Under The Same Sun
Artist: Scorpions
I saw the morning
It was shattered by a gun
Heard a scream, saw him fall, no one cried
I saw a mother
She was praying for her son
Bring him back, let him live, don't let him die
Do you ever ask yourself
Is there a Heaven in the sky
Why can't we get it right
'cause we all live under the same sun
We all walk under the same moon
Then why, why can't we live as one
I saw the evening
Fading shadows one by one
We watch the lamb, lay down to the sacrifice
I saw the children
The children of the sun
How they wept, how they bled, how they died
Do you ever ask yourself
Is there a Heaven in the sky
Why can't we stop the fight
'cause we all live under the same sun
We all walk under the same moon
Then why, why can't we live as one
Sometimes I think I'm going mad
We're loosing all we had and no one seems to care
But in my heart it doesn't change
We've got to rearrange
And bring our world some love
And does it really matter
If there's a heaven up above
We sure could use some love
'cause we all live under the same sun
We all walk under the same moon
Then why, why can't we live as one
'cause we all live under the same sky
We all look up at the same stars
Then why, tell me why
Can't we live as one
ใต้ดวงตะวันเดียวกัน
ศิลปิน : สคอร์เปี้ยน
ฉันเห็นอรุณรุ่งที่กึกก้องด้วยเสียงปืน
ได้ยินเสียงกรีดร้อง เห็นเขาล้ม ไม่มีใครสักคนที่ร้องไห้
ฉันเห็นผู้เป็นแม่ กำลังสวดมนต์ให้ลูกชาย
โปรดนำเขากลับมา ขอไว้ชีวิตเขาเถิด อย่าให้เขาตาย
คุณเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า
มีสวรรค์บนฟ้าจริงหรือไม่
ทำไม เราทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ได้
เพราะเราต่างก็อยู่ใต้ดวงตะวันเดียวกัน
เราต่างเดินใต้พระจันทร์ดวงเดียวกัน
แล้วทำไม ... เราอยู่รวมกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้
ฉันเห็นยามเย็น
และเงาแดดที่จางหายไปทีละน้อย
เรามองดูพวกแกะ ถูกฆ่าเพื่อสังเวย
ฉันเห็นเด็กๆ ลูกๆ แห่งดวงตะวัน
เห็นเขาสะอื้น เห็นเขาเศร้า เห็นเขาตายอย่างไร
คุณเคยถามตนเองบ้างไหม
มีสวรรค์บนฟ้าหรือไม่
ทำไม เราหยุดการต่อสู้ฆ่าฟันซึ่งกันและกันไม่ได้
เพราะเราต่างก็อยู่ใต้ดวงตะวันเดียวกัน
เราต่างเดินใต้พระจันทร์ดวงเดียวกัน
แล้วทำไม ... ทำไมเราอยู่รวมเป็นหนึ่งเดียวกันไม่ได้
บางครั้งฉันคิดว่าฉันกำลังบ้า
เราสูญเสียทุกอย่างที่เคยมี และดูเหมือนไร้คนสนใจ
แต่ใจฉันมันหาเปลี่ยนไม่
เราต้องเปลี่ยนรูปแบบการจัดการเสียใหม่
และนำความรักมาให้โลกของเรานี้บ้าง
มันสำคัญนักหรือ
ถ้ามีสวรรค์อยู่จริงข้างบน
เราต้องใช้ความรักได้บ้างแน่เลย
เพราะเราต่างก็อยู่ใต้ดวงตะวันเดียวกัน
เราต่างเดินใต้พระจันทร์ดวงเดียวกัน
แล้วทำไม เราอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้
เพราะเราต่างอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
เราต่างก็มองขึ้นไปหากลุ่มดาวเดียวกัน
แล้วทำไม... บอกฉันสิว่า...
ทำไมเราอยู่ร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวไม่ได้...
เพื่อใคร
นับเป็นเรื่องเศร้าระดับโลกยุคอินเตอร์เนตเช่นขณะนี้ ที่ครั้งแล้วครั้งเล่า เหล่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสา จำนวนนับหมื่นนับแสน ของหลายชาติหลายภาษา ต้องถูกเข่นฆ่า ถูกทำร้ายอย่างโหดเหี้ยมทารุณอย่างเหลือเชื่อ
ที่น่าเศร้ายิ่งกว่าก็คือ สาเหตุหนึ่งมาจากความขัดแย้งทางการเมืองและศาสนา ศาสตร์สองประการที่มีเป้าหมายว่า เพื่อสร้างสันติสุขให้แก่สังคมโลก
ที่น่าเวทนาก็คือ คนที่มีชีวิตรอดอยู่ได้ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่กับความทุกข์ยากลำบากแสนสาหัส ต่อไปอีกนานแสนนาน ซึ่งผลที่เกิดขึ้นนี้ ส่วนใหญ่ เป็นไปเพราะการตัดสินใจของผู้นำเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เมื่อไรที่ผู้บริหารประเทศ ผู้นำทหาร นักรบ ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายกบฏ หรือผู้ก่อการร้ายทั้งหลาย จะเพียงพอกับความภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า ศักดิ์ศรี ความถูกต้อง ตามมุมมองข้างเดียวของเขาเสียที
ประวัติศาสตร์ครั้งแล้วครั้งเล่า ได้พิสูจน์แล้วว่า สุดท้ายแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะชนะ ทั้งสองฝ่ายที่เหลือชีวิตรอด ก็ต้องทนอยู่กับความปวดร้าวที่ร่วมกันสร้างขึ้น และก็ต้องทนอยู่ร่วมกันในโลกใบเดียวกันนี้ จนกว่าจะตายจากกันไป
เรามีเพียงดาวเคราะห์หนึ่งเดียวดวงนี้เท่านั้น ที่เราจะต้องมีชีวิตอยู่ร่วมกันจนกว่าวาระสุดท้ายจะมาถึงเมื่อสงครามสงบ ไม่ว่ายุคใดสมัยใด เราก็เห็นว่า ทุกฝ่ายก็ต้องเรียกร้องให้หันหน้าเข้าหากัน เพื่อช่วยกันสร้างสังคมและเศรษฐกิจ ที่ถูกทำลายย่อยยับไปแล้ว ให้ฟื้นขึ้นใหม่อยู่ดี ตัวอย่างเช่น อมริกันกับญี่ปุ่น กับเวียดนามและอิรัก จีนกับทิเบต นานกว่านั้นก็มีเยอรมันและเพื่อนบ้านในยุโรป ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้น ไม่ได้ยิ่งใหญ่ไปกว่าการอดทนอดกลั้น เพื่อร่วมกันแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีแม้แต่น้อย
น่าเสียดายที่ แม้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะก้าวหน้าไปปานใด แต่ดูเหมือนว่า ไม่สามารถทำให้จิตใจของมนุษย์ ก้าวตามไปด้วยได้เลย ยังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ฆ่าฟันกันอย่างโหดร้าย ไร้ความเมตตา ไม่ต่างจากยุคโบราณมากนัก
ที่ยิ่งเลวร้ายกว่าก็คือ จากที่เคยรบกันอย่างมีศักดิ์ศรีและคุณธรรม ละเว้นเด็ก ผู้หญิงและผู้ไร้อาวุธ เช่นที่กระทำกันในสงครามยุคอดีต แต่ปัจจุบันนี้ แม้กระทั่งคนที่ไม่เกี่ยวข้อง คนที่ไม่ใช่ผู้ซึ่งได้ทำความเจ็บปวดรวดร้าวให้แก่ฝ่ายใด ไม่จำกัดเพศและวัย ก็ได้กลายเป็นเป้าหมาย เป็นเหยื่อระเบิดพลีชีพ หรือการสังหารหมู่ มากมายหลายครั้ง เพียงเพื่อให้ได้ประโยชน์ทางจิตวิทยา หรือผลการต่อสู้ทางการเมืองเท่านั้น
ดูเหมือนว่า ผู้นำในการรบราฆ่าฟันทุกวันนี้ ไม่ว่าฝ่ายใด ไม่มีคำว่า สุภาพบุรุษ หรือ เอาใจเขามาใส่ใจเรา อยู่ในหัวใจ พวกเขาฆ่ามนุษย์เหมือนสัตว์ชั้นต่ำ พวกเขาได้ลืมไปเสียแล้วว่า มนุษย์แต่ละคนนั้นมีชีวิตจิตใจ มีความรักความผูกพัน มีความห่วงใยในสามีภรรยา พ่อ แม่ ญาติพี่น้อง ซึ่งต่างจากสัตว์มากมายนัก
น่าอัศจรรย์ที่ว่า ทำไม คนที่อาสาไปฆ่าผู้อื่น หรือคนที่สั่งการ ไม่เคยย้อนคิดเลยว่า ถ้าหาก เพื่อน พี่ น้อง หรือพ่อแม่ของเขา ถูกฆ่าหรือกระทำเช่นที่เขาทำกับผู้อื่นนั้น เขาจะรู้สึกอย่างไร หรือถ้าเขาเคยถูกกระทำมาแล้ว เมื่อไร การแก้แค้น ความสะใจของเขาจะเพียงพอเสียที การฆ่าคนๆ หนึ่ง มันไม่ได้ทำความเจ็บปวดให้แก่คนที่ตายไปเท่านั้น แต่คนที่เหลืออยู่ บางที ได้รับความเจ็บปวดยิ่งกว่า
เมื่อเขาหลับตาลง เขาไม่เคยเลยหรือ ที่จะนึกถึงภาพผู้คนที่อ่อนหวาน หนุ่มหล่อ สาวสวย ผู้ใหญ่ที่น่ารัก หรือยิ้มแย้มที่เปรี่ยมด้วยเมตตาและอ่อนโยนของผู้สูงอายุ ที่ได้กลายเป็นร่างแหลกเหลว ดิ้นทรุนทรายในกองเลือด พร้อมเสียงร้องครวญคราง รวมทั้งหยาดน้ำตาและเสียงร่ำไห้ ของผู้ที่สูญเสียคนที่เขารัก ด้วยฝีมือของเขาเอง
ดูเหมือนว่า ความเจริญทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทุกวันนี้ ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทางสันติให้แก่โลกแม้แต่น้อย นับวันยิ่งแก้ ดูเหมือนจะยิ่งรุนแรงยิ่งขึ้น
เหตุการณ์ทุกวันนี้ ทำให้ผู้เขียน รำลึกถึงข้อเขียนของนักวิทยาศาสตร์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่ง คือ อัลเบิร์ต ไอสไตน์ ในหนังสือ Monthly Review เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1949 (๒๔๙๒) ในหัวข้อ Why Socialism? ซึ่งได้เขียนไว้ ดังนี้
...วิทยาศาสตร์ไม่สามารถสร้างจุดมุ่งหมายให้แก่มนุษย์ได้ และวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถอัดฉีดอุดมการณ์หรือเจตคติเข้าไปในจิตใจมนุษย์ได้ วิทยาศาสตร์เป็นเพียงปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยให้มนุษย์บรรลุจุดหมายปลายทางที่ต้องการเท่านั้น
แต่จุดหมายเพื่อสังคมที่มีจรรยาบรรณอันสมบูรณ์(social-ethical end)นั้น จะได้มาก็ด้วยบุคลิกภาพของมนุษย์ อันเต็มไปด้วยศีลธรรมจรรยาบรรณอันสูงส่งเท่านั้น......
..... ในเรื่องที่เกี่ยวกับปัญหาของมนุษย์ชาติ เราต้องไม่ประเมินคุณค่าของวิทยาศาสตร์และกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์สูงมากเกินไป เราต้องไม่ถือว่าผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น ที่มีสิทธิแสดงความคิดเห็น ในเรื่องปัญหาที่เกี่ยวกับการจัดระบบสังคมของมนุษย์ .....
(ในตอนท้าย ท่านสื่อความหมายว่า คนธรรมดาสามัญก็มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องการจัดระเบียบสังคมที่เขาอยู่ได้ )
คำตอบในการแก้ปัญหาความขัดแย้งและการฆ่าฟันกันอย่างโหดร้ายทุกวันนี้ ถ้าวิเคราะห์ข้อความข้างบนนี้ให้ดี ดูเหมือนว่า จะมีบางส่วนซ่อนอยู่ในข้อเขียนของนักวิทยาศาสตร์ท่านนี้ ดังเช่น การอัดฉีดศีลธรรมจรรยาบรรณอันสูงส่งเข้าไปอยู่ในจิตใจของมนุษย์
เมื่อมนุษย์มีศีลธรรมและจรรยาบรรณที่สูงส่ง การรบร่าฆ่าฟันกันน่าจะจบลง เปลี่ยนเป็นถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยกันสร้างสังคมที่ดี สร้างโลกนี้ให้น่าอยู่ แต่ไม่มีเครื่องมือวิทยาศาสตร์ใดๆ ที่จะอัดฉีดศีลธรรมจรรยาบรรณเข้าไปในจิตใจมนุษย์ได้ ดังที่ไอสไตน์ได้กล่าวไว้
ผู้เขียนมีความเห็นว่า เมื่อวิทยาศาสตร์ทำไม่ได้ เรายังมีอีกวิธีหนึ่ง ที่อาจจะไม่ถือกันว่าเป็นวิทยาศาสตร์ แต่ได้เคยสร้างสันติสุขให้ชุมชนจำนวนมากทั่วโลกมานานแล้ว แต่พวกเราได้ทอดทิ้ง ไม่ให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เสียแล้ว นั่นคือ วิธีการสั่งสอนศีลธรรมและจริยธรรมทางศาสนา
นี่อาจเป็นความเห็นที่ถูกหยามด่าว่าไดโนเสาร์ ถอยหลังเข้าคลอง เป็นอันตรายยิ่ง เพราะสาเหตุการฆ่ากันตายจำนวนมากทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีจำนวนมาก ที่อ้างว่าทำเพื่อศาสนา
ผู้เขียนไม่ขอโต้แย้งในเรื่องนี้ แต่... ลองทำใจให้เป็นกลางสักนิด พิจารณาให้รอบคอบว่า ในภาวะคับขัน หรือในเวลาแห่งการเกิดและการตายของมนุษย์ มีใครบ้างที่ไม่นึกถึงคำสั่งสอน หรือความเชื่อทางศาสนาของตน เราเห็นคนส่วนใหญ่ทำ ทั้งเพื่อขับไล่ความหวาดกลัว ปลอบใจให้คลายเศร้า เพื่อปลุกเร้าจิตใจให้คึกคัก ให้ฮึดสู้อย่างไม่เสียดายชีวิต
หากใครได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมือง การทหาร และพยายามมองหาเรื่องที่ศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จะพบว่า อิทธิพลความเชื่อทางศาสนามีพลังมากมายสุดหยั่งถึงได้ ตัวอย่างที่น่าพิศวงมีอยู่ในรูปภาพต่อไปนี้ ลองตอบคำถามต่างๆ ด้วยตัวท่านเอง
|