Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
พระพุทธศาสนาแนวคิดเพื่อพัฒนาสังคมและการเมือง
ดร.บี อาร์ อัมเบดการ์
ถอดความโดย
พระดร.สมชัย กุสลจิตฺโต พระราชปัญญาเมธี
 
              (ต่อจากตอนที่แล้ว)
 
 
 
   
           เกียรติ-ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าปากท้อง
 
           การนับถือตัวเองสำคัญกว่าลาภผลทางวัตถุใดๆ การต่อสู้ของพวกเราเป็นการต่อสู้เพื่อเกียรติศักดิ์ศรีและการนับถือตัวเอง มิใช่เพียงเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเท่านั้นในมหานครบอมเบย์ (ปัจจุบันเรียกว่า “มุมไบ”) มีย่านที่พำนักอาศัยของหญิงโสเภณี(หลายแห่ง) พวกผู้หญิงเหล่านี้ซึ่งมักตื่นนอนราวๆ ๘ โมงเช้า พอสักครู่แม่เจ้าก็ส่งเสียงเรียกเด็กมุสลิมที่เป็นบ๋อยในภัตตาคารราคาถูกตั้งอยู่แถวโมหัลลาห์(Mohallah) ว่า “เฮ้ย! บังเลาะห์ เฮ้ย! บังเลาะห์” พวกแม่เจ้าตะโกนต่อไปว่า “เอากีม่า (แกงเนื้อสับป่น)กับโรตีมา ๑ ชุด ”

           ผู้หญิงโสเภณีเหล่านั้นรับประทานโรตีกับกีม่าและดื่มน้ำชาเป็นอาหารเช้าประจำทุกวัน ดูซิ! แต่พวกผู้หญิงชาวบ้านของพวกเรากลับไม่มีโรตีกับกีม่ากิน สตรีจำนวนมากในที่นี้ไม่มีแม้อาหารเศษหนึ่งส่วนสองมารับประทานทุกวัน พวกเธอต้องฝืนกลืนโรตีกับชัตนี่ ๒๒ แม้พวกเธอสามารถจะร่ำรวยและใช้ชีวิตเหลวแหลกชั่วช้าเช่นนั้นได้ หากพวกเธอปรารถนา แต่พวกเธอกลับคำนึงถึงเกียรติศักดิ์ศรีและการนับถือตนเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มา คือต่อสู้เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรี (ของความเป็นมนุษย์) และการนับถือตัวเอง (ในฐานะมนุษย์)

           สำหรับมนุษย์แล้ว มันเป็นสิทธิโดยกำเนิดของเขาที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี พื่อจะให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น พวกเราจึงต้องพยายามทุกวิถีทางจนสุดความสามารถ  พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกฮินดูปฏิเสธไม่ยอมให้พวกเราแม้กระทั่งปัจจุบันพวกเราจึงต้องทำชีวิตของพวกเราเองให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์และดีงามให้มากที่สุด

            ในการหันกลับมาสมาทานนับถือพระพุทธศาสนานั้น อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราจะต้องเสียสละ ถ้าสิทธิพิเศษต่างๆ เช่นโควต้าตำแหน่งงานในหน่วยงานรัฐบาลและที่นั่งในสถาบันการศึกษาของรัฐสำหรับพวกจัณฑาลยังมีอยู่แล้ว  ขอให้ข้าพเจ้ายืนยันว่า พวกท่านจะไม่สูญเสียมันไป หลังพิธีการนี้ ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าจะต้องใส่ใจทำก็คือเรื่องสิทธิพิเศษเหล่านี้

           การจะตามรักษาสิทธิพิเศษเหล่านี้ต่อไปไว้ได้ จำต้องอาศัยแนวทางปฏิบัติ  ซึ่งบางครั้งพวกเราอาจจะต้องพึ่งศาล ข้าพเจ้าเองได้เตรียมพร้อมเพื่อเรื่องนี้อยู่เสมอ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็คงไม่จำเป็นจะต้องเปิดเผยถึงแนวทางปฏิบัติการต่อสู้บนเวทีนี้ บุคคลผู้สมควรแก่การรับสิทธิอันชอบธรรม ก็จะต้องมีความแข็งแกร่งและสามารถพอที่จะรักษามันไว้ได้ด้วย พวกเราจึงต้องร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อความก้าวหน้าของขบวนการของเรา   ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงก็จะหมดไปหลังจากได้สมาทานยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ส่วนพวกเราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆอย่างไร ? ข้าพเจ้ามีความแข็งแกร่งและมีข้อมูลอยู่ในมือเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาทั้งหลายได้ สิทธิอันชอบธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาและได้รักษาไว้สำหรับพวกท่านข้าพเจ้าขอยืนยันว่า แน่นอน! จะนำมันกลับมาให้พวกท่านอีก แต่อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นทีหลังจากข้าพเจ้าตายไป ข้าพเจ้าก็ไม่อาจบอกได้

           โปรดจงไว้วางใจในตัวข้าพเจ้าและถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากล่าว แน่นอนที่สุด มันไม่มีความจริงใดๆ เลยในถ้อยคำของฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา ข้าพเจ้าขอเตือนท่านท้งหลายว่า อย่าได้ไปใส่ใจถ้อยคำของพวกเขาเลย
 
            เหตุผลในการเลือกพระพุทธศาสนา
 
           ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนศาสนานั้น พวกเราได้อภิปรายกันในที่อื่นๆมาบ้างแล้ว แต่ข้าพเจ้าประหลาดใจที่พบว่า  ไม่มีใครถามข้าพเจ้าถึงเหตุผลที่เลือกศาสนาของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่มีศาสนาอื่นๆอยู่มากมายในขบวนการเปลี่ยนศาสนา นี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ถูกถามเป็นปัญหาแรก 

           ในขณะจะเข้าพิธีเปลี่ยนศาสนานั้น ผู้เข้าร่วมพิธีควรถามปัญหาต่อไปนี้กับตัวเอง ดังนี้
 
           ๑. ศาสนาไหนหนอที่เราควรเลือกนับถือ ?
           ๒. มีระเบียบชั้นตอนที่เราต้องทำอย่างไรบ้าง ?

         ข้าพเจ้าเองได้เริ่มขบวนการสลัดศาสนาฮินดูทิ้งในปีพ.ศ.๒๔๗๘ที่เมืองนาสิก จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้พยายามต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง การประชุมใหญ่ซึ่งได้จัดขึ้นที่เมืองเยวรา (Yevala=Yeola) ในปีพ.ศ.๒๔๗๘ นั่นเอง มีการนำเสนอญัตติเรื่องนี้ขึ้นในการประชุมครั้งนั้น ผลปรากฎว่าได้มีมติตัดสินใจกันว่า พวกเราควรพร้อมใจกันสละทิ้งศาสนาฮินดู ข้าพเจ้าได้พูดในที่ประชุมว่า แม้ข้าพเจ้าจะเกิดมาเป็นฮินดู  เพราะข้าพเจ้าไม่อาจเลือกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ขอตายในฐานะเป็นฮินดู พิธีเปลี่ยนศาสนาครั้งนี้จึงนำความปิติและความสุขมหาศาลเหนือการคาดหมายมาสู่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองมีความรู้สึกเหมือนพ้นจากขุมนรก ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนที่รับไตรสรณคมน์เมื่อวานนี้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ด้วยประสบการณ์ของท่านเอง เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการบริวารที่มืดบอด ข้าพเจ้าไม่ชอบคนที่มีจิตเชื่องๆเหมือนแกะ(ใครจะจูงไปไหนก็ได้) ดังนั้น พวกเราที่ต้องการเข้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ควรจะคิดให้รอบคอบถึงผลดี-ผลเสียก่อน (การเป็นชาวพุทธที่ดีก็มิใช่ทำได้ง่าย) เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ค่อนข้างจะปฏิบัติตามให้สมบูรณ์ได้ยากมาก
 
              เป็นคนต้องมีศาสนา
 
             ศาสนาหรือการได้ปฏิบัติธรรมมากขึ้นนั้นนับเป็นความจำเป็นสูงสุดสำหรับความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ ศิษย์ของท่านคาร์ล มาร์กซ์ บางคนเชื่อว่าศาสนาเป็นยาเสพติด (Religion is an opiate) ข้อความของคาร์ล มาร์กซ์ประโยคนี้พูดขึ้นด้วยประสงค์จะเหน็บแนม (ด้วยอคติ ควรฟังด้วยวิจารณญาณ) สำหรับคนที่พูดประโยคอย่างนี้ คนประเภทนี้ศาสนาจะไม่เหลือความสำคัญไม่เหลือความหมายใดๆอยู่เลย ในหมู่พวกเราก็เหมือนกัน มีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติตามคติว่า “จงกิน จงดื่ม และรื่นเริงเข้าไว้” สิ่งที่คนพวกนี้ต้องการก็คือขนมปังและเนยสำหรับอาหารมื้อเช้า อาหารกลางวันอร่อยๆยามบ่าย เตียงสวยๆนุ่มสบายเพื่อนอนเอกเขนก และภาพยนตร์สนุกๆเพื่อให้เวลาให้หทดไปในชีวิตของคนพวกนี้ไม่มีที่ว่างไว้สำหรับศาสนาเลย

             ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับคนพวกนี้ เนื่องจากความยากจนของบิดา ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสเสพสุขกับสิ่งหรูหราเหล่านี้เลย แม้กระทั่งบั้นปลายชีวิต ข้าพเจ้าต้องทุกข์ทรมานและรับงานหนักเหลือเกิน ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีศาสนา

             ข้าพเจ้าเองเข้าใจถึงความทุกข์ชนิดที่คนจนจำต้องอดทนกันอยู่ พวกเราจึงได้เริ่มขบวนการต่อสู้  มุ่งมองไปที่เรื่องของเศรษฐกิจ ข้าพเจ้ามิได้ต่อต้านแนวคิดนี้ พวกเราควรจะก้าวหน้าและพยายามเป็นอิสระทางเศรษฐกิจด้วย ข้าพเจ้าเองได้ต่อสู้มาตลอดชีวิตก้เพื่อเป้าหมายนี้ไม่เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้ายังต้องการให้มวลมนุษยชาติมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ข้าพเจ้ามีทัศนะอิสระในประเด็นนี้
 
              พัฒนาทั้งกายและใจ
 
             มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อยู่ข้อหนึ่ง คือขณะที่สัตว์ไม่ต้องการอะไรมาเก็บออมอาหารไว้กินในวันต่อไป แต่มนุษย์ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและจิตใจที่ต้องดูแลพัฒนาไปพร้อมๆกันทั้งสองส่วน จิตใจก็จำเป็นต้องฝึกฝนพัฒนาควบคู่กันไปพร้อมกับร่างกาย  ในมนุษย์ควรถูกเติมเต็มด้วยความดำริที่บริสุทธิ์  โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่า การฝึกฝนใจเช่นนี้จะไม่มีผลอานิสงส์ดีใดๆ เลยแม้เพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ประชาชนมีความเชื่อว่าเรื่องการกินดื่มและรื่นเริงเป็นคติทางเดินแห่งชีวิต  เมื่อมุ่งมองไปที่มวลชน เราจะต้องจำไว้ว่าเปรียบเหมือนพวกเราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงอยุ่เสมอ เพื่อที่ว่าจะปลอดจากโรคภัยฉันใด พวกเราก็ต้องฝึกฝนอบรมจิตใจตนเองควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาร่างกายให้แข็งแรงฉันนั้น  มิฉะนั้นมันก็จะไร้ประโยชน์ที่จะพูดว่า มนุษย์กำลังพัฒนาและสร้างสรรค์ความก้าวหน้า
 
              จิตใจขาดความกระตือรือร้นจึงป่วย
 
             เพราะเหตุไร จิตใจมนุษย์จึงเจ็บป่วย ? เหตุผลก็คือว่าตราบใดที่ร่างกายมนุษย์ยังไม่ปลอดจากความทุกข์ จิตใจเราก็ยังเป็นสุขไม่ได้  ดังท่านรามทาส นักบุญแห่งรัฐมหาราษฎร์ กล่าวไว้ว่า หากมนุษย์ขาดความกระตืนรือร้น ทั้งกายและใจของเขาก็จะตกอยู่ในเงื่อนไขที่จะทำให้เจ็บป่วยในปัจจุบัน  แล้วอะไรหนอมาดูดเอาความกระตือรือร้นของมนุษย์ไปหมด เมื่อไม่มีความกระตืนรือร้น ชีวิตก้เซ็งน่าเบื่อหน่าย กลายเป็นภาระหนักที่จะต้องลากเข็นกันไป  จะไม่อาจประสบความสำเร้๗ใดๆได้เลย ถ้าคนขาดความกระตืนรือร้น ทำไมคนจึงหมดความกระตืนรือร้น? เหตุผลหลักก็คือ เพราะเขามองไม่เห็นโอกาสที่จะยกฐานะของตนให้สูงขึ้น  ความสิ้นหวังนำไปสู่ความไม่กระตืนรือร้น จิตใจของคนที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ จัดว่าจิตใจกำลังเจ็บป่วย
          

 
 
 
 
 
 
  
                            
  
  
  
  (อ่านความเดิมตอนที่แล้ว)
  
  
  

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป