เขียนโดย นางแก้ว โพส ๑๔ ก.ค.๒๕๕๒:๒๑.๔๕ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๑๗ พ.ย.๒๕๕๑
กระบวนการเข้าถึงสัมมาทิฎฐิของพลังสันติเพื่อแก้ปัญหาทุกข์ของชาติด้วยการเข้าถึงความจริงหลายระดับ
|
คราวที่แล้วได้กล่าวถึงแก่นปัญหา ของประเทศไทยที่จำต้องลอก กระพี้ปัญหา ออกก่อนจึงจะพบ แก่นปัญหา ได้ ทั้งนี้เพราะปัญหาทั้งหลายบนโลกใบนี้เกิดจากฝีมือมนุษย์เสียส่วนใหญ่ การเริ่มคลำทางแก้ปัญหาจึงต้องเริ่มที่ตัวมนุษย์เอง เมื่อใคร่ครวญปัญหาให้ตีวงจำกัดลงปรากฎเห็นปัญหาของบุคคลสัมพันธ์กับปัญหาทั้งระบบอันสืบเนื่องมาจาก กระพี้มนุษย์ ที่จะนำสู่ แก่นมนุษย์ ย่อแคบลงกว่านั้นและว่ากันให้ถึงที่สุดก็การทำความเข้าใจปัญหา กระพี้นักวิชาการ สู่สาระของ แก่นนักวิชาการ นั่นเอง
ก่อนหน้านี้ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในฐานะผู้เสนอแนวทาง ปฏิวัติ และได้รับการคัดค้านจากนักวิชาการ ปฏิรูปนิยม ทั้งหลายในสาย เสาค้ำรัฐธรรมนูญ ต่างเป็นห่วงหลังการจับตาดูชีพจรนักวิชาการไทยที่เต้นแผ่วลงทุกที แต่ในที่สุดก็ถอนหายใจครั้งใหญ่เมื่อร่องรอยการตอบโต้เรื่อง ราชประชาสมาศัย แบบไม่ชัดเจน ปรากฏออกมา ทว่ากลับหาร่องรอยของจุดยืนและอุดมการณ์แทบไม่พบ (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ ภัยจากลัทธิรัฐธรรมนูญ )
บทความชิ้นล่าสุดสืบเนื่องจากการวิพากษ์ ราชประชาสมาศัย ของขบวนฯ ทำให้เกิดการอธิบาย สวนทาง แบบไม่มีเจตนาโต้ในบทความชิ้นล่าสุดของ อ.ลิขิต ธีรเวคิน ท่วงทำนอง ยอยก สถาบันฯในฐานะ บุคคล ด้วยการเอ่ยพระนาม ภัทรมหาราช แต่หาสัมพันธภาพทางวิชาการแทบไม่พบ
เมื่อซ้ายลุกขึ้นมาพูดแบบขวา อะไรจะเกิดขึ้น ? และการพูดเช่นนั้นหมายความตรงตัวตามอักษรหรือไม่ ?
หรือเป็นการผิดศีลข้อมุสาของขบวนการทำแนวร่วมเช่นเคย ที่นิยมพูดอย่างแต่ทำอีกอย่างหนึ่ง ! ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร ?
เริ่มต้นจากข้อเท็จจริง.....กระบวนการลอกกระพี้
นี่ไม่ใช่ประเด็นความวิปลาสทางปัญญาของนักวิชาการไทย แต่นี่คือปรากฏการณ์ใหม่สะท้อนอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ หากสังเกตให้ชัดขึ้นก็จะค้นพบว่าคนเสนอแนวทางกับคนปกป้องแนวทางเป็นคนละคนกัน คนเสนอเป็นสาย เสาค้ำรัฐธรรมนูญ แต่ฝ่าย แก้ต่าง (Defend) กลับเป็นพวกเอียงซ้ายกะเท่เร่ ที่เรียกล้อเล่นกับในหมู่นักเคลื่อนไหวแบบพี่ๆน้องๆว่า ซ้ายศักดินา บ้าง ซ้ายเสพสุข บ้าง
ที่สำคัญการเขียนถึงราชประชาสมาสัยของสว.คำนูณ สิทธิสมาน ศิษย์สำนักฝ่ายซ้ายของอ.ผิน บัวอ่อน (อ่านเพิ่มเติมในไฟล์แนบอ.ประเสริฐชี้แจงตอนที่ 10) และล่าสุดจากอ.ลิขิต ธีรเวคินแห่งธรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยของอ.ปรีดี พนมยงค์แห่งคณะราษฎร นั้นเป็นแค่การนำเสนอที่มิได้นำไปสู่การดำเนินการปฏิบัติให้เกิดจริง เป็นเพียงการแสดงทัศนะบนหน้ากระดาษเท่านั้น
ข้อเท็จจริงคือได้ปรากฎร่องรอยการกระทำให้ปรากฏได้เกิดขึ้นมาก่อนในปี 2549 เมื่อนักวิชาการคนสำคัญอ.ชัยอนันต์ สมุทธวณิชผู้เสนอแนวทางนี้มาก่อนหน้าอ.ปราโมทย์ นาครทรรพ ได้นำสู่การปฏิบัติด้วยการถวายฎีกาพร้อมราชนิกูลชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งเพื่อขอรัฐบาลพระราชทาน (ซึ่งไม่น่าจะมีชื่อของสว.คำนูณ สิทธิสมานและอ.ลิขิต ธีรเวคิน รวมอยู่ด้วยในขณะนั้น) ในช่วงเวลาก่อนหน้านั้นสองสัปดาห์ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติก็ได้ทำการถวายฎีกาเช่นกันเพื่อขอ รัฐบาลเฉพาะกาล แต่ไม่ปรากฏเป็นข่าวเท่ากับการเสนอของนักวิชาการมีชื่อซึ่งประกอบด้วยราชสกุล ประเด็นการถกเถียงกลายเป็นการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 7 เพื่อหาความชอบธรรมด้วยการตีความทางกฎหมายเพื่อนำสู่การขอรัฐบาลพระราชทาน
กลุ่มนักวิชาการฝั่งซ้าย ต่างกล่าวหาว่ากลุ่มราชนิกูลชนชั้นสูงว่าเป็นพวกศักดินาล้าหลังที่กระทำเรื่องถอยหลังเข้าคลองสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และข้อเสนอของขบวนฯก็ถูก เหมารวม ว่าเป็น พวกขวา ไปด้วยโดยปริยาย
แก่นมนุษย์...แก่นนักวิชาการ...แก่นปัญหา
ในบทความของทั้งคู่มีข้อเหมือนกันคือการอ้างถึงหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ ผู้เป็นต้นคิดของราชประชาสมาศัย ที่เป็น อเนกนิกรสโมสรสมมุติ ที่เหลือคือข้อสรุปลงมีข้อใหญ่ใจความรับรองแนวทางราชประชาสมาศัยตรงที่เป็นความสัมพันธ์อันเกิดจากความรักระหว่างประชาชนกับพระมหากษัตริย์ แต่มิได้อธิบายถึงวิธีดำเนินการแบบรูปธรรมว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร หรือมี เครื่องมือ อะไรในการทำให้เกิดปรากฏเป็นจริง นอกจากการนำเสนอเพียงหลักการเท่านั้น อ.ลิขิตมิได้ระบุชี้ชัดว่า จะทำ อเนกนิกรสโมสรสมมุติ ให้เกิดนั้นจะเริ่มต้นด้วยการขอรัฐบาลพระราชทานด้วยการถวายฎีกาและ/หรือ การร่วมใช้อำนาจระหว่างประชาชนและพระมหากษัตริย์นั้นมี สมมุติ อะไรเป็นกรอบกติกาในการกำหนดเงื่อนไข และควรเริ่มที่ขั้นตอนใด ? นี่คือการผิดวิสัยนักวิชาการประการหนึ่งที่นิยมเขียนถึงเหตุผลหลักการเพื่อนำสู่วิธีการและข้อสรุป
บทความของอ.ลิขิต มาจบลงตรงหลักการประชาธิปไตยอ้างแม็กซ์ เวเบอร์ มีศัพท์ภาษาอังกฤษสามข้อ แต่อ.ลิขิตมิได้อธิบายความหมายของ ราชสังคหวัตถุ4 และจักรวรรดิวัตร 12 ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง และต้นตอที่มาว่าใครเขียนหรือกำหนดขึ้น ท่าทางอ.ลิขิตจะถนัดอธิบายแนวทางตะวันตกมากกว่าและมีความชำนาญในภาษาตะวันตกมากกว่าจึงบอกที่มาได้ บทความอ.ลิขิตจึงกล่าวถึงราชสังคหวัตุและจักรวรรดิวัตรแบบ โปรยยาหอม
แท้จริงแล้วนักวิชาการแท้ๆ จะเคยชินกับการอ้างอิงที่มาของตำรา เพราะนักวิชาการส่วนใหญ่จะเคารพหลักวิชา เป็น วิสัย ที่ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาของความรู้ อ.ลิขิตเลือกบอกที่มารากศัพท์ภาษาอังกฤษของนายแม็กซ์ เวเบอร์ แต่มิได้บอกที่มารากศัพท์ บาลีสันสกฤตของ หรือว่าอ.ลิขิตอาจคิดว่าคนไทยรู้แล้ว จึงละไว้ในฐานที่เข้าใจหรือ อ.ลิขิตอาจเห็นว่าแค่ใช้ศัพท์อ้างก็คงพอ (อ่านเพิ่มเติมบทความของนิสิตปริญญาโทเรื่องกฎหมายมหาชน ในบริบทพุทธศาสนา) นับว่าเป็นความผิดวิสัยนักวิชาการเป็นประการที่สอง
ประเด็นสำคัญที่สุดก็คือบทความชี้นำให้เห็นว่านักวิชาการคิดเห็นอย่างไรต่อสถาบันฯ และประชาชน แต่ไม่เคยทำความเข้าใจว่าสถาบันฯเองต้องการอะไร !! ที่พึงสังวรณ์ก็คือการเสนอทฤษฎีใดๆหากยังมิได้ผ่านการพิสูจน์ทราบและอยู่ระหว่างถูกทักท้วงคัดค้าน ฝ่ายนำเสนอทฤษฎีก็ยังคงนำเสนอต่อโดยไม่ตอบโต้โดยเนื้อหากับฝ่ายท้วงเลยนั้น นอกจากจะมีลักษณะของการยัดเยียดทางความคิดแล้วยังมีลักษณะไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอีกต่างหาก ดังที่ขบวนฯได้เคยอธิบายว่าพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง ๓ รัชกาลคือร.๕ ร.๖ และ ร.๗ ทรงนำแนวทาง ปฏิวัติประชาธิปไตย และได้อธิบายชัดเจนว่า พระราชภารกิจนี้ยังรอเวลาทำให้สำเร็จ การยัดเยียดแนวทางเท่ากับเป็นการไม่เคารพ พระปรีชาญาณ ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสืบสานแนวทางมาทั้งสามรัชกาล
ข้อเท็จจริงก็คือสถาบันฯได้ทรงสะสมแนวทางไว้ก่อนหน้าแล้ว จะพร้อมลงมือทำให้ปรากฎเป็นจริงได้ทุกฝ่ายก็ต่อเมื่อถึงเวลาที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าพร้อม และได้รับรู้ข้อเท็จจริงครบถ้วนแล้วจนเกิด มหาสัจธรรม ขึ้นบนแผ่นดินและกลายเป็นมติมหาชนได้ ส่วนผู้เข้าไม่ถึงธรรมในระดับปัญญาชน อาทิ นักวิชาการเป็นต้น อาจต้องการ ตัวช่วย ด้วยการกระตุก เงื่อนปมแห่งปัญญา ให้แรงหนักกว่าประชาชนตาดำๆทั่วไปด้วยวิชาพุทธศาสตร์ ที่เหนือชั้นกว่ารัฐศาสตร์และนิติศาสตร์รวมกัน
ในปีนี้การนำเสนอ เรื่องราชประชาสมาสัยอ.ปราโมทย์ นาครทรรพ เป็นผู้นำเสนอบนเวทีพันธมิตรฯ หากแต่ยังมิได้ดำเนินการถวายฎีกา หากอ.ปราโมทย์ มีการดำเนินการจริงก็ไม่อาจทราบว่าอ.ลิขิตและสว.คำนูณ จะ ร่วมลงชื่อขอทูลเกล้าถวายฎีกาให้สมประสงค์ตามหลักฐานข้อเขียนบทความด้วยหรือไม่ ขบวนฯในฐานะผู้วิพากษ์แนวทางราชประชาสมาศัยแต่เพียงผู้เดียวในบทความชิ้นก่อนเรื่องความเป็น อนุรักษ์นิยมขวา จึงใคร่ขอเสนอต่อ.ลิขิต มีความเชื่อมั่นอย่างจริงจังและจริงใจ ให้แปรคำพูดบนกระดาษนำสู่การปฏิบัติให้ปรากฏเป็นจริงด้วยการนำทูลเกล้าถวายฎีกาฯ และ/หรือ กระทำการใดๆก็แล้วแต่อย่างเป็นรูปธรรม อ.ลิขิตจะถือไม้ผลัดนำแบบ take action ก่อนหรือหลังอ.ปราโมทย์นั้นไม่สำคัญเท่าอ.ลิขิต จะลงมือกระทำให้บังเกิดขึ้นได้จริง ถ้าเป็นเช่นนั้นขบวนฯจึงจะเชื่อว่านี่คือการนำทางความคิดที่ ครบเครื่อง มีแก่นสารจับต้องลูบคลำสัมผัสได้ เป็นเนื้อแท้ตัวจริง มิใช่เป็นเพียงตัวหนังสือในกระดาษเท่านั้น
Fact, Truth & Reality
เมื่อต้นสัปดาห์ ผู้ปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ ชื่อประพันธ์ คุณมี ทำหน้าที่อธิบายเรื่องขบวนการทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศไทยว่ามีมานานแล้ว และได้ยกตัวอย่างว่าจอมพลป.พิบูลสงครามคือหนึ่งในตัวอย่างของผู้ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ข้อเท็จจริงคือผู้ที่มิได้ประสงค์ดีต่อสถาบันฯนั้นคืออ.ปรีดี พนมยงค์มิใช่จอมพลป.พิบูลสงคราม ทั้งอ.ปรีดี และจอมพลป.ต่างเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ทั้งคู่แต่ต่างเป็นสมาชิกที่แย่งชิงอำนาจกันเองและจัดเป็น คู่ขัดแย้ง คู่สำคัญที่อยู่กันคนละขั้ว เพราะต่างทำรัฐประหารยึดอำนาจกันเอง ความแตกต่างเห็นชัดของทั้งสองท่านคืออ.ปรีดี คือผู้ที่ไม่ต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์และมิได้รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์และเพียรลดทอนบทบาทของสถาบันฯมาโดยตลอด แต่จอมพล.ป.แม้จะเป็นเผด็จการหากแต่ต้องการดำรงไว้ซึ่งสถาบันฯ
ปัญญาชนคนไทยรุ่นก่อนมีจำนวนไม่มากนักในช่วงก่อตั้งมหาวิทยาลัยในประเทศไทยต่างก็ทราบดีว่าอ.ปรีดีสร้างมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญในการบ่มเพาะแนวทางความเชื่อของคณะราษฎร เป็นเหตุให้จอมพลป.ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งหันไปใช้จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่สร้างขึ้นโดยพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ของรัชกาลที่ ๖ มาเป็นเครื่องมือต่อสู้กันทางความคิด ความผิดพลาดของจอมพลป.นั้นมิได้ทำลายสถาบันฯแต่ทำลายวัฒนธรรมอันเป็นรากเหง้าของคนไทยด้วยการปฏิวัติวัฒนธรรมแบบตามก้นตะวันตกด้วยความไม่รู้ เรื่องการต่อสู้ของสถาบันฯกับผู้ที่หวังจะเปลี่ยนระบอบนั้นมีมาแต่สมัยพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ แต่ไม่มีผู้ใดเป็นอันตรายต่อสถาบันฯเท่ากับคณะราษฎรอีกแล้วในประวัติศาสตร์ไทย และ คนที่ไม่ต้องการสถาบันฯเลยแต่ต้นจนจบคืออ.ปรีดี ต่างหาก (อ่านในไฟล์แนบเรื่องอ.ปรีดี คืออุปสรรคการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทย)
การดำเนินการบางอย่างของชนชั้นปกครองล้วนแล้วแต่มีจุดหักเหของการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน แต่นี่คือข้อเท็จจริง (Fact) ที่ประชาชนชาวไทยต้องยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นศิษย์เก่าธรรมศาสตร์หรือศิษย์เก่าจุฬาฯ ก็จำเป็นต้องรับรู้ข้อเท็จจริง หรือแม้แต่ประชาชนธรรมดาสามัญที่มิได้เป็นศิษย์ทั้งสองสถาบันก็มีสิทธิรับรู้ข้อเท็จจริงที่ถูกกลบฝังมาช้านาน และขบวนฯมีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏเมื่อถึงเวลาที่สถานการณ์คลี่คลายขยายผลพอจะรับฟังกันได้ด้วยเหตุและผล
อย่างไรก็ดีการบ่มเพาะอุดมการณ์ตามความเชื่อของอ.ปรีดี และจอมพลป.สำเร็จหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ต้องประเมินกันให้ชัดอีกทีเหตุเพราะตัวแปรต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมีมากมาย นิสิตนักศึกษาในสมัยปัจจุบันเกือบจะไม่เข้าใจความหมายของการบ่มเพาะการศึกษาในสถานการศึกษาของตนเองเลย ซึ่งแตกต่างจากสถานการณ์ในช่วงต้นๆของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยในยุคต้นๆ
สัจธรรมในกรณีพระปกเกล้าฯ สู้กับคณะราษฎร
ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองที่ไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคลและหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใดใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่สละอำนาจอันเปนของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยฉะเพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
พระราชบันทึกพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗
วันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ พ.ศ. ๒๔๗๗
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที
การพูดผิดของประพันธ์ คุณมี นับว่าเป็นคุณูปการทำให้ขบวนฯได้มีโอกาสย้อนรอยต้นตอทางความคิดของอ.ปรีดีกลับไปยังการก่อตัวของคณะราษฎรก่อนการยึดอำนาจสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งนับเป็นข้อเท็จจริง (Fact) ที่ถูกต้องที่สุดและไม่ได้รับการบอกเล่าอย่างเป็นระบบ
กรณีพระปกเกล้าฯสู้กับคณะราษฎร เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกลบฝังมาช้านาน ฝ่ายถูกคือพระปกเกล้าฯเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ฝ่ายชนะคือคณะราษฎรเป็นฝ่ายผิด อันนี้คือข้อเท็จจริง (Fact) คือสิ่งที่ดำรงอยู่จริง เกิดขึ้นจริง เมื่อระบอบเผด็จการรัฐสภาได้รับการสถาปนาและได้รับการบิดเบือนว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยมานับแต่นั้น
อย่างไรก็ดี ยังมีความจริงที่สูงกว่านั้น คือสัจธรรม ( Truth) ที่อยู่เหนือกว่านั้น สัจธรรมก็คือการที่ อำนาจอธิปไตยมาจากปวงชน มิใช่ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ตั้งแต่ต้น เป็นเหตุให้อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรออกมาอธิบายความผิดพลาดทางประวัติศาสตร์ที่ถูกกลบฝัง มาช้านานเพื่อคัดค้านแนวทางคณะราษฎรมาตลอดชีวิตของท่าน โดยยึดคำอธิบายเรื่องที่มาของ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ที่ถูกคณะราษฎรบิดเบือนจนสำเร็จ ปรากฏเป็นที่ยอมรับมาจวบจนพ.ศ.นี้ (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบอ.ปรีดี พนมยงค์อุปสรรคความสำเร็จของการปฏิวัติประชาธิปไตย)
สัจธรรม (Truth) ดังกล่าวสะท้อนอยู่ในข้อเท็จจริง (Fact) ที่ว่าพระปกเกล้าฯมิได้ยินยอมให้คณะราษฎรปกครองประเทศนี้ภายใต้ระบอบเผด็จการ เหตุเพราะอำนาจมิได้เป็นของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ทรงใช้คำว่า ประชาราษฎร อ.ประเสริฐ ได้เรียกร้องมาตลอดชั่วอายุขัยให้ดำเนินการถวายคืนพระราชอำนาจที่ ขโมย มาจากสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้คืนเจ้าของเดิมเสีย จึงจะถูกต้องตามหลักธรรมและกฎเกณฑ์แห่งกรรม
และนี่คือสัจธรรม( Truth ) ที่เหนือกว่าข้อเท็จจริง (Fact) ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า Fact ที่เกิดขึ้นต่างกรรม ต่างวาระกันนั้นอาจไม่สอดคล้องกับ Truth เลยก็ได้ และในกรณีที่ Fact กับ Truth ขัดแย้งกัน ผู้ถือธรรมเป็นใหญ่ ย่อมไม่ประนีประนอมกับข้อเท็จจริงแบบนั้น จึงต้องใช้เหตุผลของ สัจธรรมที่สูงกว่ามาอธิบาย จึงจะชนะกันด้วยเหตุและผลได้ เนื่องจาก fact อาจจะตรงกับ truth หรือไม่ตรงกับ truth ก็ได้ หมายความว่ายังไม่ได้รับการพิสูจน์ truth ก็อาจผิดได้ ดังปรากฎเห็นชัดในกรณีพระปกเกล้าฯสู้กับคณะราษฎรซึ่งไม่เคยได้รับการบอกเล่าสู่สาธารณะอย่างเป็นระบบมาก่อนเลยในประวัติศาสตร์ !!
สู่ความจริงแท้ของสถานการณ์ด้วยหลักธรรม
ยังมีความจริงอีกระดับหนึ่งซึ่งเป็นความจริงสูงสุดที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ที่เรียกว่า ความจริงแท้ (Reality) นั้นยิ่งสูงไปกว่านั้น ความจริงเดิมแท้ (Reality) ที่เกิดมาก่อนสิ่งอื่น เป็นสภาววิสัยอยู่เหนือสมองมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป เพราะคือความจริงอันเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่อาจฝืนได้ เช่น การเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ของสรรพสิ่งซึ่งเป็นสภาพเดิมแท้ที่มีมาก่อนและอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ เป็นกฎไตรลักษณ์ตามอนิจจลักษณะของสรรพสิ่ง ที่จำต้องเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา อาทิ การเกิดขึ้นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชในยุคเจ้าครองนครที่จำต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขการเปลี่ยนแปลงของโลกสู่การสร้างระบอบใหม่คือประชาธิปไตยที่พระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ ทรงศึกษาเพื่อนำมาเปลี่ยนแปลงประเทศ และได้รับการสืบสานต่อเนื่องมายังพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ และพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๗ ตามลำดับ เป็นการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงเพราะทรงเข้าถึงกฎเกณฑ์ก่อนใคร กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือผู้ค้นพบ Reality นี้ก็คือสถาบันพระมหากษัตริย์ มากว่าร้อยปี
ในช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ ฝ่ายถูกได้พ่ายแพ้ต่อฝ่ายผิด กล่าวคือ พระปกเกล้าฯ รัชกาลที่ ๗ พระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีผู้สะท้อนความถูกต้องของ ความจริงแท้มาอยู่ในห้วงความคิดของพระองค์ได้ด้วยการริเริ่มการเปลี่ยนแปลงด้วย การปฏิวัติประชาธิปไตย ได้ทรงร่างรัฐธรรมนูญและเตรียมโอนพระราชอำนาจสู่สภาปวงชนไว้แล้ว หากความไม่ชำนาญทางยุทธศาสตร์ ยุทธวิธี จึงแพ้ต่อคณะราษฎรที่ชิงเปลี่ยนแปลงการปกครองเสียก่อน และนี่คือสัจธรรม( This is the Truth) ที่ต้องลบล้างข้อเท็จจริง (Fact) ผิดๆที่เกิดจากการบิดเบือนข้อมูลของคณะราษฎรเองมาตั้งแต่ต้น
เมื่อเข้าใจตรงกันตามนี้ก็จะเห็นว่าปัญหาของประเทศไทยในขณะนี้ก็คือ นอกจากคนไทยจะเข้าไม่ถึงสัจธรรม (Truth) อันเป็นเหตุและผลต่อเนื่องมาจากข้อเท็จจริง (Fact) แล้ว เพราะถูกครอบงำด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง หากจะแก้ปัญหาให้ถูกทางจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นกันที่ความจริงระดับต้นก่อน ด้วยการให้คนไทยได้รับ fact ที่ถูกต้องก่อน จึงจะนำไปสู่การยอมรับ Truth ได้
ส่วนขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ มีหน้าที่มากไปกว่านั้นคือ การอธิบายให้ fact truth และ reality ตรงกัน ให้ครบทั้งกระบวนการทางความคิดให้ได้ เพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนแปลงขั้นสูง คือการเปลี่ยนแปลงจากภายใน ซึ่งมองเห็นและจับต้องได้ยาก การปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยจึงจะเป็นการปฏิวัติที่สูงส่งสมความเป็นชาติแห่งวัฒนธรรมจิตวิญญาณได้จริง
การใช้จิตเบารับของหนัก
หากจะรับของหนักได้ จะต้องรับด้วยจิตที่เบา อุปมาดั่งการประคองตนเองในลำเรือ หากทำให้น้ำหนักเบา เรือก็จะทานน้ำหนักได้โดยไม่พากันล่มลงไปเสียก่อน
ปฏิกิริยาของมวลชนพันธมิตรหลายคน โกรธเคืองคำอธิบายทางการเมืองจากข้อเท็จจริงขึ้นสู่การอธิบายสู่ที่มาของความคิดของลัทธินั้นๆ
ความเชื่อในขั้นอุดมการณ์ เป็นความเชื่อขั้นสูงของมนุษย์ ที่มีองค์ประกอบหลายด้าน มีความสัมพันธ์ภายในของความคิดอย่างเป็นระบบ เป็นธรรมชาติอย่างยิ่งของนักแสวงหาสัจธรรม หรือนักแสวงหาความหมายในชีวิตจะหันเข้าไปศึกษาลัทธิใดลัทธิหนึ่ง เช่นการศึกษาลัทธิต่างๆของคนหนุ่มคนสาวในช่วงเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ผู้เผยแพร่ลัทธิก็ดูจะเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี จึงเลือกที่จะเข้าไปเผยแผ่ในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษา ลัทธิความเชื่อต่างๆจึงได้รับการเผยแผ่ผ่านสถาบันการศึกษาไม่เว้นแม้การเผยแผ่ศาสนา ตัวอย่างของสถาบันการศึกษาที่มีการศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์กันอย่างเปิดเผยคือมหาวิทยาลัยรามคำแหง หากการถ่ายทอดลัทธิจะถึงขั้นอุดมการณ์หรือไม่นั้นยังเป็นปมปัญหาอยู่ การศึกษาลัทธิความเชื่อและเข้าไม่ถึงอุดมการณ์นั้น น่าจะเป็นการศึกษาที่น่ากลัวที่สุด ในปัจจุบันพรรคการเมืองที่ถือนโยบายคอมมิวนิสต์คือพรรคสานแสงทองที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยรุ่งโรจน์ นิรันดร์กุล อดีตพคท.ที่ถูกยิงเสียชีวิตไปแล้ว
การบ่มเพาะธรรมศาสตร์ให้เป็นมหาวิทยาลัยของประชาชนในแนวทางอ.ปรีดีในสมัยก่อนกับสมัยนี้ย่อมต่างกัน ปัจจุบันนี้คนเข้าศึกษาก็มิได้ล่วงรู้ว่าสถาบันนี้มีจุดกำเนิดจากจุดยืนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยการไม่รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์มาแต่ต้น ถ้าหากรู้ก็อาจมีผลต่อคนเข้าเรียนทางหนึ่งทางใด ในการเลือกเส้นทางการศึกษา ง่ายที่สุดสำหรับการบ่มเพาะก็คือการค่อยๆให้ข้อมูลสะสม หล่อหลอมกันไป กรณีนักศึกษาสมัยตุลา 16-19 นั้น นักศึกษาถูกเหมารวมว่าเป็นคอมมิวนิสต์ แท้จริงนักศึกษากำลังเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่เรียกร้องผิด แทนที่จะเรียกร้องให้เปลี่ยนระบอบจากเผด็จการกดขี่มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแต่กลับไปเรียกร้องแก้ไขรัฐธรรมนูญแทน เพราะอ.ปรีดีสร้างธรรมศาสตร์บ่มเพาะให้คนเข้าใจไว้แค่นั้น ว่าประเทศนี้จะต้องแก้ปัญหาด้วยรัฐธรรมนูญเสมอไป นักศึกษาเมื่อเข้าป่า ก็หันไปศึกษาวิชาสหายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ท่ามกลางสงคราม ฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทยด้วยกัน และหลายคนได้หันไปศึกษาวิชาปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิสต์แทน
อย่างไรก็ดีการศึกษาของอดีตนักศึกษาในป่าในฐานะอดีตพคท.นั้น ก็มิได้หมายความว่าทุกคนเข้าถึงอุดมการณ์ของลัทธิคอมมิวนิสต์ การศึกษาใดๆหากมิได้ทำการศึกษาจนถึงรากเหง้าของที่มาแห่งลัทธิและต้นตอความคิดแล้ว การนำมาประยุกต์ใช้ด้วยความรู้ไม่เพียงพอ เป็นเรื่องที่อันตรายมาก
ปัจจุบันบทบาทของสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาทำหน้าที่ถ่ายทอดความคิดแบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ไม่ใช่ธรรมศาสตร์อีกต่อไป หากแต่เป็นรามคำแหง ธรรมศาสตร์กลายเป็นสถานศึกษาปรกติและทิ้งร่องรอยเดิมเรื่อง ธรรมศาสตร์รักประชาชน และร่องรอยความสับสนทางความคิดผ่านอาจารย์บางคนซึ่งมีอดีตอยู่ในป่าและลายคนเป็นคอลัมนิสต์ให้หนังสือพิมพ์เผยแพร่ทัศนะการเมืองมาอย่างต่อเนื่อง นักวิชาการที่ปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์หากมีสังกัดมาจากสถาบันการศึกษาก็จะจัดอยู่ในข่าย เสาค้ำรัฐธรรมนูญ เสียส่วนใหญ่ (ซึ่งในหลายสถานการณ์กลายเป็นขบวนการแนวร่วมคอมฯ เป็นแนวค้านปฏิวัติและแนวปฏิวัติซ้อน หรือฝ่าย counter ปฏิวัติ) ส่วนที่มีทัศนะเป็นซ้ายแล้วจะไม่แสดงทัศนะอย่างเปิดเผย มักใช้วิธีการเขียนแอบแฝง ซ่อนเร้นอำพราง ยกเว้นกลุ่มมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ซึ่ง ณ วันนี้มีลักษณะเคารพหลักวิชามากกว่า นักวิชาการแนวร่วม สว.แนวร่วม ซ่อนเร้นทั้งหลาย รามคำแหง กลายเป็นสถานศึกษาให้นักศึกษาได้ผ่านสังเวียนจริงของการเมืองทางความคิด นักการเมือง นักเคลื่อนไหวหลายคนที่กรุยทางตนเองมาเส้นทางสายนี้เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ ปรากฏชัดขึ้นทุกทีๆ
การพูดถึงการเมืองใหม่ คือไม่เอาการเมืองเก่า แต่ข้อเท็จจริงคือสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันมิใช่ปัญหาเรื่องเก่าหรือใหม่ หากแต่เป็นเรื่องระหว่างของสองสิ่ง คือ ถูก กับผิด ในอีกความหมายหนึ่งคือหากละจากผิดมาเป็นถูกได้คือของใหม่ นั่นคือทำการเมืองผิดให้เป็นการเมืองถูกได้ ก็จะได้การเมืองใหม่ อย่างแท้จริง หากยังวนเวียนแก้ปัญหาด้วยวิธีการแบบเดิมๆก็จะพบแต่ปัญหาเก่าและนำสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ไม่สำเร็จ
ผิดกับถูก อยู่ใกล้กันเหมือนเหรียญสองด้าน ก่อนอื่นจะต้องทำความเห็นให้ถูกตรงเสียก่อนจาก ข้อเท็จจริงทั้งหมด การพูดความจริงให้ครบ จึงเป็นภารกิจรักษาประเทศชาติอีกวิธีการหนึ่ง ก่อนจะนำไปสู่ความเชื่อในขั้นอุดมการณ์ได้
สัมมาทิฎฐิเกิดจากการเข้าใจความจริงทุกระดับ
..รัฐบาลทุกสมัยไม่บอกความจริงของสถานการณ์บ้านเมืองแก่ประชาชน ยิ่งรัฐบาลนี้ซึ่งเป็นรัฐบาลในระบอบเผด็จการเช่นเดียวกับรัฐบาลก่อนๆ กลับใช้ข่ายโฆษณาป่าวร้องอึกทึกครึกโครมว่าการปกครองเป็นแบบประชาธิปไตยแล้ว และเศรษฐกิจกำลังก้าวหน้าอย่างมโหฬาร แต่สามัญชนได้ประจักษ์ด้วยตนเองว่าอำนาจไม่ได้เป็นของปวงชน แต่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจอธรรมของชนส่วนน้อย ไม่ว่าการพัฒนาเศรษฐกิจจะก้าวหน้าเพียงใด ก็รวยและดีกันอยู่ในคนไม่กี่แสนคน นอกนั้นยิ่งทำยิ่งจน.........แม้แต่คนในฝ่ายรัฐบาลเอง ซึ่งสนับสนุนยกย่องพรรคของตน แต่ในส่วนลึกของจิตใจก็เป็นห่วงบ้านเมืองว่าจะไปไม่รอด เป็นห่วงอนาคตของลูกหลานว่าจะอยู่กันได้อย่างไร รวมความแล้วต้องเปลี่ยนแปลงเพื่อแก้ไขบ้านเมืองให้พ้นอันตราย ได้กลายเป็นมติมหาชนตรงกันหมดของคนไทยทุกหมู่เหล่า......
