(ต่อจากตอนที่แล้ว)
วิวาทะกับมหาตมะ คานธี
ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าได้พบกับมหาตมะ คานธี ท่านได้บอกข้าพเจ้าว่า ท่านเชื่อในระบบจตุรวรรณะ (วรรณะ ๔) จตุรวรรณะชนิดไหนกัน ข้าพเจ้าถามพร้อมกับชี้ไปที่มือของข้าพเจ้า ซึ่งนิ้วก้อยถูกทับอยู่ข้างล่าง นิ้วหัวแม่มืออยู่บนสุด หรือแบบนี้ พร้อมวางฝ่ามือราบอยู่บนโต๊ะ นิ้วมือวางเรียงกันไป คำว่า จตุรวรรณะหมายถึงอะไร ? มันเริ่มขึ้นเมื่อไร ? และจะสิ้นสุดเมื่อไร ? ข้าพเจ้าถามท่านคานธี ท่านไม่อาจตอบปัญหานี้อย่างน่าพอใจได้
นอกจากขาดบรรยากาศแห่งความพออกพอใจแล้ว ก็ยังไม่มีความเท่าเทียมกันในระหว่างชาวฮินดูเอง ศาสนาและกฎเกณฑ์ทางสังคมนี้ได้บ่อนทำลายพวกเรามามากแล้ว แต่มันจะยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ มันยังจะบ่อนทำลายพวกฮินดูเอง และโดยที่สุดแม้แต่ประเทศอินเดีย
เหตุที่ทำให้อินเดียเสียอิสรภาพ
ข้าพเจ้ามิได้กล่าวหาศาสนาฮินดูอย่างไร้เหตุไร้ผล ศาสนานี้ไม่อาจช่วยใครๆให้รอดได้ คงไม่มีชีวิตใดเหลือรอดอยู่ในศาสนาฮินดู ทำไมประเทศของพวกเราจึงสูญเสียอิสรภาพมาครั้งแล้วครั้งเล่า ? ทำไมพวกเราจึงตกอยู่ภายใต้การครอบงำของต่างชาติบ่อยครั้งนัก ? เป็นเพราะว่าคนในประเทศนี้ทั้งหมดไม่เคยลุกขึ้นมาต่อต้านศัตรู ตลอดเวลาที่ผ่านมา ก็มักจะเป็นคนส่วนน้อยของสังคม (ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อชาติ) ดังนั้น ใครก็ตามที่มีแสนยานุภาพเหนือกว่าแม้เล็กน้อยยกทัพมาบุก ก็จะเป็นผู้กำชัยชนะทุกคราวไป นี้เป็นสาเหตุใหญ่ที่มีมูลเหตุมาจากระบบวรรณะที่ร้ายกาจของฮินดูนั่นเอง
เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สัประยุทธ์กันอยู่ในยุโรป ระหว่างปีพ.ศ.๒๔๘๒-๒๔๘๘ ทหารหน่วยใดเมื่อถูกสังหารไปในสนามรบก็จะมีกองหนุนจากหน่วยอื่นเคลื่อนมาเสริมทำการรบแทนทันที ไม่มีใครที่จะพูดได้อย่างเจาะจงว่าการได้รับชัยชนะในสงครามโลกครั้งนั้นควรเป็นความเก่งกล้าของหน่วยทหารหรือกรมกองเฉพาะหน่วยใดหน่วยหนึ่ง
ขณะที่ประเทศอินเดียของเรานั้น ในอดีตที่ผ่านมา หากพวกกษัตริย์แม้ถูกตีพ่ายแพ้ในสนามรบ ก็ไม่มีการระดมกำลังพลหรือบรรจุนักรบรุ่นใหม่เข้าเสริมแทนตามหลักการในระบบจตุรวรรระ เพราะตามกฎเกณฑ์อันน่ารังเกียจนี้ พวกวรรณะกัตริย์เท่านั้นที่มีหน้าที่ทำการรบ(ป้องกันประเทศชาติ) นี่คือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นในอดีต และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประเทศชาติต้องตกเป็นทาสไม่รู้กี่ครั้งกี่ครา ถ้าสิทธิ์ในการจับอาวุธออกรบเพื่อประเทศชาติของพวกเราชาวจัณฑาลไม่ถูกปฏิเสธแล้ว ประเทศนี้ก็คงจะไม่สูญเสียเสรีภาพไปหรือศัตรูผู้รุกรานทั้งหลายก็คงไม่อาจเอาชนะอินเดียได้สำเร็จ
ศาสนาฮินดูไม่ช่วยใครๆ ให้รอดพ้นได้ ในศาสนาฮินดูไม่มีความหลุดพ้น (โมกษะ) เหลือไว้สำหรับใครๆ ตามหลักคำสอนของฮินดูแล้วคงมีแต่พวกวรรณะสูงจำนวนน้อยนักที่จะได้รับประโยชน์
สิ่งนี้ข้าพเจ้ามิได้พูดเกินความจริงเลย มีอะไรบ้างที่พวกศูทรและจัณฑาลได้รับจากศาสนาฮินดู ?
