แต่เมื่อเพื่อนฝูงในพรรคทั้งสามไม่สนใจ ผมจึงเหลือทางเลือกทางเดียว จึงเข้าไปหาอาจารย์ปรีดีเฉยๆ ที่ทำเนียบท่าช้าง ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ผมไปหาอาจารย์ปรีดีในปัญหาทางการเมือง ไปเรียนท่านอย่างที่บอกกับเพื่อนฝูงมาแล้ว ท่านบอกกับผมว่า คุณประเสริฐเป็นห่วงไปเปล่าๆ จอมพลแปลกไม่มีทางทำรัฐประหารได้ ผมจะเรียนชี้แจงเหตุผลเท่าไหร่ ท่านก็ไม่ฟัง ผมไปหาท่าน 2-3 ครั้ง พูดวำซากเรื่องเดียวนั้น จนดูท่าทางท่านชักจะไม่พอใจ แต่ผมก็ดื้อต่อไป และท่านก็คงยืนกรานเหตุผลเดิมคือว่า จอมพลแปลกไม่มีทางทำรัฐประหาร เพราะถ้าจอมพลแปลกทำรัฐประหาร ท่านก็จะถอนประกาศสันติภาพ และอเมริกาก็จะมาเล่นงานจอมพลแปลก ในที่สุดผมเรียนท่านว่า เดี๋ยวนี้อเมริกาเอากับจอมพลป.แล้วครับ และเมื่อจอมพลป.ทำรัฐประหารแล้ว ท่านก็ถอนประกาศสันติภาพไม่ได้ เพราะถูก จับเสียแล้ว หรือเผ่นหนีไปแล้วเท่านั้นเอง ท่านโกรธผมชัดเจนเลย แล้วผมก็ลากลับและกลับสุราษฎร์ ไปนอนรอรัฐประหารที่บ้าน พอรุ่งขึ้นผมนั่งเล่นอยู่หน้าบ้าน เห็นนายอำเภอเดินมาแต่ไกล เวลานั้นจากอำเภอกาญจนดิษฐ์ไปตัวจังหวัดยังไม่มีถนน ต้องเดินไป ระยะทางราว 17 กม. บ้านผมอยู่ห่างตัวจังหวัด 6 กม.และอยู่ริมทาง พอเห็นนายอำเภอเดินมาแต่เช้าก็รู้ได้ทันทีว่าได้เรื่องแล้ว และพอนายอำเภอเดินมาถึงก็บอกกับผมว่า ยึดอำนาจแล้วครับ เมื่อคืน นายอำเภอนั่งคุยกับผมประเดี๋ยวหนึ่งแล้วก็เดินไปจังหวัด
ผมกลับมากรุงเทพ หลบดูลาดเลานิดหน่อย แล้วก็ออกมาอยู่อย่างเปิดเผยตามปกติ ในท่ามกลางการล่าสังหารพวกอาจารย์ปรีดีเป็นการใหญ่ และผมเขียนบทความเรื่อง ชีวทัศน์ ลงนิตยสาร มหาชน เป็นประจำ ใช้ชื่อจริง จนกระทั่งไปประเทศจีนเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดแผ่นดินใหญ่ได้ราวครึ่งประเทศ
จะเห็นได้ว่า การโต้แย้งระหว่างอาจารย์กับผมนั้นโต้แย้งกันตัวต่อตัว โดยไม่มีใครรู้เห็น คือโต้แย้งกันในเรื่องที่ผมขอให้ท่านยับยั้งรัฐประหาร เรื่องการโต้แย้งนี้ ถ้าผมไม่บอกใครก็จะไม่มีใครรู้และผมก็ไม่ได้บอกใคร
เหตุที่คนจำนวนหนึ่งรู้ขึ้นก็เพราะบังเอิญเกิดพูดกันขึ้นที่ปักกิ่ง คือหลังจากผมไปถึงปักกิ่งไม่กี่เดือน อาจารย์ปรีดีกับคณะก็ไปถึง แต่อยู่คนละแห่ง ผมอยู่วังจงหนานไห่ อาจารย์ปรีดีอยู่บ้านเสียงเหยียงเหมาหูถง แต่ก็อยู่ในสภาพที่ไม่ต่ำกว่าเมื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและรัฐบุรุษอาวุโสในเมืองไทย และผมกับอาจารย์ปรีดีไม่มีการติดต่อกัน
อาจารย์ปรีดีกับคณะตั้งพรรคขึ้นพรรคหนึ่ง ชื่อว่า พรรคสหกิจกรรม และต่อมาผู้แทนเป็นทางการของ พคท.ก็ไปทำแนวร่วมกับอาจารย์ปรีดีและพรรคของท่าน แต่ผมไม่มีการติดต่อ
ผมติดต่อกับอาจารย์ปรีดีและพรรคของท่าน เมื่อจัดคณะผู้แทนไทยไปประชุมสันติภาพโลกที่กรุงเบอร์ลิน ดูเหมือนปี 2494 การติดต่อครั้งนั้นไม่ได้พูดอะไรกัน นอกจากเรื่องการประชุมสันติภาพ
