ฉะนั้น เมื่อแบ่งเป็นขวา กลาง ซ้าย ในขบวนการของชาติทั้งขบวนการแล้ว ซ้ายหมายความถึงขบวนการคอมมิวนิสต์เท่านั้น ขบวนการสังคมนิยม อยู่ในขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการสังคมนิยมบางขบวนการอาจอยู่ในขบวนการเผด็จการก็ได้ และเพราะขบวนการสังคมนิยมนั้นมีทั้งปฏิกิริยาและก้าวหน้า
ในที่นี้ พูดถึงฝ่ายขวาในขบวนการของชาติทั้งขบวนการ ฉะนั้นจึงหมายความถึงขบวนการเผด็จการซึ่งส่วนสำคัญในปัจจุบันแบ่งออกเป็นฝ่ายที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภา
ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐประหาร คือขบวนการเผด็จการฝ่ายทหารเป็นส่วนสำคัญ ขบวนการเผด็จการที่นิยมระบอบเผด็จการรัฐสภาคือขบวนการเผด็จการที่เป็นพรรคการเมืองและนักการเมืองเป็นส่วนสำคัญ
นี่เป็นขบวนการเผด็จการในปัจจุบันแต่เมื่อกล่าวถึงในด้านที่เกี่ยวพันกับปัญหาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เข้าใจชัดเจนจำเป็นต้องย้อนไปกล่าวถึงขบวนการเผด็จการในอดีตบ้าง
ขบวนการเผด็จการในอดีตก่อน ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ นั้นกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) ต่างกับขบวนการประชาธิปไตยในปัจจุบัน ซึ่งกุมอำนาจอธิปไตยภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์ (Limited Monarchy) หรือระบอบพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ (Constitutional Monarchy)
ขบวนการเผด็จการในอดีต ซึ่งรักษาระบอบเผด็จการภายใต้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ในประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นในประวัติศาสตร์อันยาวนานเป็นขบวนการเผด็จการดังกล่าวนั้น สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน สถาบันพระมหากษัตริย์จึงมีความมั่นคงโดยตลอด ไม่เกิดปัญหาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์แม้แต่น้อย จึงเห็นได้ว่าตั้งแต่ก่อนยุคสุโขทัยลงมาจนถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งยุครัตนโกสินทร์ขบวนการเผด็จการเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์มาโดยตลอด
ครั้นมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์ทางสังคมของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงไป ขบวนการเผด็จการกลายเป็นขบวนการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชน และเกิดขบวนการที่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนขึ้นแทน นั่นคือขบวนการประชาธิปไตย
การที่ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนนั้น ย่อมส่งผลให้สถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนไปด้วย และการที่ขบวนการประชาธิปไตยจะส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้นไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงนั้น ไม่สามารถจะทำได้ด้วยการส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่จะทำได้ด้วยวิธีเดียวคือเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ (สถาบันพระมหากษัตริย์รัฐธรรมนูญ) และส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั้น
ฉะนั้นในยุคสมัยที่สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป โดยทางที่ทำให้ขบวนการเผด็จการไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนแล้วนั้น การที่ขบวนการประชาธิปไตยต้องการจะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ จึงเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ขบวนการเผด็จการเห็นว่า นั่นเป็นการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ พวกเขาต้องการจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ต่อไป โดยเข้าใจผิดว่านั่นคือ การรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์เพราะเขามองไม่เห็นว่าขบวนการเผด็จการและสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้น ไม่สอดคล้องกับความต้องการของประเทศชาติและประชาชนต่อไปแล้ว
พระมหากษัตริย์ไทยทรงมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคม จึงทรงปฏิเสธขบวนการเผด็จการและทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่สภาวการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นต้นมา ดังเช่นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงนำขบวนการปฏิรูปประชาธิปไตยอันไพศาลทำการปฏิรูปประชาธิปไตย (Democratic Reform) อย่างมโหฬาร ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution)ในขั้นสุดท้าย ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นซึ่งพระราชประสงค์ส่วนหนึ่งก็คือ จะเปลี่ยนแปลงสถาบันพระมหากษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์นั่นเอง และนั่นคือวิธีการรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้สภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมที่กำลังเปลี่ยนแปลง
รัชกาลที่๖ทรงทำการปฏิรูปประชาธิปไตยต่อไป ด้วยพระราชประสงค์ที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยในที่สุดเช่นกัน และด้วยเหตุนี้เมื่อคณะร.ศ. ๑๓๐ ดำเนินการเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย จึงไม่ทรงเอาโทษในข้อหาว่าคิดจะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองเป็นประชาธิปไตย แต่เอาโทษเฉพาะในข้อหาว่าจะประทุษร้ายองค์พระประมุขเท่านั้น และเอาโทษสถานเบาเมื่อเปรียบกับข้อหาอันเป็นอันอุกฉกรรจ์ยิ่ง ซึ่งตามปกติต้องตัดหัวเจ็ดชั่วโคตรทีเดียว
รัชกาลที่๗ ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยด้วยพระองค์เอง โดยทรงช่วยเหลือสนับสนุนคณะราษฎรอย่างเต็มที่และเมื่อคณะราษฎรจะเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการก็ทรงคัดค้านเต็มที่เช่นกัน เมื่อคัดค้านไม่ไหวก็ทรงสละราชสมบัติและทรงฝากหัวใจของระบอบประชาธิปไตยไว้กับประชาชนว่า
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ผู้ใดคณะใดเพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิ์ขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
ซึ่งจารึกอยู่ ณ ฐานพระราชอนุสาวรีย์หน้ารัฐสภา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน ทรงมีพระราชดำรัสในท่ามกลางกระแสเรียกร้องรัฐธรรมนูญอันไหลเชี่ยวในกรณี ๑๔ ตุลาคม แก่รัฐมนตรีชุดนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เมื่อวันเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนรับหน้าที่วันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๖ ว่า ต้องทำหน้าที่เพื่อให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ให้สภาพการปกครองเข้าสู่สภาพปกติ ให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมะสมกับสภาพของประเทศชาติ
เหล่านี้เป็นการทบทวนโดยย่อถึงพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงดำเนินการเพื่อประชาธิปไตยอันเป็นการส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตลอดจนถึงระบอบเผด็จการในปัจจุบัน
พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวซึ่งทรงตอบคณะเจ้านายและขุนนางตอนหนึ่งว่า
เราขอท่านทั้งปวงเข้าใจว่า เราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งต้องบีบคั้นให้หันมาทางกลางเหมือนอย่างพระเจ้าแผ่นดินในยุโรป ซึ่งมีมาในพงศาวดาร และเพราะความเห็นความรู้ซึ่งเราได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินมาถึง ๑๘ ปี ได้พบเห็นและได้เคยทุกข์ร้อนในการหนักในการแรงการเผด็จการร้อนของบ้านของเมือง ซึ่งมีอำนาจจะมากดขี่ประการใด ทั้งได้ยินข่าวคราวจากเมืองอื่นๆซึ่งมีเนืองๆ มิได้ขาด แลการซึ่งเราได้ขวนขวายตะเกียกตะกายอยู่ในการที่เปลี่ยนแปลงมาแต่ก่อนจนมีเหตุบ่อยๆ ซึ่งเป็นพยานของเราที่จะยกขึ้นชี้ได้ว่าเราไม่ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเหมือนคางคกอยู่ในกะลาครอบ ที่จะพึงทรมานให้สิ้นทิษฐิถือว่าตัวโตนั้นด้วยอย่างหนึ่งอย่างใดเลย
และพระราชบันทึกของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสนอต่อรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรตอนหนึ่งว่า
ข้าพเจ้าได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่าเมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้ว ประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองของบ้านเมืองเป็นแบบนี้ และตั้งข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่จะบันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้ยโดยเปิดเผยหลายครั้งหลายหนโดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันทีโดยไม่มีข้อข้องใจแต่อย่างใดเลย
ตัวอย่างเหล่านี้ตรงกับคำกลอนของนายเทียนวรรณ นักประชาธิปไตยสมัยรัชกาลที่๕ ที่เขียนไว้ว่า
ขอให้เห็นเช่นเราผู้เฒ่าทัก
บำรุงรักษาชาติสะอาดศรี
ทั้งเจ้านายฝ่ายพหลและมนตรี
จงเป็นศรีวิไลซ์จริงอย่านิ่งนาน
ให้รับหาปาลีเมนต์ขึ้นเป็นหลัก
จะได้ชักน้อมในไพร่สมาน
เริ่มเป็นฟรีปรีดาอย่าช้ากาล
รักษาบ้านเมืองเราช่วยเจ้านาย
|
และตรงกับทรรศนะของร.ท.แม้น สังขวิจิตร มหาดเล็กของรัชกาลที่ ๖ ซึ่งให้เหตุผลในการเข้าร่วมปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะ ร.ศ. ๑๓๐ ว่า
การร่วมปฏิวัติของเขา ก็คือความหวังที่จะดำรงไว้ซึ่งความเป็นประมุขของพระองค์ในภาวะประชาธิปไตยนั่นเอง โดยเห็นว่า การปกครองแบบราชาธิปไตยนี้จะเป็นยาพิษแก่ราชบัลลังก์อย่างแน่แท้ (จากบันทึกร.ต.เหรียญและร.ต.เนตร) ซึ่งตรงกับบันทึกของพ.อ.มนูญ รูปขจรที่ว่า เราพวกแม่ทัพนายกอง ทหาร ทุกกรมกอง หัวใจยังเต็มเปี่ยมด้วยความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก (จากหนังสือพิมพ์ชาวไทย ๒๒ พ.ค. ๒๕๒๔)
ข้อเท็จจริงที่ยกมาเพียงเล็กน้อยนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป พระมหากษัตริย์ไทยมิได้ทรงอยู่ในขบวนการเผด็จการ แต่ทรงอยู่ในขบวนการประชาธิปไตย ซึ่งเป็นขบวนการที่มีความเห็นว่า ในสภาวการณ์เช่นนี้สถาบันพระมหากษัตริย์จะมีความมั่นคงได้ ต้องเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ปริมิตาญาสิทธิราชย์ และประเทศชาติต้องมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านย้อนหลัง...
|