมิตร กรรมกรชาวนา ชนชั้นกรรมาชีพเป็นพื้นฐาน
  2. นายทุนน้อยนายทุนชาติ นายทุนใหญ่ (นายทุนใหญ่ถือเป็นแนวร่วมทางยุทธวิธี)
  3. นำโดยชนชั้นกรรมาชีพ
           ต้องทำความเข้าใจว่า พวกแนวร่วมไม่ใช่พคท.แต่เป็นพวกที่ช่วยให้พคท.รบชนะหรือทำในสิ่งที่ผิดๆเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ความรุนแรงในสังคมได้   การทำผิดนี้เริ่มตั้งแต่ระดับนโยบายลงมา ใครก็ตามที่ช่วยสร้างเงื่อนไขให้พคท.จนสามารถนำไปเป็นเงื่อนไขสงครามประชาชนได้คนนั้น  ขบวนนั้น พรรคนั้น ถือว่าเป็น “ แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพ”  แนวร่วมที่มีประสิทธิภาพจึงมักเป็นแนวร่วมชั้นสูง  เป็นพวกถือครองอำนาจ มีอำนาจและถ้าใช้อำนาจในทางที่ผิดได้สำเร็จก็จะก่อผลสะเทือนให้กับคอมมิวนิสต์อย่างคุ้มค่า
           ดังจะเห็นว่าระบอบเผด็จการทักษิณ(ระบอบทักษิณ)  ระบอบคมช.ก็ไม่พ้นการตกเป็นแนวร่วม  หากไม่มีการเมืองที่เหนือกว่า  ก้าวหน้ากว่า  ฉลาดกว่าพคท. ที่จะทำรู้การเคลื่อนไหวและการใช้ยุทธวิธี ยอกย้อนไปมา      การได้มาซึ่งอำนาจรัฐด้วยการรัฐประหารโดยคมช. ภายใต้การปกครองชั่วคราวแล้วไม่เร่งสร้างประชาธิปไตยแต่กลับไปมะงุมมะงาหราร่างรัฐธรรมนูญใหม่สู่การเลือกตั้งแบบเผด็จการรัฐสภา  การเมืองก็ตกอยู่ในวงจรอุบาทว์เช่นเดิม คือย้ายจากเผด็จการทหารไปสู่เผด็จการรัฐสภา   เปิดโอกาสให้พคท. เล่นบทผู้รักประชาชน เป็นวีรบุรุษ โดยมีสื่อพวกเดียวกันเองร่วมสร้างกระแสเปิดทางให้
 
ที่อันตรายก็คือ....ขณะนี้การไปทำแนวร่วมของพคท.โดยการเข้าไปทำทีช่วยเร่งร่างรัฐธรรมนูญ ก็เป็นการเข้าไปช่วยให้คมช.กระทำความผิดอีกเช่นกัน  !!!
 
          ปรากฏการณ์การออกมาร่างรัฐธรรมนูญโดยพวกพคท. ในนามสภาร่างรัฐธรรมนูญของภาคประชาชนเพื่อแข่งกับรัฐธรรมนูญของรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ภายใต้สสร.นั้น  เป็นการ “ถ่วงน้ำ” แบบถึงที่สุด    ขั้นตอนนี้วิเคราะห์ได้ว่าเป็นการดวลกับฉบับของสสร. ให้การถ่วงมีน้ำหนักให้มากถึงมากที่สุด กล่าวคือเป็นการทำงานสองด้าน เป็นงานรักษาอำนาจช่วยเผด็จการเพื่อทำลายล้างในที่สุด   โปรดสังเกตว่าพคท.จะปิดการเคลื่อนไหวการเมืองไว้ก่อนจะเปิดการเคลื่อนไหวมวลชน    ปิดการเมืองเพื่อเปิดกำลังเอาความคิดที่แตกต่าง  รวบรวมเอาผลประโยชน์ที่ขัดแย้งกันมาไว้ในที่เดียวกันเพื่อใช้คนไทยให้ทำลายกันเอง
 
ความไร้คุณธรรมของพคท. ดำรงตนราว “ พระผู้ทำลาย” ยังมีมากกว่านี้โปรดฟังต่อ.....
 
         การสร้างเงื่อนไขความสำเร็จในการทำแนวร่วมในประเทศไทยนั้นทำเครือข่ายโยงใย  ตั้งแต่การสร้างแนวร่วม   การจัดตั้งแนวร่วม  การขยายแนวร่วมในเมือง   การร่วมกันระหว่างพันธมิตรกับแนวร่วมทั้งในเมืองและชนบท  ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์หลัก คือ
  1. ยุยงปลุกปั่นให้เกิดความปั่นป่วนกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน
  2. ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง
  3. ให้คนไทยแบ่งแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย
  4. เพื่อนำคนไทยเข้าสู่สงครามการเมือง
          เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่ง ที่กระแสการเปลี่ยนแปลงขึ้นสู่กระแสสูงมาก ๆ แม้คำพูดหรือวาจาบางคำที่ล้าหลังของผู้มีอำนาจบางคนก็สามารถนำไปขยายผลให้เกิดความแตกแยก เป็นเหตุแห่งความมั่นคงของประเทศได้ หากไม่รู้เขารู้เรา
 
        การดำเนินการของพคท.จะนำไปสู่จุดจบอย่างไร ? สิ่งใดคือจุดมุ่งหมาย ?
 
         เมื่อถึงสถานการณ์หนึ่งขบวนการแนวร่วมจะเป็นบวนการที่ใหญ่โต โยงใยเต็มไปหมด กระจายไปในหมู่ประชาชนและองค์การต่างๆทำให้ฝ่ายผู้รับผิดชอบมองรูปการไม่ออก ไม่เข้าใจและไม่รู้จะจัดการอย่างไรเมื่อสถานการณ์ขมึงเกลียว    เพราะไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก   ปัญหาอะไรแก้ได้หรือไม่ได้  และจะต้องใช้อะไรเข้าไปใช้ในการแก้    จับต้นชนปลายไม่ถูก  ไม่รู้ว่าการเมืองชนิดใดกันแน่ที่ก้าวหน้าหรือล้าหลัง  
        การขอให้ยุติการเคลื่อนไหวหรือห้ามมีการเคลื่อนไหว โดยอ้างว่าประเทศชาติต้องการความสามัคคีนั้นจนถึงที่สุดแล้วจึงไม่มีทางเป็นไปได้ จากการเคลื่อนไหวมวลชนสู่ขบวนการลุกขึ้นสู้ของมวลชน  สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนได้ดังนี้คือ
  1. จัดตั้งแนวร่วม
  2. ขยายแนวร่วมในเมือง
  3. สร้างกระแสคลื่นของประชาชนส่วนใหญ่
  4. ขยายแนวร่วมในรูปแบบต่างๆออกไปทั่วประเทศ
  5. จะใช้เหตุการณ์เฉพาะกรณีๆไป ให้เป็นเสมือนการขัดแย้งทั่วไป ให้ดูไม่ออกว่าเป็นพวกเดียวกัน ขบวนเดียวกัน และไม่เป็นการรุกทางการเมืองให้ดูไม่ออกว่าจะนำไปสู่การเมืองชนิดใด ให้ดูเหมือนไม่สำคัญ
        ดังจะเห็นว่าขณะนี้บ้านเมืองสับสน จับต้นชนปลายหาเหตุและผล ที่มาของปัญหาไม่ถูก ผู้ปกครองก็ไม่แน่ใจว่าจะแก้ปัญหาประเทศแต่ละอย่างให้ถูกต้องได้อย่างไร กรณีไอทีวีคือตัวอย่าง เป็นได้อย่างมากก็คืออิงแอบความคุ้นเคยแบบเก่าๆ ของพวกพ้องวงศ์วานในการแก้ปัญหา   เข้าทางการทำลายล้างพคท. ใช้เป็นจุดโจมตี ความอ่อนด้อยของผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง 
        กล่าวโดยสรุป ยุทธวิธีแนวร่วม สืบทอดมาจากยุทธวิธีสงคราม เมื่อสงครามกลางเมืองยุติลงก็ปรับใช้ตามแนวทางของเหมาเจ๋อตุง เพราะเมื่อยุติการต่อสู้ด้วยอาวุธก็หันมาต่อสู้แนวทางนี้แทน โดยพคท.กำหนดแนวทางในระยะผ่านไว้ 4 ขั้นตอน (Transition Period)  หรือขั้นตอนก่อนจะบรรลุทางยุทธศาสตร์ของลัทธิฯคือ
  1. ออกจากป่าให้มาชุบตัว(พคท.และทรท.)
  2. สร้างฐานทางเศรษฐกิจให้เข้มแข็ง
  3. เข้าร่วมมีอำนาจรัฐตามกลไกการปกครอง
  4. สนับสนุนฝ่ายรัฐทำผิดมากๆและต่อๆไป
        การหลอกลวงและผิดศีลธรรมต่อเพื่อนมนุษย์
 
        ยุทธวิธีแนวร่วมและยุทธวิธีสงคราม ถือว่าเป็นอาวุธที่สำคัญในการยึดอำนาจรัฐ เป็นการทำลายรัฐเดิม    ด้านยุทธวิธีแนวร่วมเป็นวิธีการสะสมกำลังด้วยวิธีสันติด้านหนึ่ง  ส่วนด้านยุทธวิธีสงครามนั้นยังไม่เอาออกมาใช้เพราะเงื่อนไขยังไม่เพียงพอ   ด้านนี้ถือเป็นการใช้กำลังซึ่งจะนำออกมาใช้โดยพรรค (ส่วนการเมือง)   อธิบายแบบสภาวธรรมและสภาวะจิตตามภาษามนุษย์ผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายเป็นขั้นตอนต่างๆ ได้ดังนี้คือ
 
1. หลอกผู้ปกครองว่าตนเองเข้ามาอยู่ในเมืองแล้ว  พร้อมรับแนวทางประชาธิปไตย  ยึดแนวทางสันติวิธี   ปฏิเสธการมีตัวตนของคอมมิวนิสต์อย่างสิ้นเชิง   ในขณะเดียวกันก็มีพฤติกรรมทางการเมืองแบบแอบแฝง- ซ่อนเร้น-ยาวนาน  ซึ่งก็คือการออกมาชุบตัวตาม 4 ขั้นตอน ดังข้างบนนั่นเอง
2. หลอกว่าสันติวิธีเท่านั้นที่แก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้ ทั้งๆที่ยุทธวิธีแนวร่วม ก็คือยุทธวิธีสร้างความแยกแตกในบ้านเมือง   เป็นไปตามทฤษฎีปรัชญาเอกภาพของด้านตรงกันข้าม (Unity of the Opposite)  เพื่อเป็นเงื่อนไขนำไปสู่ยุทธวิธีสงคราม ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการเคลื่อนไหวมวลชน (ม็อบ) ทีไรก็จะบอกว่าประชาชนใช้ สันติวิธี   ทั้งๆที่ข้อเท็จจริงคือการแบ่งขั้ว แบ่งฝ่ายสงครามระหว่างคนรวยกับคนจน  กล่าวคือม็อบของระบอบเผด็จการก็คือคนจน  ซึ่งเป็นปรปักษ์ กับคนรวย (ผู้ปกครอง)   เป็นการสร้างคู่สงครามระหว่างคนจนกับคนรวยด้วยการ ก่อให้เกิดการแบ่งแยก
 
ส่วนการสร้างยุทธวิธีแนวร่วมคือพวกพคท.ด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับผู้ปกครอง(เผด็จการ) อีกด้านหนึ่งจะไปเคลื่อนไหวอยู่กับประชาชน (คนจน)    จากนั้นเคลื่อนไหวมวลชนตามยุทธวิธีมวลชนล้อมรัฐบาล อย่างเช่นนำพาประชาชน(ม็อบ) ที่มีปัญหามาปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ปิดล้อมรัฐสภา และกระทรวงต่าง ๆ  เมื่อเกิดการปะทะกันระหว่างรัฐกับประชาชนก็กลายเป็นความผิดของรัฐว่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน ส่วนประชาชนนั้นสันติจึงกลายเป็นเงื่อนไขมวลชนลุกขึ้นสู้ในที่สุด(Mass uprising)
 
3. หลอกทุกพวกแล้วเข้าร่วมกับทุกพวกโดยหากประชาชนไม่รู้การเมืองก็บอกว่าการเมืองของประชาชนคือประชาธิปไตยของประชาชน (คนจน)  หากเข้าร่วมกับผู้ปกครองก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตยแล้ว มีการเลือกตั้งแล้ว หากจะแก้การเมืองก็พาไปแก้รัฐธรรมนูญแต่ใช้คำว่าปฏิรูปการเมืองทั้งๆที่เป็นการปฏิรูปรัฐธรรมนูญเพื่อให้ตนเองอยู่ได้กับทุกพวก
 
4. หลอกพาไปยึดรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปการเมือง   โดยอ้างว่าเพื่อความก้าวหน้าโดยไม่พาประชาชนไปสู่อำนาจรัฐแต่กลับให้ยึดรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนโดยไม่ทำอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การหลอกลวงดำเนินต่อไปจนกว่าจะมีเงื่อนไขเพียงพอที่จะพัฒนาการต่อสู้ จากยุทธวิธีแนวร่วม สู่ยุทธวิธีสงครามในที่สุด
 
5. หลอกใช้กำลังทุกพวกให้หลงแนวทางของชาติ โดยการรักษาอำนาจเผด็จการไว้ซึ่งเป็นอำนาจที่ไม่เป็นธรรม แล้วทำลายผู้ปกครองทีละส่วน
 
5.1   ประชาธิปไตยของนายทุนไม่ดี  มุ่งทำลายด้วยการชี้ให้มวลชนเห็นว่า ประชาธิปไตยของคนรวยไม่ดี เลวร้าย ทำลายชาติ ขายชาติ
 
5.2   ประชาธิปไตยของขุนศึกไม่ดี โดยชี้ให้ประชาชนเห็นว่า การยึดอำนาจล้าหลัง เป็นเผด็จการทหาร ทหารไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง
 
5.3   ประชาธิปไตยของศักดินาไม่ดี มุ่งทำลายสถาบัน โดยการยกให้สูงเด่น ให้อยู่เหนือการเมือง
 
พวกนายทุนขุนศึกศักดินา หรือ เผด็จการนายทุน(ทุนเก่า ทุนใหม่) เผด็จการทหาร           (รัฐประหาร) สถาบัน.....ไม่ดี  ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชน(คนจน) หรือคนส่วนใหญ่เท่านั้นจึงจะดีตามทฤษฎีที่พคท.คือผู้ปฏิวัติชนชั้นกรรมาชีพสู่สังคมอุดมคติ

         กฎเกณฑ์หรือไม่กฎเกณฑ์ ยึดอะไรเป็นสรณะ 
 
         วิธีการสันติของยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อบรรลุความมุ่งหมาย ความรุนแรงเท่านั้น ไม่มีเป็นอย่างอื่นเพราะเป็นกฎเกณฑ์การพัฒนาการ วิธีการยึดประเทศด้วยยุทธวิธีแนวร่วมเมื่อทำงานแนวร่วมสุกงอมเต็มที่แล้ว ก็จะลงมือเปลี่ยนประเทศ โดยใช้ยุทธิวิธีสงครามหรือใช้อาวุธหรือกองกำลังทางอาวุธเดี๋ยวนี้เพียงแต่ต้องทำแนวร่วมให้สุกงอม คือทำให้ 2 เงื่อนไขสำเร็จเพียงพอก่อน
 
1. การปกครองไม่เป็นธรรมเมื่อถึงระดับหนึ่ง จะเกิดสภาวะคับแค้นทางจิตใจเพียงพอหรือยังคือการปกครองแบบเผด็จการ(บ้านเรามีอยู่ 2 ประเภท)
 
2. ความยากจนเกิดความยากไร้ทางวัตถุ จากคนจนเต็มประเทศสู่ผู้คนเป็นหนี้ สู่คนอพยพ เพียงพอหรือยัง
 
ในที่สุดเงื่อนไขการเคลื่อนไหวและนโยบายสร้างความแตกแยกในสังคมก็จะใช้ได้ผล ซึ่งมีอยู่มากมาย   ตัวอย่างที่พคท.ใช้จุดประเด็นมาตลอดคือ  “ นายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง ” ซึ่งกำลังปรากฏเป็นประเด็นข่าวอยู่ล่าสุด 
 
หากรู้เท่าทันก็จะรู้ว่าแท้จริงแล้วเป็นการทำให้หัวหน้าพรรคการเมืองที่เต็มไปด้วยความมักใหญ่ใฝ่สูง  ต้องการเสวยอำนาจ สู่ความยิ่งใหญ่ ความเด่นดัง  เสนอตัวเพื่อแก้ปัญหาชาติสู่การเป็นนักปกครองสมัยใหม่   เป็นอิสระแบบตะวันตก  ทำให้ผู้นำประเภทนี้   ถูกนำไปชนกับสถาบันเบื้องสูงโดยไม่รู้ตัว       นอกจากนี้แล้วพคท.ยังหลอกให้ ทั้งทุนใหม่และทุนเก่าทำลายล้างกันเอง    
 
 
         การทำลายล้างโครงสร้างทางการเมืองและทางความคิดมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
 
          ส่วนการทำแนวร่วมทางความคิดก็พยายามหว่านล้อมเหตุผลด้วยการอธิบายว่า นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นนายกของประชาชน    มีความเป็นประชาธิปไตยสูงส่ง        พคท.จึงเร่งส่งเสริมลัทธิการเลือกตั้ง  โดยช่วยอธิบายว่าการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตยทำให้บรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายชอบใจ 
          ส่วนการปฏิรูปการเมืองก็เช่นกัน หลอกให้สร้างแต่รัฐธรรมนูญ ที่วนเวียนอยู่กับกรงขังและปัญหานักกฎหมายหัวนอกแบบเดิมๆ
          นอกจากนี้แล้วยังมีวิธีการทำลายทุนขนาดใหญ่ ด้วยการทำให้เกิดความขัดแย้งกันเอง โดยพคท.จะเข้าไปอยู่ในส่วนต่างๆหรือไปทำแนวร่วมด้วย   เนื่องจากทุนใหญ่เป็นแนวร่วมชั้นดี   หากทุนใหญ่นั้นๆ ทรงอิทธิพล เช่น มีเงินมาก มีผลประโยชน์มาก มีเครือข่ายมาก มีมาเฟียอิทธิพลทุกระดับ ก็จะมีกำลังมากขึ้น
 
 
         สู่ความเลวร้ายยิ่งขึ้นหากบุคคลผู้นั้น ไร้จุดยืนต่อส่วนรวมและต่อชาติ !!!
 
          หากผู้ปกครองนิยมความเป็นสากลมากกว่านิยมความเป็นชาติ ไม่เอาด้านชาติเป็นหลักในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวแทนทุนข้ามชาติแล้วดำเนินนโยบายขายชาติต่อ    โดยอ้างกับประชาชนว่านี่คือการพัฒนาประเทศ      เป็นการพัฒนาเศรษฐกิจมีท่าเรือขนาดใหญ่ มีสนามบิน ขนาดใหญ่ มีถนนขนาดใหญ่ มีโรงแรมขนาดใหญ่    มีนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ มีระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ มีโรงงานขนาดใหญ่ มีที่โชว์แสดงสินค้าขนาดใหญ่ มีระบบสื่อสารขนาดใหญ่ มีโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ มีระบบการสื่อสารขนาดใหญ่ มีระบบการหมุนเวียนเงินตราที่เป็นสากล มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เป็นสากล มีภาษาที่เป็นสากล มีการเป็นอยู่ ดำเนินชีวิตของคนในสังคมที่เป็นสากลฯลฯ แล้วนำประเทศเข้าสู่สากล   ทำให้ประเทศถูกความเป็นสากลครอบงำ มองไม่ออกว่าอะไรคือการขายชาติ อะไรคือการพัฒนาชาติ อะไรคือการกู้ชาติ 
 
 
         ในที่สุดก็จะเกิดวิกฤติทางความคิด !!!!
 
          คุณทักษิณ ชินวัตร นายทุน (ผูกขาด) ผู้โดนหลอก ปัจจุบันเข้าประเทศไม่ได้ ก็เพราะเหตุผลดังกล่าวมาทั้งหมด  ดังทฤษฎีแนวร่วม  เป็นอุทาหรณ์สอนใจผู้ปกครองชุดปัจจุบันทุกท่าน  พึงสังวรณ์ว่ากลไกการจัดตั้งของพคท. ผ่านทุนของนายทุนคนนี้ยังคงอยู่
         พลพรรคคุณทักษิณโปรดเข้าใจว่า  พคท. จะไม่ทำลายนายทุนทั้งหมดด้วยการตีทีเดียว แต่จะทำลายทีละส่วนๆ  เริ่มต้นด้วยวิธีการร่วมมือกับชนชั้นนายทุนทั้งหมดไปก่อน   แล้วค่อยทำลายทีละส่วน  “ ร่วมมือเพื่อทำลาย “  โดยทำให้นายทุนขัดแย้งและต่อสู้กันเอง ขณะเดียวกัน พคท. อีกส่วนหนึ่งก็จะพยายามชิงนำการเมืองว่า ประชาธิปไตยของนายทุนไม่ดี ต้องเป็นประชาธิปไตยของประชาชนดังเช่นที่กำลังทำอยู่ขณะนี้
          โปรดทราบเพิ่มเติมว่าพคท.ไม่มีกองทัพนั้นเป็นความจริงส่วนหนึ่ง  แต่ข้อเท็จจริงอีกส่วนหนึ่งก็คือยังมีอยู่ แต่อยู่ในสภาพเงื่อนไขไม่เพียงพอ จึงยังไม่เปิดแนวรบการต่อสู้ด้วยอาวุธ   ในระหว่างนี้จะใช้ วิธีอื่นไปพลางๆ ก่อน 
          ที่เล่ามาทั้งหมด   ก็เพื่อต้องการทุกภาคส่วนรู้จักกลเกม การศึกในครั้งนี้  หากท่านประสงค์การอยู่ร่วมชาติเดียวกัน พึงถอนตัวเองจากการเป็นแนวร่วมโดยไม่รู้ตัวเสียเถิด   มนุษย์เรียนรู้ได้ใหม่เสมอ
  
       ร่วมด้วยช่วยกันพี่น้องชาวไทยทั้งหลาย  ประเทศไทยเราจะไม่มีวันเป็นอย่างประเทศเนปาล !!!
           เราจะจบนิทานเรื่องนี้ด้วยปมเงื่อนใดเล่า หากประชาชนก้าวหน้า และผู้ปกครองยังล้าหลังอยู่   !!!

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป