แม่ชีแช่มจิต กลัดจ่าย หัวหน้าสำนักศาลาสันติสุขหนึ่งในคณะกรรมการบริหารสถาบันแม่ชีไทยในฐานะวิทยากร ได้กล่าวว่าในปัจจุบันชาวไทยแปลความหมายของโลกาภิวัฒน์ผิดความหมาย เพราะคิดว่าเป็นสิ่งดี แม่ชีกล่าวว่าโลกาภิวัฒน์เมื่อแปลตรงตามตัวอักษรหมายถึงความเจริญไปสู่ความเสื่อมทางโลกอันนำไปสู่ความย่อยยับ
โลกาภิวัฒน์ เด็กไม่รู้หรอกว่าคืออะไร โลกะแปลว่าโลก ก็หมายถึงการเกิดและดับ คือความเสื่อมคือความย่อยยับ อภิแปลว่าใหญ่ วัฒน์แปลว่าความเจริญ รวมความว่าคือความเจริญที่นำมาซึ่งความเสื่อมอย่างย่อยยับ
แม่ชีแช่มจิตกล่าวว่าสังคมในอดีตกับปัจจุบันแตกต่างกันมากเนื่องจากระบบการศึกษาไทยได้นำเรื่องศีลธรรมออกไปจากระบบการเรียนการสอนทำให้เด็กและเยาวชนขาดการอบรมบ่มนิสัย ทำให้เกิดความสลดสังเวชที่ระบบการศึกษาเอาเรื่องศีลธรรมออกไป และเรียกร้องให้นำการเรียนการสอนศีลธรรมกลับมาสู่ระบบการศึกษา
ยุคนี้เป็นยุควิกฤตอีกหน่อยจะมีวิกฤตมากกว่านี้ วิกฤตพลเมือง วิกฤตสังคม วิกฤตธรรมชาติ ที่พูดเพราะเชื่อพระพุทธเจ้า แม่ชีแช่มจิตกล่าวระหว่างการเสวนา ถ้าตราบใดที่ศีลธรรมไม่กลับมาสู่ประชาชน จะเกิดโลกาวินาศ ควรมีหน้าที่ศีลธรรมในระบบการศึกษา ก็ขอฝากให้ท่านทั้งหลายไปช่วยกันผลักดันให้เกิด
ผู้สื่อข่าวรายงานว่างานเสวนาซึ่งประกอบด้วยวิทยากรพระสงฆ์และแม่ชีพร้อมทั้งฆราวาสได้ร่วมเสวนา โดยมีพระเทพวิสุทธิกวี รองอธิการบดีฝ่ายวิชาการและวางแผน มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย รองเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส และพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ประธานสภาธรรมาธิปไตยผู้อำนวยการสถาบันธรรมะประชาธิปไตย เจ้าอาวาสวัดตะล่อม ร่วมเป็นพระวิทยากรช่วงเช้า กล่าวถึงการสนับสนุนบทบาทสตรีต่อพระพุทธศาสนาในทัศนะที่ต่างกัน พระสงฆ์ส่วนหนึ่งไม่สนับสนุนการมีภิกษุณีในประเทศไทยในขณะที่อีกส่วนหนึ่งให้การสนับสนุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าพระเทพวิสุทธิกวีบรรยายเรื่องประวัติความเป็นมาของแม่ชีห่มผ้าขาวว่าอยู่คู่กับสังคมไทยมาช้านานย้อนรอยไปถึงสมัยพระโสณเถระที่เข้ามาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนแถบสุวรรณภูมิในราวพ.ศ. 235-พ.ศ.236 และได้เสนอในระหว่างเสวนาว่าให้เรียกแม่ชีเป็นภาษาอังกฤษว่า chee ซึ่งต่างจาก nun ในภาษาอังกฤษ
แหล่งข่าวในพระพุทธศาสนากล่าวว่าประเด็นเรื่องการสนับสนุนให้สตรีไทยเป็นภิกษุณีในนิกายเถรวาทและการสนับสนุนให้สตรีไทยเป็นแม่ชีมีสาระแตกต่างกัน ปัจจุบันภิกษุณีไทยมีการรวมตัวกันอยู่เฉพาะกลุ่มและส่วนใหญ่เป็นสตรีที่มีภูมิหลังการศึกษาทางโลกสูง และมีปริญญาระดับด็อกตอร์ จึงมีการสนับสนุนด้านการเงินจากต่างประเทศมากกว่าแม่ชีไทยที่บวชเรียนทางธรรมมาระยะยาวไม่ต่างจากสามเณร พระเทพวิสุทธิกวีกล่าวว่าการสร้างเอกภาพแม่ชีไทยเป็นเรื่องสำคัญและได้เสนอในที่ประชุมให้มีการวางแนวทางแก้ปัญหาการสร้างเอกภาพของแม่ชีไทยทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนให้ครบทุกด้าน
แม่ชีไปประชุมกับนักบวชสตรีในต่างประเทศ ก็จะได้รับการชักชวนให้บวชเป็นภิกษุณีตลอดเวลา แต่เราก็พอใจในสถานภาพปัจจุบันของการเป็นแม่ชี แม่ชีท่านหนึ่งกล่าว
