Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?
เขียนโดย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร  โพสเมื่อ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ๐๘.๕๕ น.
        
   
                                                - ตอน ๒๐ -
 
 
             อีกด้านหนึ่งขบวนการปฏิวัติมีแค่เพียง ๒ ขบวนการเท่านั้น คือขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์เมื่อคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองไม่ใช่ขบวนการคอมมิวนิสต์  (ไม่ใช่พคท.)  แล้วก็ต้องเป็นบุคคลที่อยู่ในขบวนการประชาธิปไตย  แต่ดังได้กล่าวมาแล้วว่า  ขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงจนถึงประชาชน  ไม่มีความมุ่งหมายจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์แต่มีความมุ่งหมายจะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์   อาจมีคนจำนวนน้อยนิดในขบวนการประชาธิปไตยที่มีความผิดพลาด  โดยมีความคิดต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์  แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ดังกล่าวมาแล้วทั้งยังเป็นพวกที่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยจากภายในอีกด้วย   ฉะนั้น ความผิดพลาดของคำจำนวนน้อยนิดจึงไม่ส่งผลสะเทือนทางร้ายแก่ขบวนการประชาธิปไตย  ขบวนการประชาธิปไตยยังคงมั่นคงในความมุ่งหลายที่จะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์

              จึงเห็นได้ว่า  การสร้างคอมมิวนิสต์ขึ้นมาให้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น  เป็นการสร้างขึ้นมาในอากาศโดยแท้  เป็นการสร้างความกลัวขึ้นมากลัวเล่นเท่านั้นเอง

            ฉะนั้น การพิจารณาคอมมิวนิสต์ว่าจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์หรือไม่นั้น  จึงไม่ใช่พิจารณาคอมมิวนิสต์ที่สร้างขึ้นมาในอากาศ คอมมิวนิสต์อย่างนั้นตัดทิ้งไปได้   แต่ต้องพิจารณาคอมมิวนิสต์ที่มีอยู่จริงๆคือพคท.

            ตามทฤษฎีของลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนิน  ไม่มีกำหนดว่าให้พรรคคอมมิวนิสต์ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  และนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ทุกพรรคก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่า  ประมุขของประเทศคอมมิวนิสต์จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือไม่ใช่พระมหากษัตริย์

            เมื่อพ.ศ. ๒๔๙๐  นายประพันธ์ วีรศักดิ์ โฆษกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย  ได้ให้สัมภาษณ์เป็นลายลักษณ์อักษรตีพิมพ์ในนิตยสาร “มหาชน” ซึ่งเป็นออร์แกนของพคท.เกี่ยวกับปัญหาพระมหากษัตริย์ไว้ว่า  “ พคท. เป็นพรรคที่ยึดติดมติมหาชน ต้องการพระมหากษัตริย์ พคท.ก็จะปฏิบัติตามมติมหาชนนั้น  “

             ต่อมามีกรรมการกรมการเมืองของพคท. คนหนึ่งกล่าวว่า “ ถ้าระบบสังคมนิยมของประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เขาจะดีใจอย่างที่สุด ”

             เหล่านี้แสดงว่าพรรคคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะคือ พคท. ไม่ได้กำหนดไว้แน่นอนว่าระบอบคอมมิวนิสต์ของเขาจะมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศหรือไม่

           อย่างไรก็ดี ความมุ่งหมายของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นดังที่คาร์ลมาร์กซ์ เขียนไว้ในแถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ว่าชาวคอมมิวนิสต์ไม่ต้องการจะปกปิดอำพรางทรรศนะและความมุ่งหมายของตน  เขาประกาศอย่างเปิดเผยว่า  ความมุ่งหมายของเขาจะบรรลุได้  ก็แต่โดยใช้กำลังโค่นระบบสังคมที่ดำรงอยู่เสียทั้งหมดเท่านั้น

            พูดให้ชัดยิ่งขึ้นก็คือ  ใช้การต่อสู้ด้วยอาวุธโค่นระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่และสร้างระบบเผด็จการชนกรรมาชีพขึ้นแทน  (สำหรับประเทศไทยโดยผ่านทางการเข้านำการปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติและใช้ระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพล้มล้างระบบเสรีนิยม  และสร้างระบบสังคมนิยมขึ้นแทน  นี่คือความมุ่งหมายของพคท.)

            ในการปฏิบัติให้บรรลุความมุ่งหมายเช่นนี้ แม้ว่าพคท.จะไม่มีความมุ่งหมายเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์  และแม้ว่าผู้นำของพคท. ยินดีจะให้พระมหากษัตริย์เป็นประมุขของประเทศสังคมนิยมก็ตาม  แต่การเปลี่ยนแปลงระบบสังคมนิยมอย่างรุนแรงตามความมุ่งหมายที่คาร์ลมาร์กซ์กล่าวไว้  จะไม่สามารถรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้ได้  สถาบันพระมหากษัตริย์จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติและพระมหากษัตริย์คงจะไม่สามารถเป็นประมุขของประเทศที่มีการปกครองระบอบเผด็จการชนกรรมาชีพ

            ฉะนั้นถ้าพคท.ได้อำนาจในประเทศไทย ถ้าประเทศไทยเป็นคอมมิวนิสต์ สถาบันพระมหากษัตริย์คงจะถูกทำลาย

            แต่พคท.จะบรรลุมุ่งหมายนั้นได้เขาจะต้องชนะสงคราม   ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นเลย  ไม่ใช่ว่า ถ้าเขาแพ้สงครามแล้ว จะเดินทางอื่นไปบรรลุความมุ่งหมายนั้นได้

           แต่หลังจากพคท. ทำสงครามมา ๑๐ กว่าปี ก็แพ้สงครามโดยพื้นฐานเสียแล้ว  ตามข้อสรุปของกองทัพเรื่องการปฏิบัติคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ๖๖/๒๓  เมื่อวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๒๔  และกองทัพจะปฏิบัติคำสั่งนี้ให้ครบถ้วนต่อไป  ซึ่งจะทำให้พคท. แพ้สงครามโดยสิ้นเชิง  ทำให้ความมุ่งหมายของพคท. พังทลายหมดสิ้น
 
          
ฉะนั้น อันตรายจากคอมมิวนิสต์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงหมดไป  คอมมิวนิสต์ไม่สามารถทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกต่อไป  
  
 
 
 
 

 

                    
                                                                                                       
             
 
                                                                    - ตอน ๒๑ -
 
       
     ในตอนก่อนๆ กล่าวถึงขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยว่าไม่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์  ขบวนการประชาธิปไตยตั้งแต่พระมหากษัตริย์ เจ้านายขุนนาง ลงมาจนถึงประชาชน ไม่แต่จะไม่เป็นภัยต่อสถาบันพระมหากษัตริย์เท่านั้น  ยังส่งเสริมความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์อีกด้วย   ส่วนขบวนการคอมมิวนิสต์ไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เพราะพคท.แพ้สงครามโดยพื้นฐานแล้ว

         ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงอีกขบวนการหนึ่งก็คือ ขบวนการเผด็จการ  แบ่งอย่างกว้างๆ ขบวนการการเมืองของประเทศไทยมี ๓ ขบวนการคือขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตย และขบวนการคอมมิวนิสต์

         ขบวนการเผด็จการ คือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่ไว้ซึ่งมีอยู่ ๒ ระบอบสลับกัน คือ ระบอบรัฐธรรมนูญและระบอบรัฐประหาร  ทั้ง ๒ ระบอบแม้ว่าจะมีรูปแตกต่างกันแต่ก็มีเนื้ออย่างเดียวกันคือระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยรัฐธรรมนูญเรียกว่าระบอบรัฐธรรมนูญหรือระบอบรัฐสภา  อีกระบอบหนึ่งใช้อำนาจโดยการยึดอำนาจ  เรียกว่า ระบอบรัฐประหาร  หรือระบอบทหาร  แต่ทั้ง ๒ ระบอบก็เป็นผู้แทนของคนส่วนน้อยอย่างเดียวกันโดยเฉพาะคือเป็นผู้แทนของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกัน   ดังนั้นทั้งอำนาจอธิปไตยของทั้ง ๒ ระบอบ เป็นของคนส่วนน้อยโดยเฉพาะเป็นของผลประโยชน์ผูกขาดอย่างเดียวกันและดังนั้น ๒ ระบอบจึงเป็นระบอบเผด็จการอย่างเดียวกัน เรียกว่าระบอบเผด็จการรัฐสภาและระบอบเผด็จการรัฐประหาร

          เมื่อเป็นดังนี้ พรรคการเมืองใด  กลุ่มการเมืองใด องค์การการเมืองใด บุคคลการเมืองใด ตลอดจนมวลชนที่เดินตาม จึงอยู่ในขบวนการเดียวกันคือขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาหรือระบอบเผด็จการรัฐประหารไว้  เรียกว่า” ขบวนการเผด็จการ “

         ขบวนการประชาธิปไตย คือขบวนการที่ประกอบด้วยพรรคการเมือง  กลุ่มการเมือง องค์การการเมือง บุคคลการเมือง ตลอดจนมวลชนซึ่งต่างก็มีความมุ่งหมายจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบเผด็จการไม่ว่าในรูปใดๆ เป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตย  หรือทำการปฏิวัติประชาธิปไตย

         ขบวนการคอมมิวนิสต์ คือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) และบุคคลหรือมวลชนที่เห็นด้วยกับนโยบายขั้นต่ำและขั้นสูงของพคท.   ขบวนการดังกล่าวนี้มีความมุ่งหมายจะเข้าไปนำการปฏิวัติประชาธิปไตย เพื่อพาไปสู่การปฏิวัติสังคมนิยม  เพื่อสร้างระบบสังคมนิยม  และระบบคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย

        ขบวนการเผด็จการเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายขวา ขบวนการประชาธิปไตยเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายกลาง ขบวนการคอมมิวนิสต์เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าฝ่ายซ้าย 

        ฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย ดังกล่าวนี้ กำหนดจากขบวนการการเมืองทั้งหมดในประเทศ  คือรวมกันทั้งขบวนการเผด็จการ ขบวนการประชาธิปไตยและขบวนการคอมมิวนิสต์

        แต่ทว่าในแต่ละขบวนการยังแบ่งออกเป็น “ ฝ่ายขวา “  “  ฝ่ายกลาง “  และ “ ฝ่ายซ้าย “  คือในขบวนการเผด็จการมีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย  ในขบวนการประชาธิปไตยมีฝ่ายขวา ฝ่ายกลาง และฝ่ายซ้าย และในขบวนการคอมมิวนิสต์มีฝ่ายขวา ฝ่ายกลางและฝ่ายซ้าย  นัยหนึ่ง ฝ่ายขวา มีขวา มีกลาง และมีซ้าย ฝ่ายกลางมีขวา มีกลางและมีซ้าย และฝ่ายซ้ายก็มีขวา มีกลางและมีซ้าย

          สภาพเช่นนี้ทำให้บางคนเข้าใจว่าซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตย  และซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยเป็นขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์

         ความจริงแล้ว ขบวนการเผด็จการกับขบวนการประชาธิปไตยมีการปะปนกันได้ คือซ้ายของขบวนการเผด็จการเป็นขวาของขบวนการประชาธิปไตยได้  และอาจเป็นกลางหรือเป็นซ้ายของขบวนการประชาธิปไตยก็ได้ 
 
         ยกตัวอย่างเมื่อก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ รัชกาลที่ ๗ ทรงถูกถือว่าเป็นซ้ายในฝ่ายขวา (สมบูรณาญาสิทธิราชย์)  พระองค์ท่านกลับทรงเป็นฝ่ายกลางในขบวนการประชาธิปไตย  แต่นายปรีดี พนมยงค์ และผู้ติดตาม  ซึ่งเป็นฝ่ายซ้ายในขบวนการประชาธิปไตย (เพราะมีแนวสังคมนิยม)  นั้นไม่ใช่ฝ่ายขวาของขบวนการคอมมิวนิสต์   แต่ฝ่ายซ้ายของประชาธิปไตยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ฉะนั้น ซ้ายของประชาธิปไตยจึงไม่ใช่ขวาของคอมมิวนิสต์  และขวาของคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่ซ้ายของประชาธิปไตย  ระหว่างคอมมิวนิสต์กับประชาธิปไตยและเผด็จการนั้น  ไม่ว่าขวา กลาง หรือซ้าย แบ่งแยกกันเด็ดขาด ปะปนกันไม่ได้  แต่ระหว่างเผด็จการกับประชาธิปไตยแบ่งแยกกันไม่เด็ดขาด  จึงปะปนกันได้

        แต่ในประเทศไทยมีการปะปนกันทั้ง ๓ สิ่ง เช่นเมื่อพูดถึงซ้ายก็ไม่จำแนกว่าซ้ายของเผด็จการ หรือซ้ายของประชาธิปไตย หรือซ้ายของคอมมิวนิสต์  นัยหนึ่งไม่จำแนกว่าเป็นซ้ายของขวา หรือซ้ายของกลางหรือซ้ายของซ้าย เป็นเหตุให้เอาคอมมิวนิสต์ไปปะปนกับประชาธิปไตยและเผด็จการ     นักประชาธิปไตยบางส่วนถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์กระทั่งนักเผด็จการบางส่วนก็ถูกมองเป็นคอมมิวนิสต์   ทำให้คำว่า “ ซ้าย “ หมายถึงคอมมิวนิสต์หรือเป็นพวกของคอมมิวนิสต์ซึ่งแท้จริงแล้วซ้ายของเผด็จการ (ซ้ายของขวา) และซ้ายของประชาธิปไตย (ซ้ายของกลาง) นั้นเป็นคนละเรื่องกับคอมมิวนิสต์ อย่างเช่น คุณชวน คุณสุรินทร์ คุณวีระ ซึ่งถือกันว่าเป็นซ้ายของขวา (ซ้ายในพรรคประชาธิปัตย์)  ถูกมองว่าเป็นคอมมิวนิสต์เมื่อกรณี ๖ ตุลาคม และขบวนการสังคมนิยมในปัจจุบันซึ่งเป็นซ้ายในขบวนการเป็นต้น  แต่ตามสภาพความเป็นจริงของคนเหล่านี้แตกต่างจากคอมมิวนิสต์จนถึงรากเหง้า เช่นพวกพรรคสังคมนิยมซึ่งเข้าไปอยู่กับชาวพรรคคอมมิวนิสต์ในป่าออกมาสารภาพว่ามีความแตกต่างทางความคิดอย่างแท้จริง
  
   
   
 
             
               (อ่านต่อตอนหน้า)
 
 
 
          อ่านย้อนหลัง...
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป