การตัดสินใจครั้งสุดท้ายที่จะนับถือพระพุทธศาสนา
การตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์เพื่อกลับเข้าสู่พระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการนั้น ดร.อัมเบดการ์ได้กระทำขณะที่พำนักอยู่ ณ เมืองมัณฑะเลย์ ในฐานะแขกของ ดร.โชนิ นัยว่ามีการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันถึงเรื่องบุญกุศลในการกลับมาสมาทานนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ ระหว่าง ดร.โชนิ และ ดร.อัมเบดการ์อย่างออกรสออกชาติ แล้วมาลงเอยกันได้ในวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๗ ซึ่ง ดร.อัมเบดการ์ได้ประกาศว่า
ท่านคงจะดีใจหากรู้ว่า ข้าพเจ้าได้ตัดสินใจครั้งสุดท้ายแล้วที่จะสมาทานนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการ พร้อมกับบริวารของข้าพเจ้า ในปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ (นับอย่างไทยจะเป็นปีพุทธศักราช ๒๔๙๙) นี้
แ ล้ ว ท่ า น ก็ ไ ด้ ก ล่ า ว เ พิ่ ม เ ติ ม อี ก ว่ า
ในช่วงว่างเวลานี้ ข้าพเจ้าจะสามารถสะสางปัญหาต่างๆได้ให้เสร็จเพื่อเสริมสร้างมรรควิถีนั้น
จดหมายเปิดผนึกถึงจัณฑาลอินเดียของ ดร.โชนิ
การตัดสินใจครั้งสุดท้ายเพื่อสมาทานนับถือพระพุทธศาสนาอย่างเป็นทางการของ ดร.อัมเบดการ์ ได้ทำให้ ดร.โชนิปลาบปลื้มยิ่งนัก ถึงกับร่างจดหมายเปิดผนึกฉบับหนึ่งเรียกร้องให้ประชาชนชาวอินเดียหันกลับมานับถือพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นห้วงมหาสมุทรแห่งความเท่าเทียมกัน เมื่อ ดร.อัมเบดการ์รับรองและอวยพรแล้ว ท่านได้แจกจ่ายจดหมายฉบับนี้แก่นักหนังสือพิมพ์และหนังสือพิมพ์ New Times of Burma นครย่างกุ้ง ได้ตีพิมพ์ในฉบับวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๗ โดยพาดหัวว่า จดหมายเชิญเปิดผนึกถึงชาวจัณฑาลอินเดีย
ในจดหมายฉบับนี้ ท่านดร.โชนิได้ชักชวนเพื่อนร่วมประเทศของเขาให้หันมาสมาทานเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ และมาได้เสวยสุขอันเกิด จากพระธรรม ซึ่งมีพระคุณน่าอัศจรรย์ยิ่งนักโดยเร็วที่สุด
ในจดหมายฉบับนี้ ท่านดร.โชนิได้ชักชวนเพื่อร่วมประเทศของเขาให้หันมาสมาทานเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ และมาได้เสวยสุขอันเกิด จากพระธรรม ซึ่งมีพระคุณน่าอัศจรรย์ยิ่งนักโดยเร็วที่สุด
จดหมายเปิดผนึกถึงชาวจัณฑาลอินเดีย
...เพื่อนร่วมชาติที่รักยิ่งของข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่มีเหตุผลใดๆเลย ที่พวกท่านจะพากันรักษาความเป็นคนอินเดียนอกวรรณะไว้อีกต่อไป พระพุทธศาสนาจะให้ความยุติธรรมทางสังคม เป็นยี่ห้อที่สูงสุดแก่พวกท่านทันทีทันใด เปิดทางความเป็นไปได้อีกมากมายแก่พวกท่าน...
พวกท่านจะไม่สูญเสียอะไรเลยด้วยการเปลี่ยนมาเป็นพุทธศาสนิกชน โดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกท่านก็จะเลิกถูกปีศาจแห่งความลุ่มหลงในระบบวรรณะหลอกหลอน คือในทางสังคม พวกท่านก็จะไม่ถูกแกล้งให้เป็นพวกนอกวรรณะและท่านจะรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันกับชาวพุทธทั่วโลกในทันทีทันใด ซึ่งท่านจะต้องทราบว่าประกอบด้วยกลุ่มคนที่ใหญ่ที่สุดในโลก กลุ่มซึ่งกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องและขยายออกไปเรื่อยๆขณะที่พวกท่านเข้าถึงพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณาธิคุณว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึกที่ประเสริฐสูงสุด ดวงตาของท่านก็จะเปลี่ยนไปเหมือนตาดวงใหม่ที่จะกระพริบด้วยความสดใส หัวใจของพวกท่านจะตื่นเต้นเพราะประสบกับอิสรภาพทางสังคมที่แท้จริง จะรู้สึกเป็นสุข เบิกบาน ชนิดที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ พวกท่านจะมัวรีรอชักช้าอยู่ทำไมอีกเล่า! ทำไมพวกท่านไม่รีบซับน้ำตาแห่งความหม่นหมองและหยุดเสียงคร่ำครวญที่เกิดจากความเจ็บปวดและการทอดทิ้งของสังคมเก่าๆ...ในอดีตเสียเล่า!
พี่น้องที่รักยิ่งของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงออกมาจากคุกมืดทางสังคมที่กักขังตัวท่านอยู่ อย่าได้เกรงกลัวมนุษย์หรือเทวดาหน้าไหนอยู่เลย เพราะพวกท่านก็มีฐานะเท่าเทียมกับพวกเขา มิใช่เท่านี้พวกท่านอาจะประเสริฐกว่าพวกเขา อาจเป็นครูที่ปรึกษาหรือผู้ชี้นำที่ควรแก่การเคารพของพวกเขาก็ได้ พวกท่านมีศักยภาพชนิดสูงสุด และประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ทำไมมาปล่อยชีวิตที่มีค่าของตนให้เป็นเหมือนคนที่ใครๆไม่ต้องการเช่นนี้ ทันทีที่พวกท่านปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ แสงสว่างประกายสดใสจะเต้นเร่าๆ อยู่ในนัยน์ตาของพวกท่าน ความรู้สึกมหัศจรรย์อย่างบอกไม่ถูกจะเกิดขึ้นกับพวกท่าน จะไม่มีประตูเหล็กหรือกำแพงหินหนาเป็นล้านๆ ไมล์ใดๆมากันพวกท่านออกไปเป็นคนนอกวรรณะทางสังคมอีกต่อไป ถึงเวลาแล้วที่พวกท่านจะต้องตื่นจากความฝันร้ายและภาพมายาที่น่าสยดสยองกันเสียที
ตื่นเถิดเพื่อนรักทั้งหลาย นับเป็นเวลาสุกงอมพร้อมแล้วที่พวกท่านจะลุกขึ้นและเรียกร้องเอาเกียรติภูมิความเป็นมนุษย์ของพวกท่านมรดกธรรมของพวกท่าน พระพุทธศาสนา...ที่บรรพชนหลายรุ่นได้ช่วยกันทะนุบำรุงด้วยดีตลอดเวลา ๒๕ ศตวรรษที่ผ่านมาอย่าลังเลอยู่ต่อไปเลย จงถอนตัวท่านนี้จากหล่มโดยเร็วเถิดพวกเราพร้อมแล้วที่จะช่วยชำระล้างมลทินต่างๆที่ทำให้พวกท่านมีลักษณะต่างจากมนุษย์ คือคล้ายสัตว์ดิรัจฉานมาหลายสตวรรษ...ทำไมมัวนิ่งเฉยอยู่ตรงรั้วเสียเล่า พวกท่านก็พร้อมอยู่ที่นั่นมานานแล้วมิใช่หรือ?...มองไปตรงหน้า และดูพระสุริยรัศมีของพระพุทธเจ้าซิ จงกระโจนเข้าไปในพระสุริยรัศมีแห่งความสุขและสันติภาพ...มาซิ อย่าลังเลอยู่เลย...มาสู่สถานที่ที่เทวดาก็ถูกสร้างจากมนุษย์...และเป็นสถานที่ที่เทวดาชั้นรองๆก็เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็นเทวดาชั้นสูงต่อไปอีก
เรื่องนาคและเมืองนาคปูร์
เมื่อตัดสินใจจะประกอบพิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะอย่างเป็นทางการในวันพุทธชยันตี (วิสาขบูชา) ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๙(อินเดียนับ พ.ศ. ๒๕๐๐) อย่างแน่นอนแล้ว ท่านบาบาสาเฮ็บ๑๓ อัมเบดการ์ก็มุ่งมั่นพิจารณาวางแผนการและระเบียบพิธีทิกษา๑๔ นั้นหลายประการ ด้วยการคิดอย่างรอบคอบ ท่านได้เลือกสถานที่ประกอบพิธีกรรม อันเป็นเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์ได้แล้ว และได้กราบอาราธนาพระจันทรมณีมหาเถระจากเมืองกุสินารา (กุสินาคาร์) มาเป็นประธานในพิธีคือเป็นผู้ให้ไตรสรณคมน์ นำท่านและบริวารเข้าสู่พระบวรพุทธศาสนา ต่อเหตุผลในการเลือกเมืองนาคปูร์เป็นสถานที่ประกอบพิธีแสดงตนเป็นพุทธมามกะประกาศตนนับถือพระพุทธศาสนาครั้งสำคัญนี้ ดร.อัมเบดการ์ได้ชี้แจงว่า ผู้ศึกษาประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดียย่อมทราบได้ดีดว่า กลุ่มบุคคลที่ได้ทำงานประกาศพระพุทธศาสนายุคแรกๆนั้น คือพวก นาค นาคมิใช่พวกเผ่าอารยัน แต่มีเรื่องราวการตั้งตนเป็นศัตรูคู่แค้นกันระหว่างพวกเผ่าอารยันและ พวกเผ่านาค
เคยมีสงครามระหว่างพวกอารยันและพวกมิใช่อารยันเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์อินเดียบ่อยๆ พวกอารยันต้องการจะกำจัดพวกนาค (พวกมิใช่อารยัน) ให้สูญพันธุ์หมดอยู่นั้น ได้มีท่านฤาษีชื่อ อคัสตยะ (Agastya) มาช่วยนาคให้นาครอดชีวิตมาได้ตัวหนึ่งพวกเราที่นี่อาจะจะเป็นเชื้อสายของนาคตัวนั้นก็ได้
พวกนาคถูกพกอารยันกดขี้เบียดเบียนรุนแรงมาก พวกเขาจึงต้องการมหาบุรุษมาปลดปล่อยพวกเขา และต่อมาพวกเขาพบว่ามหาบุรุษที่แท้จริงมาแล้วในรูปของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่เอง พระผู้มีพระภาคเจ้าได้อุบัติขึ้นมาช่วยพวกตนให้พ้นจากความเสื่อมทรามและการสูญพันธุ์ จึงเป็นอันว่าพวกเขาได้ (สนองคุณของพระพุทธองค์โดยการ) ช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้แพร่หลายไปทั่วโลก พวกนาคเหล่านี้ ได้แก่กลุ่มบุคคลส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ ณ เมืองนาคปูร์นี้ ซึ่งมีแม่น้ำที่ไหลผ่านพื้นดินของเมืองนี้สายหนึ่ง ชื่อ แม่น้ำนาค ปรากฏว่าพวกนาคนั้นได้ตั้งบ้านเรือนอยู่บนฝั่งของแม่น้ำสายนี้ นี่คือสาเหตุสำคัญ ที่ข้าพเจ้าได้เลือกเมืองนาคปูร์สำหรับวโรกาสมงคลอันยิ่งใหญ่ครั้งนี้
พิธีปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ
วันที่๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๙๙ นับเป็นวันแห่งความหลุดพ้นของ ดร.อัมเบดการ์และบริวารจำนวนนับล้านคน
เหตุที่ ดร.อัมเบดการ์เลือกเอาวันนั้นประกอบพิธีสำคัญนี้ก็เพราะเชื่อว่าเป็นวันมหามงคล ตรงกับวันวิชยทศมี คือวันที่พระเจ้าอโศกมหาราช ทรงกลับพระทัยมาสมาทานนับถือพระพุทธศาสนา และประกาศว่าตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นไป พระองค์จะเอาชนะประเทศต่างๆและประชาชนด้วยความรักความเมตตาและการเจรจาทางการทูตแทนการใช้แสนยานุภาพทางทหาร ดังนั้น จึงตั้งชื่อหลักการนั้นว่า ธรรมวิชัย
พอเสร็จพิธีทิกษา คือสมาทานนับถือพระพุทธศาสนาครั้งประวัติศาสตร์ในวันอุดมมงคลเช่นนั้นแล้ว ดร.อัมเบดการ์ ในฐานะผู้กู้อิสรภาพและปลดพันธนาการของกลุ่มคนที่ถูกเหยียบย่ำทั้งหลายได้กล่าวว่า
ข้าพเจ้าได้เริ่มขบวนการจะสลัดศาสนาฮินดูทิ้งมาตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๔๗๘ และตั้งแต่เวลานั้น ข้าพเจ้าได้ต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆเรื่อยมาจนถึงขณะนี้ การปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะวันนี้ได้นำความปิติปลาบปลื้มและสุขใจเกินคาดคิดมาให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนว่าตนเองหลุดพ้นจากขุมนรกแล้ว