(ต่อจากตอนที่แล้ว)
ประเด็นสำคัญของข้อเท็จจริงที่เล่ามานี้อยู่ที่ว่าอาจารย์ปรีดีเมื่อตั้งขบวนเสรีไทยขับไล่ญี่ปุ่นออกไปแล้ว ไม่เป็นอิสระแก่ตนเองแต่กลับไปหวังพึ่งอเมริกา ผมเองได้พบเสรีไทยชั้นใหญ่ๆ หลายคน ล้วนแล้วแต่เชียร์อเมริกาก็จะมาเล่นงานจอมพลป.เองก็เห็นได้ชัดทันทีว่า อาจารย์ปรีดีหวังพึ่งอเมริกาสุดตัวเสียแล้ว แต่จอมพลป.พึ่งอเมริกาเก่งกว่า จึงทำรัฐประหารโค่นอาจารย์ปรีดีได้ง่ายดาย แล้วก็พึ่งอเมริกาเต็มเหยียดตลอดมาจนเกือบจะไม่เป็นตัวของตัวเองเลยอย่างที่รู้กันทั่วไปอยู่แล้ว
จึงเห็นได้ว่า การที่นโยบายต่างประเทศของไทยหลังสงครามเสียหายไปอย่างมากสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน ต้นตอก็อยู่ที่การหวังพึ่งอเมริกาจนเกินขอบเขตของอาจารย์ปรีดีตั้งแต่สมัยทำเสรีไทยนั่นเอง จอมพลป.และคนอื่นๆ เป็นแต่เพียงผู้สืบทอดการหวังพึ่งอเมริกาของอาจารย์ปรีดีเท่านั้นเอง
ผมคิดว่า ถ้าอาจารย์ปรีดีหวังพึ่งตนเองไม่หวังพึ่งอเมริกา จอมพลป.คงจะทำรัฐประหารต่อท่านไม่สำเร็จ
ส่วนนโยบายภายในประเทศหลังสงคราม อาจารย์ปรีดีก็คงรักษาระบอบเผด็จการไว้ตามเดิม จะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญพ.ศ. 2489
ซึ่งท่านร่างเองก็คงบัญญัติไว้ว่า อำนาจอธิปไตยย่อมมาจากปวงชนชาวไทย ตัดเสรีภาพทางการเมืองอย่างรุนแรงโดยกำหนดให้มีพรรคการเมืองภายใต้กฎหมายพรรคการเมืองและไม่อนุญาตให้ตั้งสหภาพแรงงาน นอกจากการไม่สนับสนุนให้มีกฎหมายแรงงานดังกล่าวมาแล้ว
สำหรับทัศนคติต่อพรรคคอมมิวนิสต์นั้น อาจารย์ปรีดีถือว่าตนเองเป็นผู้รู้ลัทธิมาร์กซ์ลัทธิเลนิน แต่ตามความเห็นของผม ท่านรู้ไม่ถึงแก่นแท้ แต่ท่านไม่ปฏิเสธการติดต่อกับพรรคคอมมิวนิสต์ พคท.พยายามทำแนวร่วมกับท่านหลายครั้งแต่ไม่เคยสำเร็จ ครั้งหลังสุดพคท.ตั้งแนวร่วมรักชาติ มีพ.ท.พโยม จุลานนท์เป็นผู้แทนในต่างประเทศ มีหน้าที่สำคัญในการทำแนวร่วมกับอาจารย์ปรีดี แต่เขาเล่ากันว่า พ.ท.พโยมกลับเป็นต้นเหตุให้การทำแนวร่วมกับอาจารย์ปรีดีพัง อาจารย์ปรีดีนั้น เพียงแต่เป็นแนวร่วมกับพคท.ก็ยังไม่ได้ แต่ก็ยังมีคนพูดไปได้ว่าอาจารย์ปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์ ส่วนความสัมพันธ์กับประเทศสังคมนิยมนั้น อาจารย์ปรีดีทำได้เหนือกว่านายกรัฐมนตรีคนอื่นๆ คือเป็นผู้เปิดความสัมพันธ์การทูตกับสหภาพโซเวียตและกำลังเตรียมจะเปิดความสัมพันธ์การทูตกับจีนคอมมิวนิสตืเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ชนะในแผ่นดินใหญ่เมื่อพ.ศ. 2492 แต่อาจารย์ปรีดีถูกโค่นเสียก่อน ความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนจึงเพิ่งจะมีขึ้นเมื่อม.ร.ว.คึกฤทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรี
ผมเข้าใจว่าการที่อาจารย์ปรีดีไปลี้ภัยในประเทศจีนก็เพื่อหลบคดีลอบปลงพระชนม์และจิตใจของอาจารย์ปรีดีคงชอบเสรีนิยมมากกว่าสังคมนิยม เมื่อหมดอายุความล้วจึงย้ายจากจีนไปอยู่ฝรั่งเศส และที่ท่านไม่กลับเมืองนั้น ผมคิดว่าท่านอาจจะกลัวมากไปหน่อย ผมเคยบอกกับคนใกล้ชิดของอาจารย์ปรีดีว่า กลับมาเมืองไทยดีกว่า จะได้หมดปัญหาที่สงสัยกันไปต่างๆนานา คนใกล้ชิดบอกว่าท่านกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ผมบอกว่าเมื่อหนุ่มไม่กลัว กล้าล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งน่ากลัวที่สุด แก่แล้วทำไมจึงกลัว ตอนหนุ่มต่างหากน่ากลัว เพราะจะยังอยู่อีกนานแก่แล้วอยู่อีกไม่กี่ปีจะกลัวไปทำไม และที่จริงก็ไม่เห็นจะมีอะไรขอให้ดูจอมพลถนอมจอมพลประภาสถูกหาว่าเป็นถึงทรราชก็มาอยู่บ้านสบายดีผมเคยฝากคนใกล้ชิดไปเรียนอาจารย์ปรีดีว่า กลับมาเมืองไทยเสียดีกว่า
เหล่านี้ คือปัญหาการเมืองในด้านนโยบายอย่างย่อๆของอาจารย์ปรีดีตามที่ผมเคยเห็นมา
ทีนี้จะขอกล่าวถึงด้านวิธีการของท่าน วิธีการของอาจารย์ปรีดีคือวิธีรัฐประหาร จะเห็นได้จากคำอธิบายของอาจารย์ปรีดี เกี่ยวกับวิธีการปฏิวัติประชาธิปไตย ในเอกสารเรื่อง บางเรื่องเกี่ยวกับการก่อตั้งคณะราษฎรและระบบประชาธิปไตย ว่า
โดยคำนึงถึงสภาพของสยามที่ถูกแวดล้อมโดยอาณานิคมของอังกฤษและฝรั่งเศสซึ่งชาติทั้งสองนี้มีข้อตกลงกันถือเอาสยามเป็นประเทศกันชน แต่เขาอาจพร้อมกันยกกำลังทหารเข้ามายึดครองแล้วแบ่งดินแดนสยามไปเป็นเมืองขึ้นหรืออยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของประเทศทั้งสอง ดังนั้นเราจึงเห็นว่าวิธีการเปลี่ยนการปกครองดังกล่าวจะต้องกระทำโดยวิธี Coup detat ซึ่งเราเรียกกันด้วยคำไทยธรรมดาว่าการยึดอำนาจโดยฉับพลัน เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีผู้ใดตั้งศัพท์ไทยว่า รัฐประหาร เพื่อถ่ายทอดศัพท์ฝรั่งเศสดังกล่าวนั้น ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันการแทรกแซงของมหาอำนาจเพราะเมื่อคณะราษฎรได้อำนาจโดยฉับพลันแล้ว มหาอำนาจก็จะต้องเผชิญต่อสถานการณ์ที่เรียกเป็นภาษาฝรั่งเศสว่า Fait accompli คือพฤติการณ์ที่สำเร็จรูปแล้ว
รัฐประหาร หมายถึงการเปลี่ยนรัฐบาลเท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนรัฐบาลด้วยวิธีผิดกฎหมาย รัฐประหารไม่หมายความถึงการเปลี่ยนรัฐหรือเปลี่ยนระบอบการปกครอง ฉะนั้นโดยทั่วไปแล้วจะนำเอารัฐประหารมาใช้ในการเปลี่ยนรัฐหรือเปลี่ยนระบอบการปกครองมิได้ หากจะมีได้ก็ในกรณีพิเศษโดยแท้เท่านั้น
แต่อาจารย์ปรีดีกำหนดให้ใช้วิธีการรัฐประหารในการปฏิวัติประชาธิปไตย ซึ่งใช้ไม่ได้สำหรับประเทศไทย และนี่คือเหตุสำคัญประการหนึ่งของความล้มเหลวของการปฏิวัติประชาธิปไตยของคณะราษฎร ซึ่งนำโดยอาจารย์ปรีดี
พวกเราเกลียดกลัวรัฐประหารกันมาก และเมืองไทยมีรัฐประหารมากครั้งจนผมเองก็จำไม่ได้ แต่พวกเรามักจะโยนเรื่องรัฐประหารไปให้ทหาร ที่จริง ต้นคิดรัฐประหารของไทยเป็นพลเรือน ไม่ใช่ทหาร ทหารเพียงแต่เอาอย่างพลเรือนเท่านั้นเอง และพลเรือนผู้ต้นคิดรัฐประหารให้พวกเราเกลียดกลัวกันหนักหนา ก็คืออาจารย์ปรีดีนั่นเอง อาจารย์ปรีดีคิดอะไรและทำอะไรไว้ ผู้คนมักจะเอาอย่างและแก้ยาก ดังเรื่องราวในด้านนโยบายที่ผมเล่ามาในด้านวิธีการก็เช่นเดียวกัน ความคิดรัฐประหารและการทำรัฐประหารของอาจารย์ปรีดี ผู้คนก็เอาอย่างและแก้ยากเช่นเดียวกัน แม้จนถึงวันนี้ผู้คนก็ยังไม่นอนใจว่าจะเกิดรัฐประหารหรือไม่ ทั้งๆที่ต้นคิดรัฐประหารถึงอสัญกรรมไปแล้ว
ฉะนั้น ความคิดรัฐประหารและการทำรัฐประหารจึงเป็นความผิดพลาดร้ายแรงของอาจารย์ปรีดีในด้านวิธีการ ไม่น้อยกว่าในด้านนโยบาย
เมื่อได้กล่าวถึงนโยบายและวิธีการในการปฏิวัติของคณะราษฎร ซึ่งนำโดยอาจารย์ปรีดีแล้ว เนื่องจากในระยะเดียวกัน มีนโยบายและวิธีการปฏิวัติประชาธิปไตยของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งควรเอานำมาเปรียบเทียบเพื่อประกอบการพิจารณา
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ทรงรับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์ ได้ทรงพระราชดำริที่จะทำการปฏิวัติประชาธิปไตยมาโดยตลอด และเมื่อเสด็จประพาสสหรัฐฯ ได้พระราชทานสัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ในสหรัฐฯว่า เมื่อเสด็จนิวัตพระนครแล้วจะทรง ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้นหลังจากเสด็จนิวัติพระนคร จึงทรงมีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งให้กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ ทรงจัดการร่างรัฐธรรมนูญ กรมหมื่นเทววงศ์ทรงมอบให้นายเรมอนด์ บี สตีเวน อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ และเป็นที่ปรึกษากระทรวงการต่างประเทศกับพระยาศรีสารวาจา ปลัดทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศไปพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ บุคคลทั้งสองเห็นว่ายังไม่ควรให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อตั้งสภาผู้แทนราษฎรในทันที แต่ควรดำเนินการเป็นขั้นๆ โดยขยายการใช้กฎหมายเทศบาล (เวลานั้นเรียกว่าสุขาภิบาล) ออกไปทั่วประเทศ เพื่อให้ราษฎรชำนาญในการเลือกตั้งตามหลักของระบบรัฐสภา ในขณะเดียวกันก็ให้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวขึ้น โดยใช้สภาองคมนตรีเป็นแกนของสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว เพราะว่าสภาองคมนตรีซึ่งประกอบด้วยสมาชิก 40 คนนั้น เป็นผู้แทนของปัญญาชนในประเทศไทยอยู่แล้ว ถ้าใช้สภาองคมนตรีเป็นแกนและขยายสมาชิกภาพให้กว้างออกไป โดยประกอบด้วยผู้แทนของสาขากิจการและสาขาอาชีพต่างๆ สภาองคมนตรีจะกลายเป็นสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวได้ และดำเนินการเลือกตั้งทั่วไป เพื่อเอารัฐสภาซึ่งประกอบด้วยสมาชิกจากการเลือกตั้งเข้าแทนที่สภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว พร้อมทั้งโอนอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของพระมหากษัตริย์ไปให้แก่รัฐสภา รัชกาลที่ ๗ ทรงเห็นชอบกับนโยบายนี้ และทรงกำหนดให้เปิดรัฐสภาในวันที่ ๖ เมษายน ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นวันจักรีครบรอบ ๑๕๐ ปี
แต่นโยบายนี้ถูกคัดค้านจากวงการที่มีอิทธิพลสูง รัชกาลที่ ๗ จึงทรงเลื่อนวันพระราชทานรัฐธรรมนูญออกไป เพื่อศึกษาเรื่องนี้ให้ดี
ยิ่งขึ้น แต่ขณะที่เสด็จประทับอยู่ ณ พระราชวังไกลกังวล หัวหิน คณะราษฎรก็ทำรัฐประหารปฏิวัติเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕
สำหรับวิธีการนั้น รัชกาลที่ ๗ ไม่ทรงมีพระราชดำริที่จะใช้วิธีการรัฐประหาร แต่จะทรงดำเนินการด้วยอำนาจสมบูรณาญาสิทธิ์ที่ทรงมีอยู่แล้ว
จะเห็นได้ว่า ในระยะแรก คณะราษฎรกับรัชกาลที่ ๗ มีความเห็นตรงกัน คือสถาปนาอำนาจอธิปไตยของปวงชน ทางด้านคณะราษฎรแม้ว่าจะไม่สู้ชัดเจนในเรื่องนี้ เพราะในนโยบายเพียงแต่กำหนดว่า การเปลี่ยนแปลงการปกครองของกษัตริย์เหนือกฎหมายเป็นการปกครองที่มีกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย ก็ตาม แต่ในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า อำนาจสูงสุดนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย ซึ่งรัชกาลที่ ๗ ไม่ได้ทรงขัดแย้งในข้อนนี้ แต่ทรงยืนยันตลอดมาว่า ข้าพเจ้าได้พูดไว้นานแล้วว่า ข้าพเจ้าจะยอมสละอำนาจของข้าพเจ้าให้แก่ราษฎรทั้งปวง... และว่า โดยเหตุนี้ เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ร้องขอให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าจึงรับรองได้ทันที โดยไม่มีเหตุข้องใจอย่างใดเลย (จากพระราชบันทึก)
ต่อมา เกิดความขัดแย้งในปัญหาการเมืองระหว่างร.๗ กับคณะราษฎรมากมายหลายเรื่อง แต่มูลเหตุมาจากเรื่องเดียวคือคณะราษฎรยกเลิกเรื่องหลักสาระสำคัญของระบอบประชาธิปไตยเสีย โดยเปลี่ยนหลัก อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งก็คือเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการนั่นเอง และโดยเหตุนี้ ร.๗ จึงทรงประโยคต่อไปในพระราชบันทึกว่า แต่ไม่สมัครที่จะสละอำนาจให้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือคณะใดคณะหนึ่ง เว้นแต่จะรู้ว่า เป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น
การที่คณะราษฎร ภายใต้การนำของอาจารย์ปรีดี เริ่มเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการ ตั้งแต่ประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ นั้น ไม่ เป็นความประสงค์ของประชาชนอันแท้จริงเช่นนั้น เพราะประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตย ต้องการอำนาจอธิปไตยของปวงชน
ฉะนั้น เมื่อนำเอานโยบายและวิธีการปฏิวัติประชาธิปไตยของร.๗ กับของคณะราษฎรภายใต้การนำของอาจารย์ปรีดีมาเปรียบเทียบกันแล้ว จะเห็นได้ว่า นโยบายและวิธีการของร.๗ ถูกต้องกว่า ถ้า ร.๗ ทรงทำการปฏิวัติประชาธิปไตยเอง ตามนโยบายและวิธีการดังกล่าว โดยคณะราษฎรไม่ชิงทำเสียก่อนการปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยก็คงจะสำเร็จไปนานแล้ว
ผมขอกล่าวถึงด้านการเมืองของอาจารย์ปรีดี เพียงย่อๆเท่านี้
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านย้อนหลัง...
|