Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 

จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?
เขียนโดย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร  โพสเมื่อ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๕๒ ๑๐.๑๕ น.
        
   
                                                - ตอน ๑๘ -
 
 
        ในเมื่อหัวใจของสถาบันพระมหากษัตริย์คือทศพิธราชธรรมและธรรมย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสมอไป  ดังนั้นสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยจึงเป็นสถาบันที่สูงส่งด้วยลักษณะประชาธิปไตย   นี่คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยไม่มีระบอบเผด็จการรุนแรงหรือระบอบเผด็จการฟาสซิสต์

       ถ้าเป็นประเทศอื่นเมื่อการปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะราษฎรล้มเหลว โดยฝ่ายนิยมเผด็จการขึ้นแทนตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นต้นมา  ดังนี้แล้วระบอบเผด็จการนั้นจะต้องเป็นระบอบฟาสซิสต์หรือระบอบเผด็จการรุนแรง  ดังตัวอย่างในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ เป็นอันมาก

       แต่ระบอบเผด็จการของไทยไม่เป็นฟาสซิสต์หรือไม่รุนแรงเหมือนบางประเทศ   หากเป็นระบอบเผด็จการธรรมดาๆ ซึ่งสลับกันระหว่างระบอบเผด็จการทหารหรือระบอบเผด็จการรัฐประหารกับระบอบเผด็จการรัฐสภาก็คือระบอบเผด็จการอย่างที่เราๆ ท่านๆ เห็นๆ กันอยู่นี่แหละ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้

        พระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระปกเกล้าซึ่งเราเคยยกมาครั้งหนึ่งจะตอบปัญหานี้ได้  คือข้อความในพระราชหัตถเลขาของพระองค์ท่านที่ว่า  “สมบูรณาญาสิทธิ์ของพระเจ้าแผ่นดินยังมีคนนับถือส่วนมากเพราะเคยชินมาแต่ปู่ย่าตายาย   แต่สมบูรณาญาสิทธ์ของคณะย่อมไม่มีคนนับถือ   มีแต่ต้องทนไปเพราะกลัวอาญา  และกลัวรถถังปืนกล...”  และที่ว่า “ ผลร้ายของการปกครองแบบ  Absolute  มิได้เสื่อมคลาย    แต่เปลี่ยนตัวเปลี่ยนคณะกันเท่านั้น  เสรีภาพกลับน้อยลงไปเสียอีกเพราะต้องระวังจับกุมผู้ไม่พอใจและปิดปากผู้ที่กล่าวร้ายรัฐบาล...”
 
        นี่คือสถาบันพระมหากษัตริย์ทำหน้าที่คานอำนาจของคณะเผด็จการไว้   ทำให้คณะเผด็จการไม่สามารถใช้อำนาจเผด็จการได้เต็มเหยียด   เพราะแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังมีลักษณะประชาธิปไตยและเมื่อมาอยู่ในระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์ก็ยิ่งมีลักษณะประชาธิปไตย จึงยิ่งมีพลังอำนาจยิ่งใหญ่ในการคานอำนาจเผด็จการ  ดังนี้แล้วคณะเผด็จการจะตะบึงตะบันเผด็จการอย่างไม่ลืมหูลืมตาไปได้อย่างไร   ต่างกับในต่างประเทศเช่น ตีน  เมื่อเกิดระบอบเผด็จการของจอมพลเจียงไคเช็คนั้น   ถึงจะเผด็จการรุนแรงเพียงใดก็ไม่เกินไปกว่าสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ก็ยกเลิกไปแล้ว   เหลือแต่สถาบันเผด็จการของกลุ่มเจียงไคเช็คเพียงสถาบันเดียว  ไม่มีใครมาเป็นอุปสรรคต่อเผด็จการของตน