ต่อมา อาจารย์ปรีดีและคณะอยากจะพบผมอีก ผมเป็นสมาชิก พคท.อยู่ พคท.เขามีผู้แทนทางการติดต่อกับอาจารย์ปรีดีและคณะอยู่แล้ว ไม่จำเป็นที่ผมจะต้องติดต่อและผมรู้สึกว่า พคท.ก็ไม่ต้องการให้ผมติดต่อกับอาจารย์ปรีดีและคณะ เพราะผมขัดแย้งอยุ่กับพคท. และต่อมาก็ต่อสุ้กันในปัญหาแนวทางเป็นการใหญ่ คือผมยึดถือแนวทางต่อสู้ตามวิถีทางประชาธิปไตยตามเดิม แต่พรรคต้องการจะเปลี่ยนเป็นแนวทางการต่อสู้ด้วยอาวุธ แต่ความขัดแย้งและต่อสู้ในปัญหาแนวทางภายใน พคท.เช่นนี้ อาจารย์ปรีดีกับคณะไม่รู้ อาจารย์ปรีดีบอกผมว่าเป็นฝ่ายพคท.เต็มตัว
แต่ในฐานะที่เป็นคนไทยด้วยกัน อาจารย์ปรีดีกับคณะก็อยากพบผม และผมก็อยากพบเขาอยู่เหมือนกันและก้ได้พบกันมากขึ้นอยู่แล้วในการไปประชุมสันติภาพโลกร่วมกันครั้งๆต่อมา ในที่สุดพรรคจึงยินยอมให้ผมไปพบอาจารย์ปรีดีและคณะได้ในบางโอกาส
ผมไปพบอาจารย์ปรีดีและคณะในขณะที่เขากำลังประชุมพรรคสหกิจธรรมกันแทบทุกครั้ง ผมนั่งฟังการประชุมได้ยินแต่อาจารย์ปรีดีตำหนิคนของท่านในเหตุของความพ่ายแพ้ คือเป็นความผิดของคนอื่นทั้งนั้น ตัวท่านไม่ผิดเลย ผมฟังอย่างนี้เรื่อยมา ครั้งหนึ่งอดรนทนไม่ได้ จึงโพล่งทะลุกลางปล้อง โดยไม่ใช่หน้าที่อะไรของตัวขึ้นว่า อาจารย์ผิดคนเดียว คนอื่นไม่ผิด เพราะเขาเดินตามอาจารย์ อาจารย์เป็นผู้นำเขา อาจารย์เป็นผู้รับผิดชอบ
อาจารย์ปรีดีแสดงความโกรธ และได้แย้งกับผม ซึ่งตอนหนึ่งผมกล่าวว่า อาจารย์จำได้ไหม ผมไปบอกอาจารย์ที่ทำเนียบท่าช้างว่าให้ยับยั้งรัฐประหารเสีย อาจารย์ไม่เชื่อแล้วยังโกรธผมเสียอีก ซึ่งท่านก็ยอมรับจึงทำให้การโต้แย้งซึ่งแต่เดิมรู้กันเพียง 2 คน ระหว่างผมกับอาจารย์ปรีดี เกิดรู้ขึ้นอีกประมาณ10 คน และก็โต้แย้งกันในเรื่องอื่นๆ อีกมาก การโต้แย้งระหว่างอาจารย์ปรีดีกับผม ทำให้พรรคอาจารย์ปรีดีแตกออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายข้างมากอยู่ทางผม คุณเฉียบกับคุณชมอยู่ทางอาจารย์ปรีดี
การโต้แย้งระหว่างอาจารย์ปรีดีกับผมนั้น ไม่ว่าสองต่อสองหรือมีคนอื่นร่วมด้วย ผมเป็นฝ่ายชี้ว่าอาจารย์ปรีดีผิดในปัญหาต่างๆ เริ่มด้วยปัญหารัฐประหาร ซึ่งผมชี้ว่าอาจารย์ปรีดียับยั้งได้ แต่กลับไม่สนใจ แล้วก็เลยไปถึงปัญหาการเมือง เศรษฐกิจ ซึ่งโดยสาระสำคัญก็เป็นดังที่ผมเขียนไว้ย่อๆ ในบทความเรื่อง อาจารย์ปรีดี อุปสรรคของความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย ซึ่งลงใน หลักไท ฉบับที่ 66 และ 67 นั่นเอง
ฉะนั้น การโต้แย้งระหว่างอาจารย์ปรีดีกับผม จึงเป็นเรื่องระหว่างผมกับอาจารย์ปรีดีและผู้รู้ประมาณ 10 คนเท่านั้น คนอื่นที่ไม่เคยร่วมวงย่อมไม่รู้ไม่เห็น จึงไม่เกี่ยว ผมจึงแปลกใจในการที่บางคนออกมาโต้ แทนอาจารย์ปรีดี โดยเขาไม่เคยรู้เห็นเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว ผมจึงไม่ขอโต้กับเขา ผมเพียงแต่โต้กับอาจารย์ปรีดี หรือทรรศนะของอาจารย์ปรีดีเท่านั้น