(ต่อจากตอนที่แล้ว)
บทที่ ๒
ทำไมต้องเป็นพระพุทธศาสนา
(Why Buddhism)
|
พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เมื่อมองไม่เห็นที่พึ่งพิงทางจิตวิญญาณหรือช่องทางใดที่จะพัฒนาตนเองได้ในศาสนาฮินดู สำหรับชนชั้นผู้ถูกกดขี่เหยียดหยาม ดร.อัมเบดการ์ได้เริ่มคิดหาศาสนาทางเลือกใหม่ ซึ่งท่านและบริวารควรจะเลือกรับนับถือได้ หลังจากศึกษาวิเคราะห์อย่างระมัดระวังมาเป็นเวลานาน ดร.อัมเบดการ์ก็ปฏิเสธศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาเซนและศาสนาซิกข์ แต่ได้แนะนำให้บริวารของตนยึดพุทธธรรมเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก การตัดสินใจเช่นนี้ ดร.อัมเบดการ์ผู้กู้อิสรภาพของประชาชนผู้ถูกกดขี่เหยียดหยามได้รับอิทธิพลและความประทับใจจากพระบุคลิกลักษณะและพระจริยาวัตรของพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน(เพราะว่า) พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นมิใช่เป็นเพียงผู้ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นเนื้อแท้แห่งความรัก ความเมตตาการุณย์ต่อสรรพสัตว์อีกด้วย
มารดาพึงถนอมรักษาลูกน้อยคนเดียวของตนด้วยการเสี่ยงชีวิตของนางฉันใด น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้าก็ทรงแผ่ความรัก ความเมตตาการุณย์ และความรักความปรารถนาดีมากมายอย่างหาขอบเขตมิได้ มุ่งตรงไปยังหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น พระเมตตาจิตของพระพุทธองค์อันไร้ขอบเขตนี้ แพร่หลายขยายไปทั่วโลก ทั้งทิศเบื้องบนเบื้องล่าง และเบื้องขวาง โดยปราศจากเครื่องกีดขวางและศัตรูคู่อาฆาตใดๆ
ในทัศนะของ ดร.อัมเบดการ์ คุณธรรมข้อนี้นี่เองที่ทำให้พระพุทธองค์เป็นพระพุทธเจ้าผู้ยิ่งใหญ่
บรรดาพระศาสดาของศาสนาต่างๆ ในโลกนี้ ๑๕ มีพระศาสดาเพียง ๔ องค์เท่านั้นที่ศาสนาของท่านมีอิทธิพลต่อจิตใจพลเมืองของโลกในอดีตและยังคงครองใจพลเมืองจำนวนมหาศาลอยู่ในโลกปัจจุบัน พระศาสดาดังกล่าวได้แก่ พระพุทธเจ้า พระเยซู พระมะหะหมัด และพระกฤษณะ การเปรียบเทียบพระบุคลิกและสถานภาพของพระศาสดาทั้ง ๔ องค์ในการเผยแผ่ศาสนาของตนเปิดเผยให้เราทราบถึงจุดต่างระหว่างพระพุทธเจ้าและพระศาสดาที่เหลือ ซึ่งก็มิใช่เรื่องไร้สาระเลย
จุดแรกที่ทำให้พระลักษณะของพระพุทธเจ้าต่างจากพระศาสดาองค์อื่นก็คือ การถอนซึ่งอัตตา ความถือตัวถือตน ตลอดพระคัมภีร์ไบเบิล พระเยซูยืนยันเสมอว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าและผู้ที่ประสงค์จะเข้าสู่อาณาจักรแห่งพระเจ้าก็จะล้มเหลวไม่สมหวังเลยหากไม่ยอมรับว่า พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า ส่วนพระมะหะหมัดยังไปไกลกว่านั้นอีกขั้นหนึ่ง คือพระองค์เหมือนกับพระเยซูในการอ้างว่าเป็นผู้นำพระวรสาส์นของพระเจ้ามาสู่โลกนี้ เพียงแต่ยืนยันต่อไปว่าพระองค์เป็นศาสนทูตองค์สุดท้าย บนพื้นฐานนี้พระมะหะหมัดจึงประกาศว่าผู้ปรารถนาความหลุดพ้นไม่เพียงแต่ยอมรับว่าพระองค์เป็นผู้นำพระวรสาส์นของพระเจ้าเท่านั้น แต่ต้องยอมรับด้วยว่าพระองค์เป็นผู้นำพระวรสาส์นองค์สุดท้าย
ส่วนพระกฤษณะกลับไปไกลยิ่งกว่าพระเยซูแลพระมะหะหมัดอีกขั้นหนึ่ง พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยกับการเป็นเพียงพระบุตรของพระเจ้าหรือเป็นเพียงผู้นำวรสาส์นของพระเจ้าองค์สุดท้าย พระองค์อ้างว่าพระองค์เองเป็น พระปรเมศวร(พระเจ้าสูงสุด) เสียเองหรืออย่างที่สาวกของพระองค์เองสวดสรรเสริญว่า พระองค์เป็นเทวาธิเทพคือทรงเป็นเทพผุ้ยิ่งใหญ่กว่าเทพทั้งปวง
แต่สำหรับพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ทรงมีความเย่อหยิ่ง ถือพระองค์ยกตนเองว่าดำรงอยู่ในฐานะเช่นว่านั้น ถึงแม้พระองค์ประสูติเป็นพระโอรสของกษัตริย์ ก็ทรงพอพระหฤทัยกับความเป็นมนุษย์สามัญ ทรงประกาศพรหมจรรย์ในฐานะมนุษย์ธรรมดา ไม่เคยอ้างแหล่งกำเนิดเหนือธรรมดาหรืออานุภาพพิเศษใดๆเพื่อพิสูจน์พลังอำนาจเหนือธรรมดาของพระองค์ พระพุทธองค์ทรงแสดงความแตกต่างระหว่างมารคทาตา (ผู้บอกทาง) และโมกษทาตา(ผู้ประทานความหลุดพ้น) อย่างชัดเจน พระองค์ทรงพอพระหฤทัยต่อบทบาทในการเป็นมารคทาตา (ผู้บอกทาง) ของพระองค์เองเท่านั้น
ข้อแตกต่างอีกประการหนึ่งระหว่างพระศาสดาทั้ง ๔ องค์ก็คือพระเยซูและพระมะหะหมัดมักอ้างว่า คำสอนของพระองค์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เพราะสิ่งที่พระศาสดาทั้งสององค์สั่งสอนนั้นเป็นพระวจนะของพระเจ้านี่เอง จึงมีลักษณะผิดพลาดไม่ได้และอยู่เหนือการซักถามตรวจสอบ ส่วนพระกฤษณะนั้น โดยสมมุติฐานเดิมของพระองค์ที่ว่า เป็นเทวาธิเทพ (เทพยิ่งใหญ่กว่าเทพอื่น) ดังนั้น สิ่งที่พระองค์สั่งสอนทั้งหมดจึงเป็นพระวจนะเปล่งออกมาโดยพระเจ้า ผู้เป็นจุดเกิดเบื้องต้นและจุดสุดท้าย ตรงนี้ปัญหาเรื่องความผิดพลาดบกพร่องของพระวรสาส์นจึงเกิดขึ้นไม่ได้เลย แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยอ้างความไม่ผิดพลาดบกพร่องของพระธรรมที่พระองค์ทรงสั่งสอนเลย
ในพระมหาปรินิพพานสูตร พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า พระธรรมวินัยของพระองค์นั้นตั้งอยู่บนฐานของเหตุผลและประสบการณ์ตรง พระพุทธสาวกจึงไม่ควรด่วนสรุปว่า คำสั่งสอนของพระองค์ถูกต้องทั้งหมดและผูกมัดอยู่เพียงเพราะเป็นคำสั่งสอนเกิดจากพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์ ก็เมื่อพระธรรมวินัยตั้งอยู่บนหลักเหตุผลและประสบการณ์ตรงอย่างนี้แล้ว คำสั่งสอนจึงให้อิสระเต็มที่ในการแก้ไขปรับปรุงหรือแม้แต่ยกเลิกคำสอน(สิกขาบทเล็กน้อย) บางข้อ หากในบางกาลเวลาและในบางสถานการณ์พวกเราพบว่าพระวินัยบางข้อไม่อาจนำไปปฏิบัติได้ ระพุทธเจ้าไม่ทรงปรารถนาให้พระศาสนาของพระองค์มีลักษณะกีดขวางด้วยไม้ตายซากในอดีต พระองค์ทรงประสงค์ให้คงความเขียวขจีและคงยังใช้ประโยชน์ได้ทุกยุคทุกสมัย
นี่คือเหตุผลที่พระพุทธองค์ทรงประทานเสรีภาพแก่ชาวพุทธคือภิกษุสงฆ์ให้ถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ในกรณีจำเป็นจริงๆ ซึ่งไม่มีพระศาสดาองค์ใดจะกล้าหาญชาญชัยอย่างนี้เลย พระศาสดาทั้งหลายต่างก็เกรงกลัวการอนุมัติให้แก้ไขเปลี่ยนแปลงทั้งสิ้น เพราะพวกท่านเหล่านั้นวิตกไปว่า เสรีภาพในการแก้ไขปรับปรุงคำสอนอาจถูกใช้ไปเพื่อทำลายโครงสร้างเดิมที่ตนเองก่อร่างสร้างไว้จนหมด แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหาได้มีความกริ่งเกรงอย่างนี้ไม่ เพราะพระองค์ทรงมั่นพระทัยในรากฐานแห่งพระศาสนาของพระองค์ พระองค์ทรงทราบชัดจนว่า แม้คนร้ายศัตรูศาสนาที่เหี้ยมโหดที่สุดก็ไม่ทีทางที่จะทำลายล้างแก่นแท้พระศาสนาของพระองค์ลงได้
พระพุทธศาสนา: ศาสนาสมบูรณ์แบบ
ดร.อัมเบดการ์พิจารณาศาสนาว่าเป็นสารธรรมเพื่อการพัฒนามวลมนุษย์อย่างเหมาะสม ท่านไม่เห็นด้วยกับนักคิดบางคนที่กล่าวว่า ศาสนาเป็นกาฝากของสังคม (Religion is a Parasite) หรือที่ว่า ศาสนาเป็นยาเสพติด (It is an opiate) ในทัศนะของดร.อัมเบดการ์ มนุษย์ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเพียงอาหารเลี้ยงร่างกายเท่านั้น มนุษย์(มีทั้งกายและ) ยังมีใจด้วย จึงต้องการอาหารทางความคิด ศาสนาปลูกเพาะความหวังให้เกิดแก่มนุษย์และเร้าให้พวกเขาลงมือกระทำกิจกรรม แต่ศาสนาไหนเล่า! ที่มนุษย์ยุคใหม่ทั้งหลายควรจะเลือกรับนับถือกัน
หลังจากศึกษาเทียบเคียงพระพุทธศาสนากับศาสนาอื่นๆ ดูแล้ว ดร.อัมเบดการ์ก็ออกมายืนยันว่า ถ้าโลกสมัยใหม่จำเป็นต้องมีศาสนากันแล้วละก็ ศาสนานั้นจะต้องเป็นศาสนาของพุทธเจ้าเท่านั้น
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะนำศาสนาอื่นๆ ทีละศาสนามาเปรียบเทียบกับพระพุทธศาสนาโดยละเอียด แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอาจทำได้ในที่นี้ก็คือ การประมวลมากล่าวโดยย่อๆดังนี้
๑.สังคมจะต้องออกกฎหมายหรือไม่ก็ต้องใช้หลักศีลธรรม เป็นเครื่องประสานคนในสังคมเข้า(เป็นกลุ่ม) ด้วยกัน ขาดอย่างใดอย่างหนึ่งสังคมก็คงดำเนินไปสู่ความแตกออกเป็นเสี่ยงๆแน่นอน
ในสังคมทั้งหลายนั้น กฎหมายแสดงบทบาทได้น้อยนัก มุ่งหมายบังคับได้เพียงคนส่วนน้อยให้อยู่ในกรอบระเบียบทางสังคม แต่เหลือส่วนใหญ่ไว้ให้อยู่นอกขอบเขตแห่งกฎเกณฑ์นั้นและจำต้องปล่อยให้ดำเนินชีวิตทางสังคมโดยอาศัยข้ออ้างและหลักการศีลธรรม เพราะฉะนั้น ศาสนาในความหมายของศีลธรรมนี้ ยังคงเป็นหลักการปกครองคนส่วนใหญ่ในทุกสังคม
๒.ศาสนาตามคำจำกัดความในข้อแรกนั้น จะต้องสอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ด้วย ศาสนารังแต่บ่ายหน้าไปสู่ความเสื่อมจากความเคารพนับถือกลายเป็นเรื่องตลกขบขันในที่สุด หากไม่สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ โดยนัยนี้ศาสนาไม่เพียงแต่จะสูญพลังในฐานะหลักการปกครองชีวิตเท่านั้น แต่ในเวลาไม่นานนักก็จะแตกแยก เลื่อนลอยและดับสูญไปในที่สุดถ้าศาสนานั้นไม่สอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์
อีกประการหนึ่ง ศาสนานั้นถ้าจะยังทำหน้าที่ได้แล้ว ก็จะต้องสอดคล้องกับหลักเหตุผล ที่จริงคำนี้ก็เป็นอีกชื่อหนึ่งของวิทยาศาสตร์นั่นเอง
๓. ศาสนาในฐานะหลักศีลธรรมของสังคม จำต้องยอมรับหลักคำสอนพื้นฐาน ๓ ประการ คือเสรีภาพ สมาพและภราดรภาพ หากศาสนาใดละเลย ไม่ยอมรับหลักคำสอนพื้นฐาน ๓ ประการนี้ ศาสนานั้นก็กำลังก้าวไปใกล้วาระสุดท้าย
๔.ศาสนาจะต้องไม่สอนว่าความยากจนเป็นเรื่องของกรรมเก่า การสละโลกียสมบัติออกบวชโดยคนมีอันจะกินนั้น เป็นเรื่องควรแก่การอนุโมทนา แต่ความยากจนก็มิใช่เรื่องที่น่าชื่นชมยินดีเลย การสอนว่าความยากจนเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี จัดว่าเป็นการทำศาสนาให้วิปริต ก่ออกุศลกรรมและอาชญากรรมบนแผ่นดิน เท่ากับเห็นดีเห็นชอบกับพวกที่กำลังทำโลกนี้ให้เป็นนรกทั้งเป็น
ก็ศาสนาใดเล่า! ที่จะตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ ในการพิจารณาปัญหานี้ เราจะต้องจำไว้ว่ายุคสมัยของมหาตมะ คือพระศาสดาองค์ใหม่ได้หมดไปแล้ว ชาวโลกไม่อาจแสวงหาศาสนาใหม่ได้อีกแล้ว พวกเราจำต้องเลือกเอาศาสนาที่มีอยู่นี้แหละมานับถือสักศาสนาหนึ่ง ดังนั้นขอบข่ายของปัญหานี้จึงจำกัดอยู่กับสาสนาทั้งหลายที่มีในปัจจุบัน
เรื่องอาจจะเป็นว่าศาสนาปัจจุบันเหล่านี้ อาจจะตอบสนองความต้องการได้ไม่เท่ากัน คือบางศาสนาอาจสนองความต้องการเพียงหนึ่งข้อบ้าง บางศาสนาอาจสนองความต้องการได้สองข้อช้าง มีปัญหาต่อไปว่ามีสักศาสนาไหม? ที่ตอบสนองความต้องการได้ทั้งหมด เท่าที่ข้าพเจ้าทราบ ศาสนาที่สามารถตอบสนองความต้องการของพวกเราได้ทั้งหมดก็คือ พระพุทธศาสนา
อีกประการหนึ่ง พระพุทธศาสนา คือศาสนาเดียวเท่านั้นที่ชาวโลกควรยอมรับนับถือ ถ้าชาวโลกยุคใหม่ตามที่เราทราบดีว่า แตกต่างจากชาวโลกยุคเก่าอย่างมาก ยังจำต้องมีศาสนากันแล้ว และถ้าชาวโลกยุคใหม่ต้องการศาสนามากกว่าชาวโลกยุคเก่าแล้ว (ศาสนานั้น) ก็คงเป็นศาสนาของพระพุทธเจ้าเท่านั้น
ข้อความทั้งหมดนี้อาจจะดูแปลกประหลาดมาก นี้เพราะเกือบทั้งหมดของนักปราชญ์ผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาได้พากันเผยแผ่แนวความคิดที่ว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นคือหลักอหิงสา (ความไม่เบียดเบียนกัน) ข้าพเจ้าไม่ประสงค์จะลดความสำคัญของคำสอนเรื่องนี้เพราะหลักอหิงสาจัดเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ โลกของเราไม่อาจอยู่รอดปลอดภัยและประสบสันติสุขได้เลยหากพวกเราไม่ปฏิบัติตามหลักอหิงสา แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าอยากกล่าวย้ำในที่นี้ก็คือว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนหลักธรรมสำคัญอื่นๆ อีกมากมาย นอกจากหลักอหิงสา (เช่น) พระองค์ทรงสอนหลักแห่งเสรีภาพทางสังคม เสรีภาพทางสติปัญญา เสรีภาพทางเศรษฐกิจ และเสรีภาพทางการเมือง ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคำสอนในศาสนาของพระองค์
นอกจากนี้ พระพุทธเจ้ายังทรงสอนหลักความเสมอภาค ซึ่งมิใช่แค่ความเสมอภาคระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเท่านั้น แต่ทรงสอนแม้กระทั่งความเสมอภาคระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงอีกด้วย
ดังนั้น เป็นการยากมากที่จะหาพระศาสดาของศาสนาองค์อื่นๆมาเทียบกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งคำสอนครอบคลุมวิถีชีวิตทางสังคมทุกแง่ทุกมุม เป็นคำสอนที่มีความสมสมัยอยู่เสมอ(อกาลิโก-ทันสมัยอยู่เสมอ) และมีจุดมุ่งหมายปลายทางก็คือ วิมุตติ-ความหลุดพ้นจากกิเลสและกองทุกข์ขณะดำรงชีพอยู่ในโลกนี้ พระพุทธองค์ไม่เคยประทานคำมั่นสัญญาว่าจะประทานความหลุดพ้นบนสวรรค์หลังแตกกายทำลายขันธ์แล้ว