   อันที่จริงนักเผด็จการเมืองไทยเมื่อได้อำนาจส่วนมากก็ต้องจะเผด็จการสุดเหวี่ยงกันทั้งนั้น  แต่ทำไปไม่ได้ก็เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งมีพลังยิ่งใหญ่และมีลักษณะประชาธิปไตยอย่างสูงคานอยู่   ถ้าภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔๗๕ ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์เหมือนในประเทศจีนก็จะไม่มีอำนาจใดๆ ทานอำนาจเผด็จการไว้ได้  ก็จะเกิดระบอบเผด็จการแบบรุนแรงขึ้นในประเทศไทย  ซึ่งจะเป็นเงื่อนไขให้คอมมิวนิสต์ยึดประเทศได้ เช่นเดียวกับที่เป็นมาแล้วในหลายประเทศ

         การที่สถาบันพระมหากษัตริย์แสดงบทบาทคานกลุ่มเผด็จการ   ทำให้ระบอบเผด็จการในประเทศไทยไม่สามารถเป็นระบอบเผด็จการฟาสซิสต์  หรือระบอบเผด็จการรุนแรง  คืออุปการคุณอันยิ่งใหญ่ของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อประชาธิปไตยในปัจจุบัน

         ข้อเท็จจริงนี้  ย่อมซาบซึ้งแก่ประชาชนชาวไทยทั้งหลาย  มีแต่นักทำใบปลิวเถื่อนไม่กี่คนเท่านั้นที่มองไม่เห็น  เขาจึงเป็นปรปักษ์ต่อมติมหาชนและอยู่โดดเดี่ยวอย่างที่สุด ซึ่งไม่สามารถจะทำอะไรได้นอกจากผลิตใบปลิวที่ไร้ผล   ฉะนั้นแม้ว่าจะมีเอกสารเถื่อนโจมตีพระมหากษัตริย์ก็ยังไม่สามารถจะกล่าวได้ว่ากระทบกระเทือนความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์จริงๆอย่างไร
 
         ในตอนก่อนๆ กล่าวถึงการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย  ตั้งแต่เมื่อ ๑๐๐ ปี ก่อนมาถึงปัจจุบัน ตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงมาจนถึงทหารหนุ่มและประชาชน  ให้เห็นว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศนั้น  นอกจากจะไม่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์แล้วยังมีความมุ่งหมายเพื่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ก็จะสมบูรณ์โดยไม่ต้องมีความห่วงกังวลกันอยู่เหมือนอย่างในเวลานี้เลยอีกด้วย  ส่วนพวกต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นคนจำนวนน้อยนิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ไม่มีความรู้  และเป็นปรปักษ์ต่อมติมหาชนเขาจึงทำอะไรไม่ได้  นอกจากนั่งเขียนใบปลิวเถื่อน  และเนื่องจากเขาเป็นพวกผิดพลาดในขบวนการประชาธิปไตย  เขาจึงเป็นพวกทำลายขบวนการประชาธิปไตยจากภายใน
 
         นั่นเป็นเรื่องของขบวนการประชาธิปไตย
      
         ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงอีกขบวนการหนึ่ง  ซึ่งผู้คนเป็นอันมากถือกันว่าเป็นขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์  นั่นคือขบวนการคอมมิวนิสต์ 
 
 
 
 
 

 

                    
                                                                                                       
             
 
                                                                    - ตอน ๑๙ -
 
             ขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยโดยสาระสำคัญคือขบวนการที่รู้จักกันว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ก่อรูปขึ้นในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์   และตั้งขึ้นเป็นพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเป็นทางการเมื่อพ.ศ. ๒๔๘๕