ความไม่เท่าเทียมกัน (อีกที)
ทันทีที่ภรรยาของพราหมณ์ตั้งครรภ์ หล่อนจะเริ่มคิดถึงตำแหน่งผู้พิพากษาในศาสสูง (ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา) ว่ามีตำแหน่งผู้พิพากษาว่างลงบ้างหรือไม่หนอ? แต่พอสตรีในกลุ่มของพวกเราตั้งครรภ์หล่อนไม่อาจคิดถึงอะไรสูงส่งไปกว่าตำแหน่งพนักงานกวาดถนนของเทศบาล
สภาพที่น่าสลดหดหู่อย่างนี้เกิดขึ้นและดำเนินมาได้ ก็เพราะศาสนาฮินดูซึ่งได้พร่ำสอนนางพราหมณีคนก่อนให้เกิดความทะยานอยากชนิดนี้ขึ้น ขณะเดียวกันก็พยายามลดระดับความใฝ่ฝันของสตรีจากวรรณะจัณฑาลคนหลังลง พวกเราไม่อาจคาดหวังอะไรได้เลยสำหรับการเปลี่ยนแปลงสถานภาพของตนเอง หากพวกเรายังยอมเป็นทาสของฮินดูอยู่ต่อไป ถ้าพวกเราจะมีความหวังอะไรขึ้นมา มันมีขึ้นมาได้โดยการสละศาสนาฮินดูออกไป แล้วหันไปดำเนินตามมรรคาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บัดนี้ขอให้พวกเรามาพิจารณาหลักการสำคัญของพระพุทธศาสนากันดู
หลักการพื้นฐานของพระพุทธศาสนาก็คือ ความเท่าเทียมกัน บรรดาภิกษุสาวกที่ออกบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาเมื่อครั้งพุทธกาลนั้น อาจกล่าวได้ว่า ประมาณร้อยละ ๗๕ มาจากวรรณะพราหมณ์ที่เหลือประมาณร้อยละ๒๕ มาจากวรรณศูทร ถึงกระนั้นพระพุทธศาสนาก็ยังถูกค่อนแคะว่า เป็นศาสนาของพวกศูทรอยู่ดี
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสังกัดวรรณะต่างกัน มาจากหลายแว่นแคว้น เปรียบประดุจมหานที (ทั้ง ๕ คือ คงคา ยมุนา สรัสวดี สรภูและมหี) เมื่อไหลลงไปรวมเป็นมหาสมุทร ย่อมละทิ้งชื่อเดิมฉันใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (กุลบุตรจาก) ๔ วรรณะ คือกษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทรก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อละบ้านเรือนออกบวชในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ย่อมละทิ้งชื่อโคตรเดิมของตน กลายเป็นสมณศายบุตร สมาชิกสังคมสงฆ์เท่าเทียมกัน... ๒๓
นี้คือพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีมนุษย์เพียงคนเดียวที่ลุกขึ้นมาส่งเสียงคัดค้านการแบ่งชั้นวรรณะและภาวะจัณฑาล คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในยุคปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้พระสาวกผู้ใหญ่เพียง ๑๐ หรือ ๑๒ รูปเท่านั้นในจำนวนนี้ราว ๘ ถึง ๑๐ รูปมาจากวรรณะศูทร ข้อความนี้รับรองไว้โดยคัมภีร์ที่กล่าวถึงชีวประวัติของภิกษุที่เรียกว่า
เถรคาถา และชีวประวัติของภิกษุณีชื่อว่า
เถรีคาถา จากหลักฐานทางวรรณกรรมนี้ เท่ากับเป็นการยืนยันว่า พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาเดียวที่ไม่ยอมรับระบบวรรณะ และให้โอกาสพวกเราพัฒนาตัวเองได้อย่างเต็มที่