Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?
เขียนโดย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร  โพสเมื่อ ๑๖ กันยายน ๒๕๕๒ ๐๔.๓๐ น.
 
 
                                               - ตอน ๒๒-
 
 
            ฉะนั้น เมื่อแบ่งเป็นขวา กลาง ซ้าย ในขบวนการของชาติทั้งขบวนการแล้ว  ซ้ายหมายความถึงขบวนการคอมมิวนิสต์เท่านั้น ขบวนการสังคมนิยม อยู่ในขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการสังคมนิยมบางขบวนการอาจอยู่ในขบวนการเผด็จการก็ได้  และเพราะขบวนการสังคมนิยมนั้นมีทั้งปฏิกิริยาและก้าวหน้า

           ในที่นี้ พูดถึงฝ่ายขวาในขบวนการของชาติทั้งขบวนการ  ฉะนั้นจึงหมายความถึงขบวนการเผด็จการซึ่งส่วนสำคัญในปัจจุบันแบ่งออกเป็นฝ่ายที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภา

         ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐประหาร คือขบวนการเผด็จการฝ่ายทหารเป็นส่วนสำคัญ ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภาคือขบวนการเผด็จการที่เป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นส่วนสำคัญ

          นี่เป็นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันแต่เมื่อกล่าวถึงในด้านที่เกี่ยวพันกับปัญหาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์  เพื่อให้เข้าใจชัดเจนจำเป็นต้องย้อนไปกล่าวถึงขบวนการเผด็จการในอดีตบ้าง

          ขบวนการเผด็จการในอดีตก่อน ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ต่างกับขบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน  ซึ่งกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์  (Limited Monarchy)  หรือระบอบพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy) 

          ขบวนการเผด็จการในอดีต ซึ่งรักษาระบอบเผด็จการภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น  ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์  สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นในประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นขบวนการเผด็จการดังกล่าวนั้น  สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน  สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีความมั่นคงโดยตลอด  ไม่เกิดปัญหาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อย  จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งยุครัตนโกสินทร์ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด

         ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ทางสังคมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป  ขบวนการเผด็จการกลายเป็นขบวนการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน และเกิดขบวนการที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนขึ้นแทน นั่นคือขบวนการประชาธิปไตย

         การที่ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนนั้น  ย่อมส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนไปด้วย  และการที่ขบวนการประชาธิปไตยจะส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้นไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้น  ไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์   แต่จะทำได้ด้วยวิธีเดียวคือเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์  (สถาบันพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ)  และส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั้น

         ฉะนั้นในยุคสมัยที่สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยทางที่ทำให้ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนแล้วนั้น   การที่ขบวนการประชาธิปไตยต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์  จึงเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์  แต่ขบวนการเผด็จการเห็นว่า นั่นเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  พวกเขาต้องการจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ต่อไป  โดยเข้าใจผิดว่านั่นคือ การรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะเขามองไม่เห็นว่าขบวนการเผด็จการและสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น  ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนต่อไปแล้ว

       พระมหากษัตริย์ไทยทรงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคม  จึงทรงปฏิเสธขบวนการเผด็จการและทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่สภาวการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นต้นมา  ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำขบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยอันไพศาลทำการปฏิรูปประชาธิปไตย   (Democratic Reform) อย่างมโหฬาร  ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตย  (Democratic Revolution)ในขั้นสุดท้าย  ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นซึ่งพระราชประสงค์ส่วนหนึ่งก็คือ  จะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั่นเอง  และนั่นคือวิธีการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง
   
 
           
                                                                                                       
             
 
                                                                    - ตอน ๒๓ -
 
       
         รัชกาลที่๖ทรงทำการปฏิรูปประชาธิปไตยต่อไป  ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในที่สุดเช่นกัน  และด้วยเหตุนี้เมื่อคณะร.ศ. ๑๓๐ ดำเนินการเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย  จึงไม่ทรงเอาโทษในข้อหาว่าคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย  แต่เอาโทษเฉพาะในข้อหาว่าจะประทุษร้ายองค์พระประมุขเท่านั้น  และเอาโทษสถานเบาเมื่อเปรียบกับข้อหาอันเป็นอันอุกฉกรรจ์ยิ่ง  ซึ่งตามปกติต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรทีเดียว

        รัชกาลที่๗ ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง โดยทรงช่วยเหลือสนับสนุนคณะราษฎรอย่างเต็มที่และเมื่อคณะราษฎรจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการก็ทรงคัดค้านเต็มที่เช่นกัน  เมื่อคัดค้านไม่ไหวก็ทรงสละราชสมบัติและทรงฝากหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไว้กับประชาชนว่า
 
         “ ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป  แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ผู้ใดคณะใดเพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร ”  

          ซึ่งจารึกอยู่ ณ ฐานพระราชอนุสาวรีย์หน้ารัฐสภา

         พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน  ทรงมีพระราชดำรัสในท่ามกลางกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญอันไหลเชี่ยวในกรณี ๑๔ ตุลาคม แก่รัฐมนตรีชุดนายสัญญา  ธรรมศักดิ์  เมื่อวันเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๖ ว่า    “ ต้องทำหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ให้สภาพการปกครองเข้าสู่สภาพปกติ  ให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมะสมกับสภาพของประเทศชาติ “

          เหล่านี้เป็นการทบทวนโดยย่อถึงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงดำเนินการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์  แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดจนถึงระบอบเผด็จการในปัจจุบัน

          พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงตอบคณะเจ้านายและขุนนางตอนหนึ่งว่า
 
          “ เราขอท่านทั้งปวงเข้าใจว่า  เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต้องบีบคั้นให้หันมาทางกลางเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป  ซึ่งมีมาในพงศาวดาร  และเพราะความเห็นความรู้ซึ่งเราได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาถึง ๑๘ ปี ได้พบเห็นและได้เคยทุกข์ร้อนในการหนักในการแรงการเผด็จการร้อนของบ้านของเมือง  ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใด  ทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่นๆซึ่งมีเนืองๆ มิได้ขาด  แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่เปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อนจนมีเหตุบ่อยๆ ซึ่งเป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่าเราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนคางคกอยู่ในกะลาครอบ  ที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิษฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย  ”
 
           และพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรตอนหนึ่งว่า
 
          “ ข้าพเจ้าได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่าเมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้ว   ประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองเป็นแบบนี้   และตั้งข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ   ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้   และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้ยโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหนโดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ  ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันทีโดยไม่มีข้อข้องใจแต่อย่างใดเลย “
 
           ตัวอย่างเหล่านี้ตรงกับคำกลอนของนายเทียนวรรณ นักประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่๕ ที่เขียนไว้ว่า
 
          ขอให้เห็นเช่นเราผู้เฒ่าทัก
          บำรุงรักษาชาติสะอาดศรี
          ทั้งเจ้านายฝ่ายพหลและมนตรี
          จงเป็นศรีวิไลซ์จริงอย่านิ่งนาน
          ให้รับหาปาลีเมนต์ขึ้นเป็นหลัก
          จะได้ชักน้อมในไพร่สมาน
          เริ่มเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล
          รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย

  
         และตรงกับทรรศนะของร.ท.แม้น สังขวิจิตร มหาดเล็กของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งให้เหตุผลในการเข้าร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะ ร.ศ. ๑๓๐ ว่า
 
         “ การร่วมปฏิวัติของเขา  ก็คือความหวังที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นประมุขของพระองค์ในภาวะประชาธิปไตยนั่นเอง  โดยเห็นว่า  การปกครองแบบราชาธิปไตยนี้จะเป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์อย่างแน่แท้ “ (จากบันทึกร.ต.เหรียญและร.ต.เนตร)  ซึ่งตรงกับบันทึกของพ.อ.มนูญ รูปขจรที่ว่า “ เราพวกแม่ทัพนายกอง ทหาร ทุกกรมกอง หัวใจยังเต็มเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก “ (จากหนังสือพิมพ์ชาวไทย ๒๒ พ.ค. ๒๕๒๔)

          ข้อเท็จจริงที่ยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป  พระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ  แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย  ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า   ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้  ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์  และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
 
   
   
    
    
 
             
               (อ่านต่อตอนหน้า)
 
 
 
          อ่านย้อนหลัง...
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป