(ต่อจากตอนที่แล้ว)
เกียรติ-ศักดิ์ศรีสำคัญกว่าปากท้อง
การนับถือตัวเองสำคัญกว่าลาภผลทางวัตถุใดๆ การต่อสู้ของพวกเราเป็นการต่อสู้เพื่อเกียรติศักดิ์ศรีและการนับถือตัวเอง มิใช่เพียงเพื่อความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจเท่านั้นในมหานครบอมเบย์ (ปัจจุบันเรียกว่า มุมไบ) มีย่านที่พำนักอาศัยของหญิงโสเภณี(หลายแห่ง) พวกผู้หญิงเหล่านี้ซึ่งมักตื่นนอนราวๆ ๘ โมงเช้า พอสักครู่แม่เจ้าก็ส่งเสียงเรียกเด็กมุสลิมที่เป็นบ๋อยในภัตตาคารราคาถูกตั้งอยู่แถวโมหัลลาห์(Mohallah) ว่า เฮ้ย! บังเลาะห์ เฮ้ย! บังเลาะห์ พวกแม่เจ้าตะโกนต่อไปว่า เอากีม่า (แกงเนื้อสับป่น)กับโรตีมา ๑ ชุด
ผู้หญิงโสเภณีเหล่านั้นรับประทานโรตีกับกีม่าและดื่มน้ำชาเป็นอาหารเช้าประจำทุกวัน ดูซิ! แต่พวกผู้หญิงชาวบ้านของพวกเรากลับไม่มีโรตีกับกีม่ากิน สตรีจำนวนมากในที่นี้ไม่มีแม้อาหารเศษหนึ่งส่วนสองมารับประทานทุกวัน พวกเธอต้องฝืนกลืนโรตีกับชัตนี่ ๒๒ แม้พวกเธอสามารถจะร่ำรวยและใช้ชีวิตเหลวแหลกชั่วช้าเช่นนั้นได้ หากพวกเธอปรารถนา แต่พวกเธอกลับคำนึงถึงเกียรติศักดิ์ศรีและการนับถือตนเอง นี่คือสิ่งที่พวกเราพยายามต่อสู้เพื่อให้ได้มา คือต่อสู้เพื่อเกียรติยศศักดิ์ศรี (ของความเป็นมนุษย์) และการนับถือตัวเอง (ในฐานะมนุษย์)
สำหรับมนุษย์แล้ว มันเป็นสิทธิโดยกำเนิดของเขาที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี พื่อจะให้บรรลุถึงเป้าหมายนั้น พวกเราจึงต้องพยายามทุกวิถีทางจนสุดความสามารถ พวกเรากำลังต่อสู้เพื่อศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ ซึ่งพวกฮินดูปฏิเสธไม่ยอมให้พวกเราแม้กระทั่งปัจจุบันพวกเราจึงต้องทำชีวิตของพวกเราเองให้เป็นชีวิตที่สมบูรณ์และดีงามให้มากที่สุด
ในการหันกลับมาสมาทานนับถือพระพุทธศาสนานั้น อาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่พวกเราจะต้องเสียสละ ถ้าสิทธิพิเศษต่างๆ เช่นโควต้าตำแหน่งงานในหน่วยงานรัฐบาลและที่นั่งในสถาบันการศึกษาของรัฐสำหรับพวกจัณฑาลยังมีอยู่แล้ว ขอให้ข้าพเจ้ายืนยันว่า พวกท่านจะไม่สูญเสียมันไป หลังพิธีการนี้ ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าจะต้องใส่ใจทำก็คือเรื่องสิทธิพิเศษเหล่านี้
การจะตามรักษาสิทธิพิเศษเหล่านี้ต่อไปไว้ได้ จำต้องอาศัยแนวทางปฏิบัติ ซึ่งบางครั้งพวกเราอาจจะต้องพึ่งศาล ข้าพเจ้าเองได้เตรียมพร้อมเพื่อเรื่องนี้อยู่เสมอ ถึงกระนั้นข้าพเจ้าก็คงไม่จำเป็นจะต้องเปิดเผยถึงแนวทางปฏิบัติการต่อสู้บนเวทีนี้ บุคคลผู้สมควรแก่การรับสิทธิอันชอบธรรม ก็จะต้องมีความแข็งแกร่งและสามารถพอที่จะรักษามันไว้ได้ด้วย พวกเราจึงต้องร่วมกันดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อความก้าวหน้าของขบวนการของเรา ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงก็จะหมดไปหลังจากได้สมาทานยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา ส่วนพวกเราจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ต่างๆอย่างไร ? ข้าพเจ้ามีความแข็งแกร่งและมีข้อมูลอยู่ในมือเพียงพอที่จะจัดการกับปัญหาทั้งหลายได้ สิทธิอันชอบธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าได้ต่อสู้เพื่อให้ได้มาและได้รักษาไว้สำหรับพวกท่านข้าพเจ้าขอยืนยันว่า แน่นอน! จะนำมันกลับมาให้พวกท่านอีก แต่อาจจะมีอะไรเกิดขึ้นทีหลังจากข้าพเจ้าตายไป ข้าพเจ้าก็ไม่อาจบอกได้
