และในการประชุมสัมมนาของศูนย์กลางของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติที่โรงแรมรอแยลเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม (2524) มีรายงานศึกษาในหัวข้อว่า การปฏิวัติประชาธิปไตย ฐานความมั่นคงแห่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ซึ่งสรุปว่าการที่จะรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ให้มีความมั่นคงนั้นมีแต่ทางเดียว คือการทำการปฏิวัติประชาธิปไตยให้สำเร็จ ฉะนั้นใครก็ตามที่ดำเนินการเพื่อความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตย เขาเป็นผู้ดำเนินการเพื่อรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
พรรคปวงชนชาวไทย เป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่งของขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทย ได้กำหนดอุดมคติของพรรคไว้ในข้อ 1) ดังนี้ พรรคปวงชนชาวไทยยึดมั่นในอุดมการณ์ของชาติ คือสร้างสังคมในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐให้สมบูรณ์และสถาพรบนรากฐานของลัทธิประชาธิปไตย
จากตัวอย่างเพียงเล็กน้อยที่ยกมาพอจะเห็นได้แล้วว่า ในเมื่อภารกิจแห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยได้มาตกแก่มวลประชาชนทั่วชาติ การปฏิวัติประชาธิปไตยก็ไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งยังจะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง เช่นเดียวกับการปฏิวัติประชาธิปไตยที่กระทำโดยพระมหากษัตริย์ เจ้านาย ขุนนางผู้ใหญ่ ข้าราชการระดับล่างและพ่อค้าประชาชนมาจนถึงทหารหนุ่ม ดังที่กล่าวมาแล้วเช่นเดียวกัน
จากที่กล่าวมาแล้วในตอนก่อน ๆ จะเห็นว่าภายในขบวนการประชาธิปไตยซึ่งเป็นขบวนการที่มีความมุ่งหมายจะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้น ไม่มีบุคคลใดคิดจะทำลายความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ตรงกันข้ามบุคคลเหล่านั้นตั้งแต่พระมหากษัตริย์ลงจนถึงทหารหนุ่มซึ่งคิดหรือดำเนินการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้น ล้วนแต่ต้องการจะรักษาความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น
แต่จะไม่มีสักคนเลยหรือที่คิดจะทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ขบวนการประชาธิปไตยในประเทศไทยเป็นขบวนการที่กว้างใหญ่ไพศาลที่สุด ในบรรดาขบวนการทั้งหลายในประเทศไทย เพราะแนวโน้มแห่งพัฒนาการของประเทศไทยเป็นแนวโน้มทางประชาธิปไตย จึงทำให้ความต้องการของประชาชนชาวไทยฝ่ายข้างมากที่สุดเป็นความต้องการระบอบประชาธิปไตย
ในขบวนการซึ่งประกอบด้วยผู้คนจำนวนมากมายมหาศาลเช่นนี้ย่อมจะมีคนบางคนที่มีความคิดไขว้เขวออกนอกลู่นอกทาง ด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือมีอุปนิสัยหัวรุนแรง ซึ่งอาจเรียกว่าเป็นพวกประชาธิปไตยซ้ายจัดก็ได้ แต่คนเหล่านี้มีจำนวนน้อยที่สุดในขบวนการประชาธิปไตย จึงไม่สามารถจะชักจูงขบวนการประชาธิปไตยให้ไขว้เขวออกนอกลู่นอกทางไปตามทรรศนะของตนได้ และความจริงแล้วคนจำนวนน้อยนิดหยิบมือเดียว ซึ่งมีทรรศนะขัดกับมวลชนอันกว้างใหญ่ไพศาลจะไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากนั่งเขียนใบปลิวไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง ดังประกาศแจ้งความในหนังสือพิมพ์ มติชน ฉบับวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๒๔ มีข้อความว่า
ปรากฏว่ามีเอกสารใต้ดินทั้งในรูปของเอกสารโรเนียวและเป็นหนังสือเล่มโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์และสมาชิกในครอบครัวของในหลวงออกเผยแพร่อยู่เสมอ ได้ความว่ามีแหล่งผลิตทั้งในประเทศและนอกประเทศดูคล้ายกับว่ามีขบวนการต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์อันกว้างใหญ่ แต่ความจริงแล้วเป็นเรื่องของคนเพียงไม่กี่คนและการทำใบปลิวใต้ดินนั้น ใครๆก็ทำได้ เพราะทำไม่ยากเพียงสองคนก็ทำได้ แต่ไม่มีผลประการใด เพราะใบปลิวนั้นขัดกับมติมหาชนชาวไทยโดยสิ้นเชิง จึงไม่ควรถือว่าเป็นสิ่งมีสาระ โดยเฉพาะไม่ควรวิตกกังวลว่าการกระทำเช่นนั้นหมายถึงว่าความมั่นคงของสถาบันพระมหากษัตริย์ตกอยู่ในอันตรายแล้ว แต่ก็ควรป้องกันและขจัดการกระทำเช่นนั้นเสีย การประกาศให้สินบนก็เป็นวิธีหนึ่งของการป้องกันและแก้ไข แต่วิธีที่สำคัญที่สุดและมีประสิทธิภาพที่สุดคือ บรรดาผู้ส่งเสริมสถาบันพระมหากษัตริย์จะต้องส่งเสริมอย่างถูกต้องเพื่อมิให้การส่งเสริมกลายเป็นการทำลายโดยไม่รู้ตัว หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์หรือด้วยเหตุใดๆก็ตาม
บุคคลใดที่ทำใบปลิวต่อต้านสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ถ้าเป็นคอมมิวนิสต์ก็แล้วไป แต่ถ้าเขาไม่เป็นคอมมิวนิสต์เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประชาธิปไตยแต่เป็นส่วนที่ไม่เพียงแต่จะผิดพลาดอย่างร้ายแรงเท่านั้นหากยังเป็นพวกที่ทำลายขบวนการประชาธิปไตยจากภายในอีกด้วย ซึ่งเมื่อกล่าวถึงที่สุดแล้ว ต้องถือว่าพวกเขาเป็นปรปักษ์ต่อขบวนการประชาธิปไตย
เพราะว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยเป็นเครื่องส่งเสริมประชาธิปไตย ใครเป็นปรปักษ์ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์จึงกลายเป็นปรปักษ์ต่อขบวนการประชาธิปไตย
ที่ว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยเป็นเครื่องส่งเสริมประชาธิปไตยนั้น พิจารณาทั้งจากด้านสถาบันและด้านบุคคล ในด้านบุคคลนั้นพระมหากษัตริย์ของไทยแม้ในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ทรงมีลักษณะประชาธิปไตยอันสูงส่ง แม้บางพระองค์จะเป็นที่เลื่องลือว่าดุร้ายจนทรงได้รับพระนามว่า พระพุทธเจ้าเสือ ก็ยังมีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะเสด็จประพาสโดยชลมารคเพื่อทรงเบ็ด มหาดเล็กนั่งหมอบอยู่ ณ เบื้องพระยุคลบาท ฝีพายพูดกันว่าเจ้าหมอนั่นประจบในหลวงเก่ง จึงนั่งสบายไม่ต้องพายเรือให้เบื่อเหมือนพวกเรา ฝีพายชวนนินทาในหลวงเช่นนี้ด้วยนึกว่าจะไม่ทรงได้ยิน แต่ในหลวงประทับอยู่กลางลำเรือ กระแสลมพาเสียงนินทามาเข้าพระกรรณจึงทรงได้ยินอย่างละเอียด ครั้นเรือพระที่นั่งมาถึงศาลาท่าน้ำวัดแห่งหนึ่ง โปรดเกล้าฯให้จอดเรือ จึงรับสั่งให้ฝีพายคนที่นินทาพระองค์ขึ้นไปดูว่าเป็นเสียงอะไร ฝีพายคนนั้นวิ่งขึ้นไปมองดูที่ใต้ถุนศาลาการเปรียญแล้วก็วิ่งกลับมากราบทูลว่า ลูกสุนัขพระพุทธเจ้าข้า รับสั่งว่ากี่ตัว ฝีพายวิ่งกลับไปมองดูอีก แล้วก็วิ่งกลับมากราบทูลว่า สี่ตัวพระพุทธเจ้าข้า รับสั่งถามอีกว่า ตัวผู้กี่ตัว ตัวเมียกี่ตัว ฝีพายวิ่งกลับไปมองดูอีก แล้วกลับมากราบทูลอีกว่า ตัวผู้สองตัวเมียสองตัว พระพุทธเจ้าข้า รับสั่งถามอีกว่า ตัวผู้สีอะไร ตัวเมียสีอะไร ฝีพายวิ่งไปดูแล้วกลับมากราบทูลว่า ตัวผู้สีดำตัวเมียสีขาวพระพุทธเจ้าข้า
ครั้นแล้วรับสั่งให้คนที่หมอบเฝ้าวิ่งไปดูบ้างว่ามันเป็นเสียงอะไร ผู้ที่หมอบเฝ้าวิ่งไปดูแล้วกลับมากราบทูลอย่างรวดเร็วว่า ลูกสุนัขพระเจ้าข้า ๔ ตัวพระเจ้าข้า ตัวผู้ ๒ ตัวเมีย ๒ ตัว ตัวผู้มีสำดำ ตัวเมียมีสีขาว
สมเด็จพระพุทธเจ้าเสือจึงรับสั่งแก่ฝีพายที่นินทาพระองค์ว่า มึงเหมาะสมเป็นฝีพายต่อไปและเจ้านี่เหมาะสำหรับนั่งหมอบเฝ้ากู
ฝีพายทั้งหลายเห็นชอบทุกประการว่านายคนนั้นควรนั่งหมอบเฝ้าในหลวง ในหลวงโปรดฯ ไม่ใช่เพราะเขาประจบสอพลอเก่งแต่เพราะเขามีสติปัญญา พวกตนควรออกแรงเป็นฝีพายต่อไป
นี่คือลักษณะประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าเสือ ซึ่งทั้งๆ ที่มีพระราชอำนาจเป็นที่ล้นพ้นแต่ก็ทรงฟังเสียงนินทาอย่างผิดๆได้ และปล่อยให้ข้อเท็จจริงพิสูจน์คนทุกคนให้ยอมรับในความถูกต้องของพระองค์ ต่างกับผู้อ้างว่าส่งเสริมประชาธิปไตยสมัยนี้เพียงแต่ใหญ่มาสักหน่อยเท่านั้นก็จะฟังแต่คำสรรเสริญ ใครวิจารณ์หาว่าเจตนาร้ายไปเลย
เรื่องประชาธิปไตยของพระพุทธเจ้าเสือ นอกจากที่ยกมานั้นยังมีอีกมากมายเช่นการเสด็จปลอมตัวไปชกมวยกับชาวบ้าน และที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพันท้ายนรสิงห์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปอยู่แล้ว
แม้แต่พระมหากษัตริย์ซึ่งทรงได้ราชสมัญญาว่า เสือ ยังทรงมีลักษณะประชาธิปไตยถึงเพียงนั้น ยิ่งพระมหากษัตริย์ซึ่งได้ราชสมัญญาว่า พระ จะทรงมีลักษณะประชาธิปไตยสักเพียงไหน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อนเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ ทรงผนวชนานถึง ๒๐ กว่าพระพรรษา ทรงเชี่ยวชาญ ทั้งฝ่ายคันถธุระและวิปัสสนาธุระ ทรงเป็นสมภารและเสด็จออกธุดงค์ไปถึงเมืองสุโขทัย สามารถยืนยันได้ว่า ไม่มีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกที่จะทรงเข้าถึงธรรมของพระศาสนาเสมอด้วยรัชกาลที่ ๔ ของเรา จึงไม่ต้องพูดถึงว่าพระองค์ท่านจะสมบูรณ์ด้วยลักษณะประชาธิปไตยเพียงไร เพราะประชาธิปไตยก็คือ ธรรมาธิปไตย นั่นเอง อย่างน้อยที่สุดจะเห็นได้จากประกาศพระบรมราชโองการฉบับหนึ่งอันเนื่องด้วยพ่อค้าคหบดีหวนรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณจัดงานเฉลิมพระชนมพรรษาขึ้นเป็นครั้งแรก น้อมเกล้าฯ ถวายแด่พระองค์ท่าน ประกาศพระบรมราชโองการมีความว่าให้ราษฎรตกแต่งอาคารบ้านเรือน ตามประทีปโคมไฟ แต่ไม่เป็นการบังคับ ให้ทำตามสมัครใจ ใครเกียจคร้านไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ใครยากจนไม่มีเงินซื้อน้ำมันใส่ตะเกียงก็ไม่ต้องทำ ดังนี้เป็นต้น
อันพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ไทยซึ่งแสดงถึงลักษณะประชาธิปไตย โดยเฉพาะในพระราชวงศ์จักรีนี้ มีเป็นอเนกอนันต์เหลือที่จะพรรณนาได้ แต่ที่เว้นจะกล่าวเสียมิได้คือ พระราชปณิธานที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว การที่ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและในท่ามกลางเสียงเรียกร้องรัฐธรรมนูญดังสนั่นไปทั่วสารทิศในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันกลับทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่คณะรัฐมนตรี ชุดนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ในวันเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่ เมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๑๖ ว่า ต้องทำหน้าที่ให้บรรลุผลตามจุดประสงค์ให้การปกครองประเทศเข้าสู่สภาพปกติให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศชาติ
ถ้าต้องการประชาธิปไตย จะต้องเรียกร้องประชาธิปไตย แต่การเคลื่อนไหว ๑๔ ตุลาคม กลับเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จึงได้รัฐธรรมนูญตามที่เรียกร้อง แต่ไม่ได้ประชาธิปไตยตามที่ต้องการ
นอกจากทรงเรียกร้องให้มีการปกครองแบบประชาธิปไตยที่เหมาะสมกับสภาพของประเทศชาติ ซึ่งเป็นการแสดงออกที่สำคัญที่สุดของประชาธิปไตยแล้ว พระองค์ท่านยังทรงเข้าถึงประชาชน ชนิดที่แม้แต่ส.ส. ซึ่งมีหน้าที่เข้าถึงประชาชนโดยตรงอยู่แล้ว ก็ไม่สามารถจะทำได้เช่นนั้น ก็เพราะการเข้าถึงประชาชนของพระองค์ท่านเป็นไปตามพระราชดำรัสเมื่อวันเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม
ที่กล่าวมานี้ คือโดยย่อที่สุดของลักษณะประชาธิปไตยของพระมหากษัตริย์ไทยในด้านบุคคล ส่วนพระมหากษัตริย์ในด้านสถาบันนั้น มีลักษณะประชาธิปไตยที่สูงส่งกว่านั้น ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หัวใจของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สถาบันพระมหากษัตริย์มีทศพิธราชธรรมเป็นรัฐธรรมนูญอบู่แล้ว เมื่อองค์พระมหากษัตริย์ทรงมีลักษณะประชาธิปไตยอย่างสูงอยู่ด้วย จึงทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ไทยทั้งในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และในระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์เป็นสถาบันแห่งธรรม (Righteousness) และธรรมย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสมอไป ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบที่ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ จึงต้องเป็นระบอบที่เป็นธรรม หรือเป็นระบอบที่ถือธรรมเป็นใหญ่ ฉะนั้นประชาธิปไตยคือ ธรรมาธิปไตย ไม่ใช่โลกาธิปไตยตามที่นักวิชาการบางคนยึดถือ โลกาธิปไตยคือเสียงข้างมากเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของประชาชน
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านย้อนหลัง...
|