          พรรคคอมมิวนิสต์คือพรรคของชนชั้นกรรมาชีพ มีลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนินเป็นทฤษฎี  และมีลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นอุดมคติ   พรรคคอมมิวนิสต์จะต้องมีลักษณะเช่นนี้  ถ้าไม่มีลักษณะเช่นนี้  แม้จะเรียกว่าพรรคคอมมิวนิสต์ก็ไม่ใช่พรรคคอมมิวนิสต์แต่ถ้ามีลักษณะเช่นนี้ ถึงจะใช้ชื่ออย่างอื่นก็เป็นพรรคคอมมิวนิสต์  มีพรรคคอมมิวนิสต์เป็นอันมากไม่ได้ชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์  เช่นใช้ชื่อว่าพรรคแรงงานบ้าง พรรคสังคมนิยมบ้าง  พรรคประชาชนปฏิวัติบ้าง แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ใช้ชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์แต่ใช้ชื่อว่า พรรคแรงงานประชาธิปไตยสังคม ต่อมาชื่อว่าพรรคบอลเชวิก (ฝ่ายข้างมาก) หลังการปฏิวัติสังคมนิยมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์  เช่นใช้ชื่อว่าพรรคแรงงานบ้าง พรรคสังคมนิยมบ้าง พรรคประชาชนปฏิวัติบ้าง แม้แต่พรรคคอมมิวนิสต์ แต่ใช้ชื่อว่า พรรคแบ่งทรัพย์ พรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตในระยะแรกก็ไม่ได้ชื่อว่า พรรคคอมมิวนิสต์แต่ใช้ชื่อว่า พรรคแรงงานประชาธิปไตยสังคม  ต่อมาชื่อว่าพรรคบอลเชวิก  (ฝ่ายข้างมาก)  หลังการปฏิวัติสังคมนิยมจึงเปลี่ยนชื่อเป็นพรรคคอมมิวนิสต์

          พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยใช้ชื่อว่าพรรคคอมมิวนิสต์   แต่เวลานี้มีชาวคอมมิวนิสต์เป็นอันมากเห็นว่ามีความคลาดเคลื่อนทางทฤษฎีจนกลายเป็นพรรคที่ไม่ใช่ของชนชั้นกรรมาชีพ  จึงเป็นพรรคคอมมิวนิสต์แต่ชื่อ  โดยเนื้อแท้ไม่ได้เป็นพรรคคอมมิวนิสต์เสียแล้ว  แต่นี่เป็นเพียงความเห็นของคนบางส่วนโดยทั่วไปยังยอมรับกันว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นพรรคคอมมิวนิสต์

           พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย แตกแยกออกเป็นหลายฝ่ายด้วยความแตกต่างในแนวทางรูปธรรมภายใต้แนวทางทั่วไปอันเดียวกัน   ฝ่ายต่างๆ ที่แตกแยกกันนี้ช่วงชิงการนำพรรคระหว่างกัน  ฉะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยจึงไม่หมายแต่เฉพาะถึงองค์การนำของพรรคในปัจจุบันเท่านั้น   แต่หมายถึงฝ่ายอื่นที่แตกแยก  โดยยึดถือแนวทางทั่วไปของพรรคและต้องการให้พรรคแก้ไขแนวทางรูปธรรมตามความเห็นของตนหรือตนเข้าไปนำพรรคแทนองค์การนำปัจจุบันหลายฝ่ายรวมกันภายใต้แนวทางทั่วไปอันเดียวกันแต่แตกแยกกันด้วยความแตกต่างในแนวทางรูปธรรมดังนี้ คือ พคท.ปัจจุบัน  คือสารสำคัญของขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยในปัจจุบัน

           แต่ฝ่ายการปกครองในประเทศไทย  ไม่ได้ถือเอาขบวนการคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยตามความเป็นจริง  แต่ตั้งขบวนการคอมมิวนิสต์ขึ้นเอง  และทำการต่อต้านคอมมิวนิสต์นั้นตั้งแต่ยังไม่มีพรรคคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย

        เดิมที ฝ่ายปกครองก็ถือเอาขบวนการคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริง  และต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริงเหมือนกัน  นั่นคือการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในขณะที่พวกมาร์กซิสต์ในเมืองไทยเริ่มก่อหวอด   โดยได้จับกุมบุคคลเหล่านั้นไปดำเนินคดีการต่อต้านคอมมิวนิสต์ในครั้งนั้นเป็นการต่อต้านพวกมาร์กซิสต์  ซึ่งเป็นการถือเอาคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริง

          แต่เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕  แล้วยกเลิกการถือเอาคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริงแต่ได้ตั้งคอมมิวนิสต์ขึ้นใหม่  ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับลัทธิมาร์กซ์-ลัทธิเลนินแม้แต่น้อย

            คอมมิวนิสต์ที่ตั้งขึ้นใหม่นี้คือ คอมมิวนิสต์ตามกฎหมายว่าด้วยคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งมีนิยามคอมมิวนิสต์ ดังนี้
 
           ๑)      คอมมิวนิสต์  หมายความว่า  วิธีหรือหลักการทางเศรษฐกิจซึ่งประกอบด้วยการเลิกล้างเสียทั้งหมดหรือแต่บางส่วน   ซึ่งกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของเอกชน  โดยให้ประเทศหรือประชาชนร่วมกันเข้าเป็นเจ้าของ
           ๒)     ลัทธิคอมมิวนิสต์ หมายความว่า ลัทธิใดๆ ซึ่งบ่งถึงการสนับสนุนส่งเสริมการรวมกรรมสิทธิ์ที่ดิน  หรือรวมการอุตสาหกรรม  หรือรวมทุนหรือรวมแรงงาน เข้าเป็นของรัฐ

          นี่คือคอมมิวนิสต์ที่รัฐบาลหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งขึ้นใหม่และตั้งขึ้นเองตามชอบใจโดยไม่ได้สนใจต่อคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริงแต่อย่างใด  เพราะเป็นคนละเรื่องกับคอมมิวนิสต์ที่เคยจับกุมในปลายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์
    
       ครั้นถึง พ.ศ. ๒๔๙๕ รัฐบาลได้ตั้งคอมมิวนิสต์ขึ้นใหม่อีกชนิดหนึ่งโดยมุ่งไปสู่การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ  ต่างกับชนิดก่อนที่มุ่งไปสู่คอมมิวนิสต์และลัทธิคอมมิวนิสต์เป็นสำคัญ

           “ การกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์”  ตามพ.ร.บ. ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๙๕ ได้แก่
 
(ก)     เลิกล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
(ข)    การเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจของประเทศ  อันทำให้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินหรือปัจจัยในการผลิตของเอกชน  ตกเป็นของรัฐโดยวิธีอื่นใดอันมิได้มีการชดใช้ค่าทดแทนอันเป็นธรรมหรือ
(ค)     การบังคับด้วยการขู่เข็ญทำให้เกิดความหวาดกลัวก็ดี   การก่อวินาศกรรมก็ดี  หรือการใช้อุบายด้วยประการใดๆ เช่น ยุยงให้มีความเกลียดชังระหว่างประชาชน ทั้งนี้ถ้ากระทำด้วยความมุ่งหมายที่จะให้มีการยอมรับเอา  ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือบรรลุซึ่งวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้ใน (ก) หรือ (ข) จากมาตรา ๓

          ต่อมาเมื่อแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายนี้ในปี ๒๕๑๒ ได้เพิ่มเติมการกระทำอันเป้นคอมมิวนิสต์ลงไปอีกมาก  แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองทั้งสิ้น  ไม่ใช่คอมมิวนิสต์เอาตามความเป็นจริง ไม่ใช่พคท.

          ในบรรดาลักษณะมากหลายของคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองนี้  ลักษณะเด่นที่สุดคือ “ เลิกล้มการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ”   ซึ่งเป็นลักษณะประการแรกของการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ในพ.ร.บ.  ป้องกันการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ พ.ศ. ๒๔๙๕  และในปัจจุบันลักษณะนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองคือ  ถ้าชี้ว่าใครเป็นคอมมิวนิสต์  ก็หมายความว่าผู้นั้นจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์  และถ้ากล่าวหาว่าใครจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ ผู้นั้นก็เป็นคอมมิวนิสต์

         เมื่อเป็นดังนี้  คอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเอง โดยเฉพาะในลักษณะที่ว่าจะเลิกล้มสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นจึงไม่มีตัวตน  เพราะว่าด้านหนึ่งคอมมิวนิสต์ที่ตั้งเอาเองนี้ไม่ใช่ขบวนการคอมมิวนิสต์ตามความเป็นจริงหรือที่มีอยู่จริง  
  
  
 
             
             (อ่านต่อตอนหน้า)
 
 
 
 
          อ่านย้อนหลัง...
 
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป