อีกด้านหนึ่งขบวนการปฏิวัติมีแค่เพียง ๒ ขบวนการเท่านั้น คือขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์เมื่อคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองไม่ใช่ขบวนการคอมมิวนิสต์ (ไม่ใช่พคท.) แล้วก็ต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในขบวนการประชาธิปไตย แต่ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงจนถึงประชาชน ไม่มีความมุ่งหมายจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แต่มีความมุ่งหมายจะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจมีคนจำนวนน้อยนิดในขบวนการประชาธิปไตยที่มีความผิดพลาด โดยมีความคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดังกล่าวมาแล้วทั้งยังเป็นพวกที่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยจากภายในอีกด้วย ฉะนั้น ความผิดพลาดของคำจำนวนน้อยนิดจึงไม่ส่งผลสะเทือนทางร้ายแก่ขบวนการประชาธิปไตย ขบวนการประชาธิปไตยยังคงมั่นคงในความมุ่งหลายที่จะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์
จึงเห็นได้ว่า การสร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น เป็นการสร้างขึ้นมาในอากาศโดยแท้ เป็นการสร้างความกลัวขึ้นมากลัวเล่นเท่านั้นเอง
ฉะนั้น การพิจารณาคอมมิวนิสต์ว่าจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น จึงไม่ใช่พิจารณาคอมมิวนิสต์ที่สร้างขึ้นมาในอากาศ คอมมิวนิสต์อย่างนั้นตัดทิ้งไปได้ แต่ต้องพิจารณาคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่จริงๆคือพคท.
ตามทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน ไม่มีกำหนดว่าให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกพรรคก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า ประมุขของประเทศคอมมิวนิสต์จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือไม่ใช่พระมหากษัตริย์
เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐ นายประพันธ์ วีรศักดิ์ โฆษกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์เป็นลายลักษณ์อักษรตีพิมพ์ในนิตยสาร มหาชน ซึ่งเป็นออร์แกนของพคท.เกี่ยวกับปัญหาพระมหากษัตริย์ไว้ว่า พคท. เป็นพรรคที่ยึดติดมติมหาชน ต้องการพระมหากษัตริย์ พคท.ก็จะปฏิบัติตามมติมหาชนนั้น
ต่อมามีกรรมการกรมการเมืองของพคท. คนหนึ่งกล่าวว่า ถ้าระบบสังคมนิยมของประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เขาจะดีใจอย่างที่สุด
เหล่านี้แสดงว่าพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะคือ พคท. ไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนว่าระบอบคอมมิวนิสต์ของเขาจะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศหรือไม่
อย่างไรก็ดี ความมุ่งหมายของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นดังที่คาร์ลมาร์กซ์ เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่าชาวคอมมิวนิสต์ไม่ต้องการจะปกปิดอำพรางทรรศนะและความมุ่งหมายของตน เขาประกาศอย่างเปิดเผยว่า ความมุ่งหมายของเขาจะบรรลุได้ ก็แต่โดยใช้กำลังโค่นระบบสังคมที่ดำรงอยู่เสียทั้งหมดเท่านั้น
พูดให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ ใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธโค่นระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่และสร้างระบบเผด็จการชนกรรมาชีพขึ้นแทน (สำหรับประเทศไทยโดยผ่านทางการเข้านำการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติและใช้ระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพล้มล้างระบบเสรีนิยม และสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นแทน นี่คือความมุ่งหมายของพคท.)
ในการปฏิบัติให้บรรลุความมุ่งหมายเช่นนี้ แม้ว่าพคท.จะไม่มีความมุ่งหมายเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ และแม้ว่าผู้นำของพคท. ยินดีจะให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศสังคมนิยมก็ตาม แต่การเปลี่ยนแปลงระบบสังคมนิยมอย่างรุนแรงตามความมุ่งหมายที่คาร์ลมาร์กซ์กล่าวไว้ จะไม่สามารถรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ได้ สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติและพระมหากษัตริย์คงจะไม่สามารถเป็นประมุขของประเทศที่มีการปกครองระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพ
ฉะนั้นถ้าพคท.ได้อำนาจในประเทศไทย ถ้าประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์ สถาบันพระมหากษัตริย์คงจะถูกทำลาย
แต่พคท.จะบรรลุมุ่งหมายนั้นได้เขาจะต้องชนะสงคราม ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ว่า ถ้าเขาแพ้สงครามแล้ว จะเดินทางอื่นไปบรรลุความมุ่งหมายนั้นได้
แต่หลังจากพคท. ทำสงครามมา ๑๐ กว่าปี ก็แพ้สงครามโดยพื้นฐานเสียแล้ว ตามข้อสรุปของกองทัพเรื่องการปฏิบัติคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ๖๖/๒๓ เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๔ และกองทัพจะปฏิบัติคำสั่งนี้ให้ครบถ้วนต่อไป ซึ่งจะทำให้พคท. แพ้สงครามโดยสิ้นเชิง ทำให้ความมุ่งหมายของพคท. พังทลายหมดสิ้น
ฉะนั้น อันตรายจากคอมมิวนิสต์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงหมดไป คอมมิวนิสต์ไม่สามารถทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป
ในตอนก่อนๆ กล่าวถึงขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยว่าไม่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่พระมหากษัตริย์ เจ้านายขุนนาง ลงมาจนถึงประชาชน ไม่แต่จะไม่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย ส่วนขบวนการคอมมิวนิสต์ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เพราะพคท.แพ้สงครามโดยพื้นฐานแล้ว
ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงอีกขบวนการหนึ่งก็คือ ขบวนการเผด็จการ แบ่งอย่างกว้างๆ ขบวนการการเมืองของประเทศไทยมี ๓ ขบวนการคือขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการคอมมิวนิสต์
ขบวนการเผด็จการ คือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่ไว้ซึ่งมีอยู่ ๒ ระบอบสลับกัน คือ ระบอบรัฐธรรมนูญและระบอบรัฐประหาร ทั้ง ๒ ระบอบแม้ว่าจะมีรูปแตกต่างกันแต่ก็มีเนื้ออย่างเดียวกันคือระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยรัฐธรรมนูญเรียกว่าระบอบรัฐธรรมนูญหรือระบอบรัฐสภา อีกระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยการยึดอำนาจ เรียกว่า ระบอบรัฐประหาร หรือระบอบทหาร แต่ทั้ง ๒ ระบอบก็เป็นผู้แทนของคนส่วนน้อยอย่างเดียวกันโดยเฉพาะคือเป็นผู้แทนของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกัน ดังนั้นทั้งอำนาจอธิปไตยของทั้ง ๒ ระบอบ เป็นของคนส่วนน้อยโดยเฉพาะเป็นของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกันและดังนั้น ๒ ระบอบจึงเป็นระบอบเผด็จการอย่างเดียวกัน เรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาและระบอบเผด็จการรัฐประหาร
เมื่อเป็นดังนี้ พรรคการเมืองใด กลุ่มการเมืองใด องค์การการเมืองใด บุคคลการเมืองใด ตลอดจนมวลชนที่เดินตาม จึงอยู่ในขบวนการเดียวกันคือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือระบอบเผด็จการรัฐประหารไว้ เรียกว่า ขบวนการเผด็จการ
ขบวนการประชาธิปไตย คือขบวนการที่ประกอบด้วยพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง องค์การการเมือง บุคคลการเมือง ตลอดจนมวลชนซึ่งต่างก็มีความมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบเผด็จการไม่ว่าในรูปใดๆ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย หรือทำการปฏิวัติประชาธิปไตย
ขบวนการคอมมิวนิสต์ คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และบุคคลหรือมวลชนที่เห็นด้วยกับนโยบายขั้นต่ำและขั้นสูงของพคท. ขบวนการดังกล่าวนี้มีความมุ่งหมายจะเข้าไปนำการปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อพาไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม เพื่อสร้างระบบสังคมนิยม และระบบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย
ขบวนการเผด็จการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายขวา ขบวนการประชาธิปไตยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายกลาง ขบวนการคอมมิวนิสต์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายซ้าย
ฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย ดังกล่าวนี้ กำหนดจากขบวนการการเมืองทั้งหมดในประเทศ คือรวมกันทั้งขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์
แต่ทว่าในแต่ละขบวนการยังแบ่งออกเป็น ฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และ ฝ่ายซ้าย คือในขบวนการเผด็จการมีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย ในขบวนการประชาธิปไตยมีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย และในขบวนการคอมมิวนิสต์มีฝ่ายขวา ฝ่ายกลางและฝ่ายซ้าย นัยหนึ่ง ฝ่ายขวา มีขวา มีกลาง และมีซ้าย ฝ่ายกลางมีขวา มีกลางและมีซ้าย และฝ่ายซ้ายก็มีขวา มีกลางและมีซ้าย
สภาพเช่นนี้ทำให้บางคนเข้าใจว่าซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตย และซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยเป็นขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์
ความจริงแล้ว ขบวนการเผด็จการกับขบวนการประชาธิปไตยมีการปะปนกันได้ คือซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตยได้ และอาจเป็นกลางหรือเป็นซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยก็ได้
ยกตัวอย่างเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ รัชกาลที่ ๗ ทรงถูกถือว่าเป็นซ้ายในฝ่ายขวา (สมบูรณาญาสิทธิราชย์) พระองค์ท่านกลับทรงเป็นฝ่ายกลางในขบวนการประชาธิปไตย แต่นายปรีดี พนมยงค์ และผู้ติดตาม ซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายในขบวนการประชาธิปไตย (เพราะมีแนวสังคมนิยม) นั้นไม่ใช่ฝ่ายขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์ แต่ฝ่ายซ้ายของประชาธิปไตยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ฉะนั้น ซ้ายของประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ขวาของคอมมิวนิสต์ และขวาของคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่ซ้ายของประชาธิปไตย ระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยและเผด็จการนั้น ไม่ว่าขวา กลาง หรือซ้าย แบ่งแยกกันเด็ดขาด ปะปนกันไม่ได้ แต่ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยแบ่งแยกกันไม่เด็ดขาด จึงปะปนกันได้
แต่ในประเทศไทยมีการปะปนกันทั้ง ๓ สิ่ง เช่นเมื่อพูดถึงซ้ายก็ไม่จำแนกว่าซ้ายของเผด็จการ หรือซ้ายของประชาธิปไตย หรือซ้ายของคอมมิวนิสต์ นัยหนึ่งไม่จำแนกว่าเป็นซ้ายของขวา หรือซ้ายของกลางหรือซ้ายของซ้าย เป็นเหตุให้เอาคอมมิวนิสต์ไปปะปนกับประชาธิปไตยและเผด็จการ นักประชาธิปไตยบางส่วนถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์กระทั่งนักเผด็จการบางส่วนก็ถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์ ทำให้คำว่า ซ้าย หมายถึงคอมมิวนิสต์หรือเป็นพวกของคอมมิวนิสต์ซึ่งแท้จริงแล้วซ้ายของเผด็จการ (ซ้ายของขวา) และซ้ายของประชาธิปไตย (ซ้ายของกลาง) นั้นเป็นคนละเรื่องกับคอมมิวนิสต์ อย่างเช่น คุณชวน คุณสุรินทร์ คุณวีระ ซึ่งถือกันว่าเป็นซ้ายของขวา (ซ้ายในพรรคประชาธิปัตย์) ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อกรณี ๖ ตุลาคม และขบวนการสังคมนิยมในปัจจุบันซึ่งเป็นซ้ายในขบวนการเป็นต้น แต่ตามสภาพความเป็นจริงของคนเหล่านี้แตกต่างจากคอมมิวนิสต์จนถึงรากเหง้า เช่นพวกพรรคสังคมนิยมซึ่งเข้าไปอยู่กับชาวพรรคคอมมิวนิสต์ในป่าออกมาสารภาพว่ามีความแตกต่างทางความคิดอย่างแท้จริง
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านย้อนหลัง...
|