รัชกาลที่๖ทรงทำการปฏิรูปประชาธิปไตยต่อไป ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในที่สุดเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เมื่อคณะร.ศ. ๑๓๐ ดำเนินการเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย จึงไม่ทรงเอาโทษในข้อหาว่าคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่เอาโทษเฉพาะในข้อหาว่าจะประทุษร้ายองค์พระประมุขเท่านั้น และเอาโทษสถานเบาเมื่อเปรียบกับข้อหาอันเป็นอันอุกฉกรรจ์ยิ่ง ซึ่งตามปกติต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรทีเดียว
รัชกาลที่๗ ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง โดยทรงช่วยเหลือสนับสนุนคณะราษฎรอย่างเต็มที่และเมื่อคณะราษฎรจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการก็ทรงคัดค้านเต็มที่เช่นกัน เมื่อคัดค้านไม่ไหวก็ทรงสละราชสมบัติและทรงฝากหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไว้กับประชาชนว่า
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ผู้ใดคณะใดเพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร ซึ่งจารึกอยู่ ณ ฐานพระราชอนุสาวรีย์หน้ารัฐสภา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงมีพระราชดำรัสในท่ามกลางกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญอันไหลเชี่ยวในกรณี ๑๔ ตุลาคม แก่รัฐมนตรีชุดนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อวันเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๖ ว่า ต้องทำหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ให้สภาพการปกครองเข้าสู่สภาพปกติ ให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมะสมกับสภาพของประเทศชาติ
เหล่านี้เป็นการทบทวนโดยย่อถึงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงดำเนินการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดจนถึงระบอบเผด็จการในปัจจุบัน
พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงตอบคณะเจ้านายและขุนนางตอนหนึ่งว่า
เราขอท่านทั้งปวงเข้าใจว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต้องบีบคั้นให้หันมาทางกลางเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป ซึ่งมีมาในพงศาวดาร และเพราะความเห็นความรู้ซึ่งเราได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาถึง ๑๘ ปี ได้พบเห็นและได้เคยทุกข์ร้อนในการหนักในการแรงการเผด็จการร้อนของบ้านของเมือง ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใด ทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่นๆซึ่งมีเนืองๆ มิได้ขาด แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่เปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อนจนมีเหตุบ่อยๆ ซึ่งเป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่าเราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนคางคกอยู่ในกะลาครอบ ที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิษฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
และพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรตอนหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่าเมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้ว ประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองเป็นแบบนี้ และตั้งข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้ยโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหนโดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันทีโดยไม่มีข้อข้องใจแต่อย่างใดเลย
ตัวอย่างเหล่านี้ตรงกับคำกลอนของนายเทียนวรรณ นักประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่๕ ที่เขียนไว้ว่า
ขอให้เห็นเช่นเราผู้เฒ่าทัก
บำรุงรักษาชาติสะอาดศรี
ทั้งเจ้านายฝ่ายพหลและมนตรี
จงเป็นศรีวิไลซ์จริงอย่านิ่งนาน
ให้รับหาปาลีเมนต์ขึ้นเป็นหลัก
จะได้ชักน้อมในไพร่สมาน
เริ่มเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล
รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย
และตรงกับทรรศนะของร.ท.แม้น สังขวิจิตร มหาดเล็กของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งให้เหตุผลในการเข้าร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะ ร.ศ. ๑๓๐ ว่า
การร่วมปฏิวัติของเขา ก็คือความหวังที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นประมุขของพระองค์ในภาวะประชาธิปไตยนั่นเอง โดยเห็นว่า การปกครองแบบราชาธิปไตยนี้จะเป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์อย่างแน่แท้ (จากบันทึกร.ต.เหรียญและร.ต.เนตร) ซึ่งตรงกับบันทึกของพ.อ.มนูญ รูปขจรที่ว่า เราพวกแม่ทัพนายกอง ทหาร ทุกกรมกอง หัวใจยังเต็มเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก (จากหนังสือพิมพ์ชาวไทย ๒๒ พ.ค. ๒๕๒๔)
ข้อเท็จจริงที่ยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป พระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
ในปัจจุบันประเทศไทยครอบงำอยู่ด้วยขบวนการเผด็จการ ซึ่งยังคงรักษาระบอบเผด็จการไว้ เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาบ้าง ระบอบเผด็จการรัฐประหารบ้าง จึงไม่สอดคล้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์
ดังนั้นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันจึงเป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ เช่นเดียวกับขบวนการเผด็จการก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ เป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมือนกัน แต่ยาพิษนี้ทำอันตรายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ไม่มากก็เพราะว่านอกจากจะได้เปลี่ยนสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์มาตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๕ แล้วพระมหากษัตริย์ก็มิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยอีกด้วย
ปัญหาการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น นอกจากจะพิจารณาประสบการณ์ของประเทศเราเองแล้ว ยังต้องพิจารณาประสบการณ์ของประเทศเราเองโดยเฉพาะจาก ๓ ขบวนการคือขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการคอมมิวนิสต์หรือ ขวา กลาง ซ้าย
ตลอดประวัติศาสตร์แห่งสมัยกลาง ขบวนการเผด็จการการสอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน จึงส่งเสริมระบอบพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นอย่างดี ความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่มีปัญหา
แต่ในระยะสุดท้ายของประวัติศาสตร์สมัยกลาง (ราวศตวรรษที่ ๑๕ ) เกิดขบวนการประชาธิปไตยขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนทำให้ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนอีกต่อไป และถ้าระบอบพระมหากษัตริย์สนับสนุนขบวนการเผด็จการก็จะไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนเช่นกัน
แต่ขบวนการประชาธิปไตยโดยทั่วไปและประชาชนทั่วไปต้องการระบอบพระมหากษัตริย์ ไม่ต้องการละทิ้งระบอบพระมหากษัตริย์ ขบวนการประชาธิปไตยและประชาชนจึงต้องการให้ระบอบพระมหากษัตริย์ยืนอยู่ฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยและประชาชน และถ้าระบอบพระมหากษัตริย์หันมายืนอยู่ฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยและประชาชน เงื่อนไขอย่างหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ ความเปลี่ยนแปลงจากระบอบพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) เป็นระบอบพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) หรือเรียกให้ยาวออกไปว่าระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในยุคแห่งความเปลี่ยนแปลงจากประวัติศาสตร์สมัยกลางเป็นประวัติศาสตร์สมัยใหม่ โดยทั่วไปแล้วระบอบพระมหากษัตริย์ที่ยืนอยู่ฝ่ายขบวนการเผด็จการจะสูญเสียความมั่นคง กระทั่งอาจถูกทำลายไป แต่ระบอบพระมหากษัตริย์ที่ยืนอยู่ฝ่ายขบวนการประชาธิปไตย จะมีความมั่นคงดังตัวอย่างเช่น....
ในประเทศอังกฤษ การต่อสู้อันรุนแรงระหว่างขบวนการเผด็จการกับขบวนการประชาธิปไตยในอังกฤษ คือสงครามระหว่างกองทัพเดิมกับกองทัพรัฐสภาเมื่อ ค.ศ. ๑๖๔๒ กองทัพเดิมของขบวนการเผด็จการกองทัพรัฐสภาคือ กองทัพของขบวนการประชาธิปไตย
พระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ ทรงบัญชาการกองทัพเดิมรบกับกองทัพรัฐสภาภายใต้บัญชาการของโอวิเวอร์ ครอมเวล กองทัพรัฐสภาชนะ สำเร็จโทษพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑ และยกเลิกระบอบพระมหากษัตริย์ ครอมเวลเป็นผู้ปกครองประเทศเรียกว่าท่านผู้พิทักษ์
หลังจากครอมเวลถึงแก่กรรมในปี ๑๖๕๘ ก็เกิดความระส่ำระสาย จึงได้รื้อฟื้นระบอบพระมหากษัตริย์ขึ้นอีก โดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๒ ขึ้นครองราชย์ซึ่งทรงประนีประนอมกับขบวนการประชาธิปไตยเป็นอย่างดี แต่พระเจ้าเจมส์ที่๒ ซึ่งทรงสืบพระราชสมบัติต่อมา (ปี ๑๖๘๕) ไม่ทรงประนีประนอมกับขบวนการประชาธิปไตยจึงถูกโค่นโดยการปฏิวัติแห่งปี ๑๖๘๘ ทำให้ขบวนการประชาธิปไตยชนะต่อขบวนการเผด็จการอย่างเด็ดขาด โดยรัฐสภาซึ่งเป็นผู้แทนของขบวนการประชาธิปไตย เป็นผู้ใช้อำนาจอธิปไตยอย่างสมบูรณ์เป็นระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่เป็นแบบฉบับมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าอังกฤษเป็นแบบฉบับของประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา มีพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (แบบนิติประเพณี) เป็นประมุขของประเทศ และเป็นระบอบพระมหากษัตริย์ที่มีความมั่นคงอย่างยิ่ง
แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนี้ ระบอบพระมหากษัตริย์ก็เคยถูกโค่นมาแล้ว (สมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ ๑) และการที่ระบอบพระมหากษัตริย์ถูกโค่นก็เพราะระบอบพระมหากษัตริย์ไปยืนอยู่ฝ่ายขบวนการเผด็จการ แต่เมื่อระบอบพระมหากษัตริย์หันมายืนอยู่ฝ่ายขบวนการประชาธิปไตย ก็กลับคืนสถานะอันสูงส่ง และมีความมั่นคงมาโดยตลอด
ตัวอย่างของอังกฤษพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า ประชาชนต้องการระบอบพระมหากษัตริย์อย่างมากมายเพียงใด เพราะแม้แต่พระมหากษัตริย์จะเคยยืนอยู่ฝ่ายขบวนการเผด็จการ ทำสงครามอย่างรุนแรงกับขบวนการประชาธิปไตย ถึงกับพระมหากษัตริย์ถูกสำเร็จโทษ แต่เมื่อระบอบพระมหากษัตริย์หันมาประนีประนอมกับขบวนการประชาธิปไตยก็ยังคงได้รับความสนับสนุนจากประชาชนอย่างเข้มแข็งมาโดยตลอด ดังที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้