Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?
เขียนโดย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร  โพสเมื่อ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ๑๓.๕๐ น.
 
 
                                               - ตอนจบ -
 
 
             ปัญหาอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบบรัฐสภา
 
  
            รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย   มาตรา ๒ บัญญัติไว้ว่า “ ให้มีบุคคลและคณะบุคคลดังจะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรตามที่จะกล่าวต่อไปในรัฐธรรมนูญคือ  ๑.กษัตริย์  ๒. สภาผู้แทนราษฎร ๓. คณะกรรมการราษฎร ๔.ศาล   ซึ่งถูกต้อง  ผิดแต่คำ  ที่ถูกควรใช้คำว่า พระมหากษัตริย์

           รัฐธรรมนูญฉบับต่อๆ มาเพิ่มอำนาจในสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้นจนถึงฉบับปัจจุบันนับว่าให้อำนาจแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบบรัฐสภามากกว่ารัฐธรรมนูญของหลายประเทศ

           อย่างนี้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองหรือ ?
            คำว่า “ อยู่เหนือการเมือง ”  คณะราษฎรเป็นผู้นำมาปรากฏในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม  พุทธศักราช ๒๔๗๕ มาตรา ๑๑ ว่า “ พระบรมวงศานุวงศ์”  ตั้งแต่ชั้นหม่อมเจ้าขึ้นไป  โดยกำเนิดหรือโดยแต่งตั้งก็ตาม  ย่อมดำรงอยู่ในฐานะเหนือการเมือง   ซึ่งหมายความว่าเล่นการเมืองไม่ได้  เป็นส.ส.ไม่ได้  เป็นรัฐมนตรีไม่ได้  ปฏิบัติงานการเมืองไม่ได้ เป็นต้น
           พระมหากษัตริย์  ย่อมไม่เล่นการเมืองอยู่แล้ว  และพระบรมวงศานุวงศ์ย่อมไม่หมายความว่าถึงองค์พระมหากษัตริย์  ฉะนั้นคำว่า “ อยู่เหนือการเมือง ” จึงไม่เกี่ยวกับพระมหากษัตริย์  และตามความเป็นจริงพระมหากษัตริย์ไม่ได้อยู่เหนือการเมือง  สถาบันใดก็ตามที่ได้ใช้อำนาจอธิปไตยเป็นสถาบันที่อยู่ในการเมืองไม่ได้อยู่เหนือการเมือง  หรืออยู่นอกการเมือง

           ฉะนั้นผมจึงเห็นว่า  ที่คุณวิสุทธิ์ โพธิ์แท่น  เขียนว่า พระมหากษัตริย์ทรงอยู่เหนือการเมืองนั้นไม่ถูกต้อง  และเป็นการบั่นทอนอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย

          บางคนบอกว่าพระมหากษัตริย์เป็นกลางทางการเมือง  ผมก็ว่าไม่ถูกอีกเหมือนกันเช่นเดียวกับที่มีคนกล่าวว่า  องค์การสหประชาชาติเป็นกลาง   ซึ่งอูถั่นอดีตเลขาธิการสหประชาชาติชาวพม่า  ชี้แจงว่า  องค์การสหประชาชาติไม่เป็นกลางแต่เป็นผู้ทรงความยุติธรรมเพราะความเป็นกลางระหว่างอะไรกับอะไรก็ได้  เป็นกลางระหว่างถูกกับผิดได้  แต่ทรงความยุติธรรมย่อมอยู่ฝ่ายถูกเสมอไป

          คำว่า “ กลาง”  ซึ่งมีแต่ส่วนดีไม่มีส่วนเสีย  คือสายกลาง  ตรงกับมัชฌิมาปฎิปทา  คือการปฏิบัติสายกลาง  ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ  ซึ่งเป็นสัมมาทั้งนั้น  ไม่มีมิจฉาเลย  ถูกทั้งนั้น  ไม่มีผิดเลย

          ฉะนั้น พระมหากษัตริย์จึงไม่อยู่เหนือการเมืองเพราะเป็นสถาบันใช้อำนาจอธิปไตย  และไม่เป็นกลางทางการเมือง เพราะเป็นสถาบันทรงความยุติธรรมทางการเมือง
  