โปรดจงไว้วางใจในตัวข้าพเจ้าและถ้อยคำที่ข้าพเจ้ากล่าว แน่นอนที่สุด มันไม่มีความจริงใดๆ เลยในถ้อยคำของฝ่ายที่เป็นปฏิปักษ์กับพวกเรา ข้าพเจ้าขอเตือนท่านท้งหลายว่า อย่าได้ไปใส่ใจถ้อยคำของพวกเขาเลย
เหตุผลในการเลือกพระพุทธศาสนา
ปัญหาเรื่องการเปลี่ยนศาสนานั้น พวกเราได้อภิปรายกันในที่อื่นๆมาบ้างแล้ว แต่ข้าพเจ้าประหลาดใจที่พบว่า ไม่มีใครถามข้าพเจ้าถึงเหตุผลที่เลือกศาสนาของพระพุทธเจ้า ทั้งๆที่มีศาสนาอื่นๆอยู่มากมายในขบวนการเปลี่ยนศาสนา นี้นับว่าเป็นปัญหาสำคัญที่ถูกถามเป็นปัญหาแรก
ในขณะจะเข้าพิธีเปลี่ยนศาสนานั้น ผู้เข้าร่วมพิธีควรถามปัญหาต่อไปนี้กับตัวเอง ดังนี้
๑. ศาสนาไหนหนอที่เราควรเลือกนับถือ ?
๒. มีระเบียบชั้นตอนที่เราต้องทำอย่างไรบ้าง ?
ข้าพเจ้าเองได้เริ่มขบวนการสลัดศาสนาฮินดูทิ้งในปีพ.ศ.๒๔๗๘ที่เมืองนาสิก จากนั้นข้าพเจ้าก็ได้พยายามต่อสู้มาอย่างต่อเนื่อง การประชุมใหญ่ซึ่งได้จัดขึ้นที่เมืองเยวรา (Yevala=Yeola) ในปีพ.ศ.๒๔๗๘ นั่นเอง มีการนำเสนอญัตติเรื่องนี้ขึ้นในการประชุมครั้งนั้น ผลปรากฎว่าได้มีมติตัดสินใจกันว่า พวกเราควรพร้อมใจกันสละทิ้งศาสนาฮินดู ข้าพเจ้าได้พูดในที่ประชุมว่า แม้ข้าพเจ้าจะเกิดมาเป็นฮินดู เพราะข้าพเจ้าไม่อาจเลือกได้ แต่ข้าพเจ้าไม่ขอตายในฐานะเป็นฮินดู พิธีเปลี่ยนศาสนาครั้งนี้จึงนำความปิติและความสุขมหาศาลเหนือการคาดหมายมาสู่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเองมีความรู้สึกเหมือนพ้นจากขุมนรก ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทุกคนที่รับไตรสรณคมน์เมื่อวานนี้ตระหนักถึงความจริงข้อนี้ด้วยประสบการณ์ของท่านเอง เพราะข้าพเจ้าไม่ต้องการบริวารที่มืดบอด ข้าพเจ้าไม่ชอบคนที่มีจิตเชื่องๆเหมือนแกะ(ใครจะจูงไปไหนก็ได้) ดังนั้น พวกเราที่ต้องการเข้าถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ควรจะคิดให้รอบคอบถึงผลดี-ผลเสียก่อน (การเป็นชาวพุทธที่ดีก็มิใช่ทำได้ง่าย) เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ค่อนข้างจะปฏิบัติตามให้สมบูรณ์ได้ยากมาก
เป็นคนต้องมีศาสนา
ศาสนาหรือการได้ปฏิบัติธรรมมากขึ้นนั้นนับเป็นความจำเป็นสูงสุดสำหรับความเจริญก้าวหน้าของมวลมนุษยชาติ ศิษย์ของท่านคาร์ล มาร์กซ์ บางคนเชื่อว่าศาสนาเป็นยาเสพติด (Religion is an opiate) ข้อความของคาร์ล มาร์กซ์ประโยคนี้พูดขึ้นด้วยประสงค์จะเหน็บแนม (ด้วยอคติ ควรฟังด้วยวิจารณญาณ) สำหรับคนที่พูดประโยคอย่างนี้ คนประเภทนี้ศาสนาจะไม่เหลือความสำคัญไม่เหลือความหมายใดๆอยู่เลย ในหมู่พวกเราก็เหมือนกัน มีเป็นจำนวนไม่น้อยที่ปฏิบัติตามคติว่า จงกิน จงดื่ม และรื่นเริงเข้าไว้ สิ่งที่คนพวกนี้ต้องการก็คือขนมปังและเนยสำหรับอาหารมื้อเช้า อาหารกลางวันอร่อยๆยามบ่าย เตียงสวยๆนุ่มสบายเพื่อนอนเอกเขนก และภาพยนตร์สนุกๆเพื่อให้เวลาให้หทดไปในชีวิตของคนพวกนี้ไม่มีที่ว่างไว้สำหรับศาสนาเลย
ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่เห็นดีเห็นงามกับคนพวกนี้ เนื่องจากความยากจนของบิดา ข้าพเจ้าจึงไม่มีโอกาสเสพสุขกับสิ่งหรูหราเหล่านี้เลย แม้กระทั่งบั้นปลายชีวิต ข้าพเจ้าต้องทุกข์ทรมานและรับงานหนักเหลือเกิน ถึงกระนั้นสิ่งนี้ก็ไม่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นคนไม่มีศาสนา
ข้าพเจ้าเองเข้าใจถึงความทุกข์ชนิดที่คนจนจำต้องอดทนกันอยู่ พวกเราจึงได้เริ่มขบวนการต่อสู้ มุ่งมองไปที่เรื่องของเศรษฐกิจ ข้าพเจ้ามิได้ต่อต้านแนวคิดนี้ พวกเราควรจะก้าวหน้าและพยายามเป็นอิสระทางเศรษฐกิจด้วย ข้าพเจ้าเองได้ต่อสู้มาตลอดชีวิตก้เพื่อเป้าหมายนี้ไม่เพียงเท่านี้ ข้าพเจ้ายังต้องการให้มวลมนุษยชาติมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่ข้าพเจ้ามีทัศนะอิสระในประเด็นนี้
พัฒนาทั้งกายและใจ
มีความแตกต่างกันระหว่างมนุษย์กับสัตว์อยู่ข้อหนึ่ง คือขณะที่สัตว์ไม่ต้องการอะไรมาเก็บออมอาหารไว้กินในวันต่อไป แต่มนุษย์ซึ่งประกอบด้วยร่างกายและจิตใจที่ต้องดูแลพัฒนาไปพร้อมๆกันทั้งสองส่วน จิตใจก็จำเป็นต้องฝึกฝนพัฒนาควบคู่กันไปพร้อมกับร่างกาย ในมนุษย์ควรถูกเติมเต็มด้วยความดำริที่บริสุทธิ์ โดยส่วนตัวแล้ว ข้าพเจ้าเชื่อว่า การฝึกฝนใจเช่นนี้จะไม่มีผลอานิสงส์ดีใดๆ เลยแม้เพียงเล็กน้อยที่เกี่ยวข้องกับประเทศที่ประชาชนมีความเชื่อว่าเรื่องการกินดื่มและรื่นเริงเป็นคติทางเดินแห่งชีวิต เมื่อมุ่งมองไปที่มวลชน เราจะต้องจำไว้ว่าเปรียบเหมือนพวกเราต้องมีร่างกายที่แข็งแรงอยุ่เสมอ เพื่อที่ว่าจะปลอดจากโรคภัยฉันใด พวกเราก็ต้องฝึกฝนอบรมจิตใจตนเองควบคู่ไปด้วย เพื่อรักษาร่างกายให้แข็งแรงฉันนั้น มิฉะนั้นมันก็จะไร้ประโยชน์ที่จะพูดว่า มนุษย์กำลังพัฒนาและสร้างสรรค์ความก้าวหน้า
จิตใจขาดความกระตือรือร้นจึงป่วย
เพราะเหตุไร จิตใจมนุษย์จึงเจ็บป่วย ? เหตุผลก็คือว่าตราบใดที่ร่างกายมนุษย์ยังไม่ปลอดจากความทุกข์ จิตใจเราก็ยังเป็นสุขไม่ได้ ดังท่านรามทาส นักบุญแห่งรัฐมหาราษฎร์ กล่าวไว้ว่า หากมนุษย์ขาดความกระตืนรือร้น ทั้งกายและใจของเขาก็จะตกอยู่ในเงื่อนไขที่จะทำให้เจ็บป่วยในปัจจุบัน แล้วอะไรหนอมาดูดเอาความกระตือรือร้นของมนุษย์ไปหมด เมื่อไม่มีความกระตืนรือร้น ชีวิตก้เซ็งน่าเบื่อหน่าย กลายเป็นภาระหนักที่จะต้องลากเข็นกันไป จะไม่อาจประสบความสำเร้๗ใดๆได้เลย ถ้าคนขาดความกระตืนรือร้น ทำไมคนจึงหมดความกระตืนรือร้น? เหตุผลหลักก็คือ เพราะเขามองไม่เห็นโอกาสที่จะยกฐานะของตนให้สูงขึ้น ความสิ้นหวังนำไปสู่ความไม่กระตืนรือร้น จิตใจของคนที่อยู่ในภาวะเช่นนี้ จัดว่าจิตใจกำลังเจ็บป่วย