อย่างไรก็ดีแหล่งข่าวพระสงฆ์กล่าวว่าในปัจจุบันสถาบันแม่ชีไทยยังไม่ได้การรับรองอย่างถูกต้องตามกฎหมายโดยมีสาเหตุมาจากการขาดเอกภาพของแม่ชีด้วยกันเองและปัญหาทางด้านนโนยบายจากกลไกการปกครองต่อการสนับสนุนแม่ชีให้มีบทบาททำงานให้กับสังคม ถึงแม้ว่าจะมีความพยายามในการผลักดันมาอย่างต่อเนื่องก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่าได้มีความพยายามจะรับรองสถาบันแม่ชีไทยให้ถูกต้อวตามกฎหมายผ่านมหาวิทยาลัยสงฆ์สองมหาวิทยาลัยคือมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัยและมหามกุฎราชวิทยาลัยในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธเมื่อปี 2539-2540 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเนื่องจากรัฐบาลพลเอกชวลิตล่มเสียก่อน
แม่ชีดร.ประทิน ขวัญอ่อนประธานบริหารสถาบันแม่ชีไทย
ผู้บริหารโรงเรียนธรรมจาริณี |
แม่ชีอำไพ ตัณฑ์สมบุญผู้บริหารหลักสูตรมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย |
ปัญหาแม่ชีไทย ไม่ต่างจากปัญหาภิกษุณีในประเทศศรีลังกาที่ถูกพระสงฆ์กดไว้ พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโรกล่าว ระหว่างการเสวนา โดยได้ประกาศว่าขอสนับสนุนให้มีการบวชภิกษุณีต่อไป พระมหาบุญถึง ชุตินธโรกล่าวว่าพระสงฆ์ยินดีสนับสนุนให้แม่ชีมีที่ทางในการทำงานของตนเองและสามารถทำงานเผยแผ่พระศาสนาได้ไม่น้อยกว่าผู้ชายโดยได้ยกตัวอย่างวีรกษัตรีไทยคือสมเด็จพระศรีสุริโยไทยที่ออกรบแทนพระสวามีเป็นแบบอย่าง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการเปิดประเด็นของพระมหาบุญถึงทำให้วงเสวนาเกิดการตื่นตัว และมีการวิพากษ์กันนอกวงเสวนาในหลากหลายประเด็น ซึ่งเป็นผลให้พระสงฆ์ตัวแทนของมหามกุฎราชวิทยาลัยที่นั่งฟังเสวนาอยู่ในช่วงบ่ายได้เข้ามาแทรกระหว่างการเสวนาให้ยุติการพูดคุยเรื่องภิกษุณีในระหว่างที่มีการถามตอบดำเนินการอภิปรายโดยฆราวาสสตรีตัวแทนกลุ่มสตรีภาวนาแห่งสยาม
แหล่งข่าวกล่าวว่างานเสวนาครั้งนี้เป็นที่ประชุมของคณาจารย์แม่ชีที่ผ่านการศึกษาจากสภาการศึกษา รวมทั้งอาจารย์แม่ชี 11 ท่านแรกที่ได้รับการสนับสนุนให้เรียนบาลี ปริยัติธรรม และการศึกษาระดับสามัญโดยการสนับสนุนของสมเด็จญาณวโรดมนับแต่ปี 2507 ถือครองเป็นนักบวชมากว่า40 ปี ซึ่งถือว่าเป็นบุคลากรที่ทรงความรู้และมีประสบการณ์การบริหารงานแม่ชีผ่านระบบการปกครองของพระสงฆ์มานานหลายสิบปี อย่างไรก็ดีความเห็นของแม่ชีไทยยังแตกต่างกัน ส่วนใหญ่แล้วมิได้ต้องการเรียกร้องให้มีภิกษุณีในประเทศไทย แต่ต้องการให้สังคมยอมรับบทบาทการทำงานของแม่ชีที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน ซึ่งในประเด็นดังกล่าวยังไม่มีข้อสรุปในวงเสวนา
พูดกันตามจริง ทำไมเราจะไม่อยากให้มีภิกษุณี เราก็ต้องการสนับสนุน แม่ชีเป็นเหมือนน้องสาว มีพระสงฆ์เป็นพี่ เราก็คือน้องที่สนับสนุนพี่มาตลอด มาบอกว่าไม่มีภิกษุณีในเถรวาท แล้วดูประเทศเพื่อนบ้านเราสิ
แหล่งข่าวแม่ชีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งกล่าวโดยไม่ประสงค์จะออกชื่อ
สมัยที่ต้องเดินทางไปเรียนที่สภาการศึกษาแล้วพักที่วัดชนะสงคราม เราก็นึกในใจว่าว่าทำไมเราไม่มีที่เรียนกับที่พักที่เดียวกัน เวลากลับมาจากเรียนเราก็กลับมาดูแลพี่เราอีก ทั้งๆที่เรียนหนักเหมือนกัน แม่ชีผู้ใหญ่ท่านนี้กล่าว
งานเสวนาครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมสัปดาห์วันแม่ที่สถาบันแม่ชีไทยได้จัดงานปฏิบัติธรรมขึ้น พร้อมกับการเทศน์มหาชาติและการแหล่พระคุณแม่โดยพร้อมทั้งการตอกเสาเข็มฤกษ์โครงการก่อสร้างรัตนปราสาทสถานปฏิบัติธรรมสำหรับสตรีและนักบวชทั้งในและนอกประเทศ เพื่อส่งเสริมให้แม่ชีไทยและนักบวชสตรีรวมทั้งฆราวาสสตรีได้มีโอกาสทำงานให้กับสังคมและศาสนา โดยที่รัตนปราสาทได้เตรียมโครงการรองรับการอบรมเยาวชนและการดูแลผู้สูงอายุไว้ต่อไปในอนาคตพร้อมการเรียนการสอนปริยัติ ปฏิบัติในขั้นสูงสำหรับสตรีผู้หวังบรรลุธรรมอีกด้วย