- ๒ -
เกมแห่งการยื้อแย่งอำนาจ |
นับจากต้นปี 2549 จนถึงการทำรัฐประหาร 19 กันยายน ประเทศไทยก้าวเข้าสู่วงจรการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงเหมือนที่เคยเป็นมาทั่วไป กันยายนปี 2551 จากการทำรัฐประหารสู่วงจรการเลือกตั้งแบบซื้อเสียงเหมือนที่เคยเป็นมา มีการเคลื่อนไหวต่อเนื่องของการสู้รบระหว่างรัฐบาลหลังการทำรัฐประหาร ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ทำการปรับฐานความเข้าใจของลัทธิต่างๆที่ไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ปรากฎบนเวทีพันธมิตรทั้งหมดโดยไม่ลังเลรีรอ ไม่เว้นแม้การอธิบายถึงภัยแห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ที่แฝงตัว ซ่อนเร้น ยาวนานอยู่กับสนธิ ลิ้มทองกุล และการทำแนวร่วมครั้งใหญ่ต่อเนื่องมาจากสมาธิพคท.สมทบในฐานะแกนนำผ่านการชุมนุมประท้วงแบบไม่รู้จบ กระจายขยายผลต่อเนื่องไปถึงต่างจังหวัดและมีทีท่า ตาต่อตา ฟันต่อฟันสวนทางกับแนวทางสันติจนทำให้ขบวนการประชาธิปไตยต้องเร่งออกมาอธิบาย
บัดนี้สนธิได้ทำหน้าที่ของตนเองต่อเนื่องด้วยการพยายามอธิบายถึงรูปแบบการเลือกตั้งจอมปลอม แต่เขายังไม่สามารถอธิบายได้ถึงโครงสร้างอำนาจทั้งสามที่ถูกบิดเบือนจนนำตัวเขาเองและพันธมิตรเข้าไปสู่ "กับดัก" ของการยื้อแย่ง "อำนาจ"ออกมาจากรัฐบาลสมัครเสียเอง
ซ้ำร้าย.....เขาจะไม่ถูกกล่าวหาว่าทำหน้าที่ผิด หากเขาจะไม่ออกมายอมรับว่าเขาเสนอพรรคประชาธิปัตย์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดเป็นทางออกของชาติ กลับกลายเป็นว่าเกมการแย่งบอลแห่งอำนาจที่มีความสุ่มเสี่ยงของชีวิตประชาชนบริสุทธิ์เป็นเดิมพันครั้งนี้คือที่มาของ "อำนาจอธิปไตยของปวงชน" ที่ขาดหายไปในช่วง 76 ปีที่ผ่านมานั่นเอง
หากนั่นจะนำไปสู่ความสอดคล้องเหมาะสมทั้งปวงผู้ที่จะเข้ายื้อแย่งลูกบอลจำเป็นต้องรู้ก่อนว่าแท้จริงอำนาจที่ลูบคลำจับต้องกันมานานถึง 76 ปี หลังการยึดอำนาจพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 นั้น เป็นอำนาจอันไม่ชอบธรรม เพราะกระทำการโดยคณะบุคคลเพียงไม่กี่คนซึ่งไม่ถือว่าเป็นตัวแทนคนทั้งประเทศแต่อย่างใด อำนาจที่ได้มาจึงมาตกอยู่กับคนกลุ่มนี้ซึ่งว่ากันตามจริงเป็นเพียงคนส่วนน้อยกลุ่มหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นก็ทำการประกาศว่านั่นคือประชาธิปไตยล้ำสมัยเทียบเท่านานาอารยะ และใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการอธิบายความชอบธรรมในการถือครองอำนาจและใช้อำนาจ
เมื่อตระหนักได้เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าทั้งรัฐบาลสมัครหรือพันธมิตร ก็มิควรยื้อแย่งเกมแห่งอำนาจอันไม่ชอบธรรมนั้นต่อไป ควรที่จะแสดงความเข้าใจในปัญหาประเทศชาติด้วยการคืนลูกบอลแห่งอำนาจนี้ไปสู่เจ้าของเดิมได้แล้ว!! วังวนของความสภาวะความขัดแย้งก็จะจบลงทันที
นี่ไม่ใช่การย้อนกลับไปสู่การปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชอย่างที่เข้าใจ!!!
แต่เป็นการแก้ปัญหาชาติอย่างถูกต้องสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างถึงที่สุด
และนับเป็นข้อต่อทางการเมืองที่มีความสำคัญที่สุดในการพลิกประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงแผ่นดินครั้งสำคัญ
รัฐบาลของคนส่วนน้อย....สภาของคนส่วนน้อย
ในรอบสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2551 เกิดปรากฏการณ์ใหม่ของแกนนำพันธมิตรที่ได้พยายามอธิบายถึงคำว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน" ซึ่งเป็นสิ่งที่ขบวนการประชาธิปไตยใช้ในการอธิบายมาโดยตลอดว่าหลักการประชาธิปไตย ที่สำคัญที่สุดเปรียบเสมือนจั่วสร้างสมดุลอยู่ตรงกลางคือ "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน" หากอำนาจอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยนั้นหมายถึงว่าระบอบนั้นยังคงเป็นเผด็จการอยู่เพราะอำนาจไม่ได้เป็นของคนส่วนใหญ่ของประเทศ เมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนใหญ่ได้จริงจึงจะเป็นประชาธิปไตยได้จริง
แต่ว่าแกนนำพันธมิตรเช่นสมศักดิ์ โกไศยสุข หรือ ประพันธ์ คุณมี อดีตพคท.เก่าทั้งสองที่ขึ้นเวทีพูดก็ยังอธิบายผิดพลาดคลาดเคลื่อนว่าการชุมนุมของประชาชนที่ทำเนียบรัฐบาลเป็นการใช้อำนาจอธิปไตยปวงชนแล้วซึ่งเป็นคำอธิบายที่ผิด การพูดโดยไม่เข้าใจแสดงว่าผู้อธิบายยังไม่เข้าใจว่าที่แท้จริงอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนนั้นแท้จริงหมายถึงอะไร
การชุมนุมไม่ใช่การใช้อำนาจอธิปไตยโดยตรงเพราะตามปรกติการใช้อำนาจอธิปไตยกระทำผ่านรัฐสภาและรัฐบาลซึ่งเป็นองค์กรแห่งอำนาจอธิปไตย องค์กรของอำนาจอธิปไตยดังกล่าวใช้อำนาจผ่านสามทางคือมีผู้แทนทำหน้าที่แทนประชาชน หรือเป็นการปกครองโดยผู้แทน มีรัฐบาลและรัฐสภาทำหน้าที่ปกครอง รัฐบาลหรือรัฐสภาซึ่งได้รับการเลือกตั้งมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่ "แทน" ประชาชน ซึ่งมิใช่การใช้อำนาจโดยตรงแบบที่พระมหากษัตริย์เคยใช้
การชุมนุมของพันธมิตรจึงมิได้เป็นไปเพื่อการใช้อำนาจอธิปไตยปวงชนแต่อย่างใด แต่เป็นเพียงการแข็งขืนต่อระบอบเผด็จการรัฐสภาซึ่งอำนาจอธิปไตย"เป็นของคนส่วนน้อย" เนื่องจากขบวนการคัดสรรผู้แทนเข้าสภามาอย่างมิชอบธรรม ดังนั้นการสร้างข้อต่อรองของพันธมิตรในการต่อสู้กับเผด็จการดังกล่าว จึงไม่อาจกล่าวได้ว่ากำลังทำหน้าที่ยื้อแย่งอำนาจแทนปวงชนทั้งประเทศ เนื่องจากอำนาจอธิปไตยมิเคยเป็นของปวงชนชาวไทย การประกาศสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์จึงเท่ากับเป็นการสนับสนุน "พรรคของคนส่วนน้อย" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ "สภาของคนส่วนน้อย" และ "ฝ่ายค้านของคนส่วนน้อย" ที่เข้าไปร่วมใช้ "อำนาจของคนส่วนน้อย" หรืออีกนัยหนึ่งเผด็จการในรูปแบบหนึ่ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าพันธมิตรเข้าไปร่วมเคลื่อนไปกับเผด็จการกลุ่มหนึ่ง มวลชนพันธมิตรในทัศนะนี้ก็คือมวลชนเผด็จการกลุ่มหนึ่ง ที่กำลังต่อสู้กับเผด็จการอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งทำหน้าที่"รัฐบาลของคนส่วนน้อย" อยู่ รัฐบาลของคนส่วนน้อย สภาของคนส่วนน้อย เพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยก็คือระบอบเผด็จการนั่นเอง !
ดับวิกฤตด้วยการเอาอำนาจออกจากมือลิง
ถึงคราที่ความผิดกฎเกณฑ์จะสำแดง !! นี่ไม่ใช่การวิพากษ์ที่รุนแรงเกินเหตุแต่อย่างใด หากเข้าใจตรงกันว่าอำนาจที่มีอยู่นั้นมิได้เป็นของใคร หากแต่เป็นของคนส่วนน้อยที่ได้มาอย่างมิชอบธรรมในระหว่างที่ประชาชนยังไม่มีความพร้อมพอจะเรียนรู้การใช้อำนาจนั้น ตราบใดที่ยังไม่รู้คุณของมัน เปรียบเสมือนลิงได้แหวนและมิเคยรู้ว่าจะสวมใส่แหวนนั้นอย่างไร เพราะไม่รู้ค่าของสิ่งที่ตนมี
ดังได้กล่าวว่าอำนาจที่ได้มาเป็นอำนาจอันไม่ชอบธรรมเพราะขโมยมาจากเจ้าของเดิมและมาตกอยู่กับคณะบุคคลกลุ่มหนึ่งที่ได้รับการอุปโลกน์ว่าเป็นผู้ปกครองผ่านสภาอุปโลกน์และกฎหมายรัฐธรรมนูญอุปโลกน์ โครงสร้างในการใช้อำนาจจึงบิดเบือนไปต่างจากสมัยที่สถาบันพระมหากษัตริย์ได้ใช้อำนาจการปกครองโดยตรงผ่านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
หากจะมีเหตุผลที่สอดคล้องชอบธรรมต่อพันธมิตรอธิบายจุดมุ่งหมายการชุมนุมครั้งนี้ต่อไปก็คือการที่พันธมิตรทำหน้าที่ทวงคืนพระราชอำนาจจากคนส่วนน้อยเพื่อทูลเกล้าถวายแด่ในหลวงจึงจะถูกต้องที่สุด นั่นย่อมหมายถึงพันธมิตรรู้จักที่มาที่ไปของการได้มาซึ่งอำนาจ และโครงสร้างอำนาจอันบิดเบือนปัจจุบันและหากพันธมิตรจะไม่ทำหน้าที่แทนพรรคประชาธิปัตย์ขับไล่รัฐบาลพรรคพลังประชาชนซึ่งก็เป็นพรรคการเมืองของคนส่วนน้อย วิธีการแก้ปัญหาการชุมนุมไม่รู้จบปะทะกับรัฐบาลพลังประชาชน
ซึ่งจะจัดสรรตัวแทนผู้นำขึ้นมาเป็นนายกนอมินีต่อไปไม่รู้จบเพื่อครอบครองอำนาจ วิธีการเดียวก็คือนำอำนาจศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวออกจากการยื้อแย่งครั้งนี้เสียด้วยการคืนอำนาจในมือลิงนี้กลับไปสู่เจ้าของเดิมให้เร็วที่สุดเพื่อทรงมอบให้แก่ปวงชนชาวไทยต่อไป
ม็อบพันธมิตร VS นปก.ที่ทำสงครามประชาชนแทนพรรคการเมืองระหว่างพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชาชนก็จะหมดเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่าย ปัญหาสงครามประชาชนตัวแทน (People Proxy War) เป็นอันยุติลงได้โดยสันติวิธี นี่คือการสลายเงื่อนไขที่สอดคล้องกับเหตุผลมากที่สุด
(อ่านต่อตอนหน้า)
อ่านบทความย้อนหลัง...
|