แถลงการณ์สภาปฏิวัติแห่งชาติ เรื่องการโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ พ.ศ ๒๕๓๑
สถานการณ์ในขณะนี้ก็คือคำอธิบายของขบวนฯได้ประสบความสำเร็จถึงขั้น fact กับ truth เป็นที่ยอมรับระดับหนึ่งแล้ว ขาดเพียงขั้นตอนการอธิบายเรื่อง Reality ให้เข้าใจในอีกขั้นต่อไป ส่วนพวกเฉโก มีอคติ ไม่ยอมรับความจริง ด้วยวิธีการ ดื้อแพ่ง ไม่เคารพหลักวิชา ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาอาชีพใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเกิดขึ้นในกลุ่มนักวิชาการ ขบวนฯก็มีเพียงหน้าที่อธิบายและชี้แจงให้ครบถ้วนกระบวนความเพื่อแยกถูกออกจากผิดให้ชัดเจน เพราะการชี้นำสังคมด้วยความไม่รู้ของนักวิชาการบางคนนั้นรังแต่จะกลายเป็น ปมปัญหา ทับซ้อนปัญหาจริงหมักหมมซ้ำซ้อนยากต่อการแก้ไขยิ่งขึ้นไปอีก
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสนอแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยนั้น ขบวนฯได้นำเสนอต่อนักวิชาการและนักคิดซึ่งเป็นที่รู้จักในสังคมอย่างเป็นระบบแต่มิได้รับการปฏิบัติเพราะนักวิชาการส่วนใหญ่มักเลือกแนวทาง ปฏิรูป และไม่ยินยอมรับแนวทาง ปฏิวัติ (ในความหมายของการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงสู่สิ่งใหม่จากธัมมะจักกัปปวัตนสูตร ต่างจากคำว่ารัฐประหาร)
ในปี 2539 ได้มีการจัดเสวนาขึ้นระหว่างฝ่ายปฏิวัติคือตัวแทนของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติคือ อ.สมาน ศรีงามและศิษย์อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ในฝั่งกรรมกร อาทิ วันชัย พรหมพา สุนทร มุสิกะ และนิคม เกสร
ส่วนฝ่ายปฏิรูปนำโดยหมอประเวศ วะสี อ.บวรศักดิ์ อุวรรโณ สมเกียรติพงศ์ไพบูลย์ และสุวิทย์ วัดหนู(เสียชีวิตแล้ว ) มีการอภิปรายร่วมกันโดยมีสื่อมวลชนทำรายงานพิเศษลงในคอลัมน์โลกสีฟ้า ของคุณจำลอง บุญสอง ในหนังสือพิมพ์สยามโพส ผลที่ออกมาคือ ฝ่ายปฏิรูปซึ่งแพ้ด้วยเหตุผลก็มิได้ยอมรับแนวทางปฏิวัติ (อ่านเพิ่มเติมในไฟล์แนบ ManagerRadio_ปฏิรูปสู่วิบัติปฏิวัติสู่ความรุ่งเรือง_ย้อนรอยประเวศวะสี_เหลาเหย่เจอมังกร) กล่าวโดยสรูปว่าความพยายามผลักดันหมอประเวศในฐานะผู้นำทางสังคมและอ.บวรศักดิ์ ให้เข้าใจแนวทางปฏิวัติประสบความล้มเหลว
จวบจนปีพ.ศ.2551 ทั้งหมอประเวศ และอ.บวรศักดิ์จึงยอมรับแนวทาง การปกครองเฉพาะกาล หรือ
รัฐบาลแห่งชาติ ที่ขบวนฯได้ทำการเสนอไป หากแต่ก็ยังคงเป็นเพียงการยอมรับในขั้นหลักการอันเนื่องมาจาก
ทางตัน ของการแก้ปัญหา เนื่องจากการปกครองเฉพาะกาลนั้นประกอบด้วย นโยบาย และมรรควิธีในการดำเนินการอย่างเป็นระบบ หากผู้ต้องการการเปลี่ยนแปลงมีมติเห็นพ้องต้องกันจะนำไปสู่การปฏิบัติ และการแก้ปัญหาได้จริง ซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
การทำความเข้าใจปัญหาประเทศชาติ คือการทำความเห็นให้เสมอกันได้นั้น จะต้องเริ่มต้นจากการศึกษาความเห็นผิด ของแต่ละฝ่าย จนถึงขั้นเกิดความเข้าใจร่วม แต่ถ้าหากความจริงขั้นพื้นฐานยังไม่ได้รับการเปิดเผยเสียแล้ว การเข้าใจ เข้าถึงปัญหาเพื่อให้ได้ความเห็นร่วมจนก่อให้เกิดสัมมาทิฎฐิได้นั้น ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ การทำความจริงให้ปรากฏจึงเป็นภารกิจสำคัญของขบวนฯ ต่อการสร้างสัมมาทิฎฐิร่วมกัน ซึ่งจะต้องอาศัยภาววะวิสัยที่สอดคล้องอย่างยิ่ง และจิตที่จะรับเรื่องราวหนักแบบขัดแย้งกับพื้นฐานความเชื่อเดิมที่สะสมกันมาตลอดชีวิตนี้ได้ จะต้องเป็นจิตที่ได้รับการพัฒนาแล้วให้ยินดีรับฟังและมองปัญหาแบบเหรียญสองด้านเสมอไป
|