         เวลานี้การเรียกร้องการสร้างประชาธิปไตยกำลังขึ้นสู่กระแสสูง   วงการเมืองยอมรับกันอย่างกว้างขวางแล้วว่า  ทางออกของชาติ คือการสร้างประชาธิปไตยที่ไหนก็ได้ยินแต่คำว่า  “ สร้างประชาธิปไตย “  แต่วิธีการสร้างประชาธิปไตยทำอย่างไร  ยังเต็มไปด้วยความสับสน  วิธีการสร้างประชาธิปไตยในประเทศเอกราชเอเชียนั้น  แตกต่างกับในประเทศยุโรปซึ่งมีประชาชนลุกขึ้นช่วงชิงอำนาจพระมหากษัตริย์มาเป็นของตน  แต่ในประเทศเอเชียนั้น  การสร้างประชาธิปไตยเป็นพระราชกรณียกิจของกระมหากษัตริย์  โดยพระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจซึ่งเป็นของพระองค์อยู่เดิมให้แก่ประชาชน  ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสำเร็จ  ประชาธิปไตยก็สำเร็จ  แต่ถ้าพระมหากษัตริย์ทรงปฏิวัติพระราชกรณียกิจไม่สำเร็จไม่ว่าด้วยเหตุใดๆก็ตาม   การสร้างประชาธิปไตยก็ล้มเหลว  เพราะไม่มีวิธีการอื่นๆ ที่จะสร้างประชาธิปไตยได้นอกจากวิธีการที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น

         ตัวอย่าง คือ พระจักรพรรดิมัตซูฮิโตแห่งญี่ปุ่น  ทรงปฏิบัติพระรชกรณียกิจมอบอำนาจให้ประชาชนสำเร็จ  การสร้างประชาธิปไตยในญี่ปุ่นจึงสำเร็จแต่ในประเทศจีนจึงล้มเหลวแม้ว่าพรรคก๊กมินตั๋งจะได้อำนาจต่อมาก็ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยได้   แต่สร้างการปกครองระบอบเผด็จการในระบบประธานาธิบดีจนถูกคอมมิวนิสต์ยึดอำนาจเปลี่ยนประเทศจีนเป็นคอมมิวนิสต์ไป   ถ้าพระมหากษัตริย์ถูกขัดขวางไม่ให้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้ประชาชนแล้วก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้

        พระมหากษัตริย์ไทย  ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจสร้างประชาธิปไตยมาพร้อมๆ กับพระจักรพรรดิญี่ปุ่น  โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำเนินการเปลี่ยนแปลงทางประชาธิปไตยเป็นลำดับมา  ซึ่งสืบทอดโดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว   และกำลังจะสำเร็จในรัชสมัยพระบาทสมเด็จกระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  โดยทรงกำหนดจะมอบอำนาจให้แก่ประชาชนในเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๗๕  แต่ถูกคณะราษฎรชิงอำนาจไปเสียเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน  เมื่อพระมหากษัตริย์ไม่สามารถปฏิบัติพระราชกรณียกิจมอบอำนาจให้แก่ประชาชนด้วยเกิดอุปสรรคดังกล่าวแล้ว  การสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงล้มเหลว  ประเทศไทยจึงตกอยู่ในระบอบเผด็จการระบบรัฐสภามาจนถึงปัจจุบัน  และจะไม่มีวิธีการอื่นใดที่จะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จได้   นอกจากวิธีการเดิมที่พระมหากษัตริย์ทรงมอบอำนาจให้ประชาชนเท่านั้น  ฉะนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการใดๆ จะไม่มีทางสำเร็จเลย
 
          การที่จะสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทยให้สำเร็จได้นั้น  มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นคือ คืนอำนาจแด่พระมหากษัตริย์  เพื่อทรงมอบอำนาจให้แก่ปวงชนชาวไทย  ตามพระราชปณิธานของสมเด็จพระปกเกล้าว่า 

          “....ข้าพเจ้าสมัครใจจะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิม  ให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป....”  คือ  การโอนอำนาจจากรัฐสภา  มาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ (สภาองคมนตรีร.๗)  ตามแถลงการณ์สภาปฏิวัติแห่งชาติในหนังสือสภาปฏิวัติแห่งชาติ  แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ ประชาธิปไตย “ ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
 
 
 
 
 

 
จบ
 
 
เขียนโดย อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร
เผยแผ่โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
The National Democratic Movement of  Thailand (NDMT)
 
 
 
 
                    อ่านย้อนหลัง...
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป