Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
แถลงการณ์
สภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ
รัฐสภาวนาราม สถาบันธรรมะประชาธิปไตย ขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ
เรื่อง “ พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการณ์ของโลก...ว่าด้วยพระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการเมืองและพัฒนาสันติภาพ”
ด้วยประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมชาวพุทธนานาชาติเนื่องในวันวิสาขบูชาโลก โดยมีพระสงฆ์ ชาวพุทธและนักปราชญ์ 80 ประเทศรวมกว่า 5,000 รูป/คน เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ ณ ห้องประชุมใหญ่ พุทธมณฑลเมืองหลวงของพุทธศาสนาโลก จังหวัดนครปฐมในหัวข้อประชุมเรื่อง “พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการณ์ของโลก” ซึ่งแบ่งการประชุมออกเป็น 6 หัวข้อคือ 1.พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม 2.พระพุทธศาสนากับการแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ 3.พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการเมืองและพัฒนาสันติภาพ 4.สมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติกับการร่วมมือด้านการศึกษา 5.โครงการร่วมมือการจัดทำพระไตรปิฎกฉบับสากลเพื่อแจกในโรงแรมทั่วโลก 6.แหล่ง
ข้อมูลและเครือข่ายทางอิเล็กทรอนิกส์ทางพระพุทธศาสนา ตั้งแต่วันที่ 4-6 พฤษภาคม 2552
สภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติและองค์การต่างๆเล็งเห็นวิสัยธรรมาทัศน์อันดีงามและสูงส่งกว้างขวางยิ่งของการจัดงานครั้งนี้ที่ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกที่กำลังจะมีบทบาทเป็นผู้นำระดับสากลในด้านศาสนาอันเป็นการนำทางจิตวิญญาณ (Spiritual Leading) อันเป็นการนำสูงสุดที่เป็นอนัตตา จึงเห็นความจำเป็นอันยิ่งยวดที่จะต้องช่วยให้ทำเจตนารมณ์อันสูงส่งนี้บรรลุความสำเร็จเพื่อให้เป็นไปตามอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาว่า “ เพื่อประโยชน์สุขของมหาชน เพื่อความสุขของมหาชนและเพื่ออนุเคราะห์โลก” จึงขอเสนอต่อที่ประชุมครั้งนี้และต่อทุกฝ่ายทุกประเทศทั่วโลกดังต่อไปนี้
 
1.ในหัวข้อ “เรื่องพระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการณ์ของโลก” ที่มีหัวข้อย่อยรูปธรรมทั้ง 6 หัวข้อนี้ ทุกหัวข้อรวมศูนย์อยู่ที่หัวข้อที่ 3 คือ “พระพุทธศาสนากับการแก้วิกฤตการเมืองและพัฒนาสันติภาพ” นั่นคือถ้าแก้วิกฤติการเมืองและสันติภาพโลกได้ก็จะมีเงื่อนไขให้สามารถไปแก้ปัญหาอื่นๆได้ทั้งสิ้น ดังนั้นสภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติและองค์การต่างๆจึงขอนำเสนอแนวทางการแก้ปัญหาวิกฤติการเมืองและพัฒนาสันติภาพโลก ดังต่อไปนี้
2.พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งอนัตตา ซึ่งแตกต่างจากศาสนาอื่นซึ่งเป็นศาสนาแห่งอัตตา คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์และยังเหนือกว่าวิทยาศาสตร์อีกหลายชั้นอีกด้วย มีทั้งระดับโลกียธรรมและโลกุตรธรรมหรือทั้งสังขตธรรมและอสังขตธรรม ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงเป็นผู้ถือดุลในศาสนาทั้งปวง ดังเช่น ดวงอาทิตย์เป็นผู้ถือดุลในระบบสุริยะ (Solar System) กล่าวถึงที่สุด “สุญญตาคือผู้ถือดุลที่แท้จริง” ฉะนั้นศาสนาแห่งอนัตตาคือศาสนาพุทธจึงเป็นผู้ถือดุลอันเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล (Cosmic Religion) ตามที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์เอกของโลกได้รับรองไว้
 
โลก 3 ชนิดคือโลกวิทยาศาสตร์ (Scientific World) โลกสังคม (Social World) โลกจิตวิญญาณ (Spiritual World) พระพุทธศาสนาเป็นสุดยอดของทั้ง 3 โลก
 
ต่อด้านวิทยาศาสตร์นั้นนักวิชาการยุคใหม่ได้แบ่งออกเป็น “วิทยาศาสตร์ธรรมชาติหรือวิทยาศาสตร์บริสุทธิ์” (Pure Science& Natural Science) และ “วิทยาศาสตร์สังคม” (Social Science) แต่โดยแท้จริงแล้วเมื่อนำเอาพุทธศาสนามาพิจารณาจะมีอีกด้านหนึ่งคือวิทยาศาสตร์ทางจิตวิญญาณ (Spiritual Science) ดังคำรับรองของไอน์สไตน์ว่า “ If there is any religion that would cope with the scientific need it will be Buddhism.- ถ้าจะหาศาสนาที่มีความสอดคล้องกับหลักการทางวิทยาศาสตร์แล้วละก็ ศาสนานั้นก็คือพุทธศาสนา” และตามคำยืนยันของผู้นำทางความคิดระดับโลกในประเทศไทยคือนายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ว่า “ คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์ที่เหนือกว่าวิทยาศาสตร์อีกหลายขั้นอีกด้วย” ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่ยาเสพติดแต่เป็นศาสนาที่ทำให้หลุดพ้นจากการเสพติดที่ร้ายแรงที่สุดคือกิเลสตัณหา มิใช่เป็นศาสนาจิตนิยมเพ้อฝันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ดังที่บางลัทธิการเมืองโจมตี 
               
3. พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่มีลักษณะประชาธิปไตยมากที่สุดกว่าทุกศาสนาคือศาสนาอนัตตาตรงข้ามกับอัตตาที่เป็นลักษณะเผด็จการ และศาสนาพุทธถือพระธรรมเป็นใหญ่คือธรรมาธิปไตยและถือสงฆ์เป็นใหญ่ ไม่ถือตนเป็นใหญ่หรือถือโลกเป็นใหญ่หรือถือบุคคลเป็นใหญ่ (อัตตาธิปไตยและโลกาธิปไตย) อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนาคือ เพื่อประโยชน์ของมหาชน เพื่อความสุขของมหาชน คือระบอบประชาธิปไตย  ธรรม (Righteousness)ย่อมสอดคล้องกับผลประโยชน์ของประชาชนเสมอไป ระบอบประชาธิปไตยคือระบอบที่ถือประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่ จึงเป็นระบอบที่เป็นธรรมหรือเป็นระบอบที่ถือธรรมเป็นใหญ่ ฉะนั้นประชาธิปไตยคือธรรมาธิปไตย 
               
พระพุทธเจ้าทรงเป็นบุคคลแรกในโลกที่ค้นพบบทบาทอันสำคัญเป็นเอกของความเห็น (ทิฎฐิ:ภาษาบาลีทฤษฎี:ภาษาสันสกฤต Theory:ภาษาอังกฤษ) ซึ่งทรงบัญญัติความเห็นถูกหรือสัมมาทิฎฐิไว้เป็นข้อแรกของทางสายกลาง(มัชฌิมาปฏิปทา) ผลดีหรือผลร้ายทั้งหลายในมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นบุคคลหรือประเทศชาติ มีต้นเหตุมาจากความเห็นถูกหรือความเห็นผิด  ดังนั้นปัญหาแรกที่สุดของมนุษย์คือ ปัญหาความเห็น ปัญหาทฤษฎี ปัญหาทิฎฐิ หรือTheoretical Problem จะต้องแก้ปัญหานี้ก่อนปัญหาอื่นทั้งสิ้น ถ้าไม่แก้ปัญหานี้ปัญหาอื่นๆก็จะแก้ไม่ตก ดังเช่นข้อเท็จจริงพิสูจน์ให้เห็นอย่างแน่นอนว่า การปฏิบัติสู่โมกษธรรมนั้น ถ้าปราศจากความควบคุมโดยสัมมาทิฎฐิเสียแล้วไม่ว่าจะประกอบด้วยความเพียรแก่กล้าสักเพียงใด ก็จะล้มเหลวทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าทรงละทิ้งทฤษฎีผิดของลัทธิพราหมณ์มาเป็นทฤษฎีถูกจึงบรรลุนิพพาน ฉะนั้น กล่าวตามภาษาวิชาการ พระพุทธเจ้าเป็นบุคคลแรกในโลกที่ทรงค้นพบความสำคัญอันเป็นเอกของทฤษฎี 
               
ในทางการเมือง ประเทศใดพัฒนาภายใต้ทฤษฎีที่ถูก จะบรรลุความไพบูลย์และประชาชนพ้นความยากจน บางประเทศพัฒนาภายใต้ทฤษฎีที่ผิด แม้จะมีความไพบูลย์แต่ยิ่งพัฒนายิ่งจน เช่นในด้านบุคคล เจ้าชายสิทธัตถะพัฒนาจิตใจภายใต้ทฤษฎีผิดของพราหมณ์อยู่ 6 ปี เกือบสิ้นชีวิต  ประเทศไทยพัฒนามากว่าครึ่งศตวรรษภายใต้ทฤษฎีที่ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นทฤษฎีที่ผิดเพราะกลับตาลปัตรกับความเป็นจริงตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2492 แต่ความเป็นจริงในการปกครองของประเทศคือ “ระบอบเผด็จการรัฐสภา” ประเทศไทยจึงวิกฤตหายนะตลอดมาทั้งๆที่ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกและมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ที่สุดทั้ง  3 ด้าน คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ทรัพยากรทางคุณธรรมและทรัพยากรทางวุฒิปัญญา 
              
วิกฤตการเมืองในประเทศไทยซึ่งเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาของโลกจึงเป็นกรณีตัวอย่างของโลกเพราะนอกจากประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกแล้ว และเป็นประเทศที่วิกฤตที่สุดในโลกทางการเมืองตามพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัว และประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ของโลก ของสันติภาพโลก และเป็นประเทศที่สร้างประชาธิปไตยหรือปฏิวัติประชาธิปไตยที่ช้าที่สุดในโลก และเป็นประเทศที่มีตัวอย่างทฤษฎีทางการเมืองผิด คือมิจฉาทิฎฐิของลัทธิรัฐธรรมนูญโดยคณะราษฎรและมีทฤษฎีทางการเมืองที่ถูก คือ สัมมาทิฎฐิของลัทธิประชาธิปไตยโดยสมเด็จพระปกเกล้า 
              
พุทธอหิงสาธรรมซึ่งเป็นการต่อสู้แก้ปัญหาอย่างสันติวิธีตามหลักพุทธธรรมในประเทศไทยคือ การปฏิวัติสันติ (Peaceful Revolution) ของพระมหากษัตริย์ร.5 ร.6 ร.7และการปฏิวัติรุนแรง (Violent Revolution) ของคณะราษฎรและพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยโดยลัทธิรัฐธรรมนูญกับลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยฝ่ายปฏิวัติสันติตามหลักพุทธอหิงสาธรรมที่สืบต่อจาก ร.5 ร.6 ร.7 คือ กองทัพแห่งชาติ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ตามนโยบาย 66/23 สภาปฏิวัติแห่งชาติหรือสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ กับฝ่ายปฏิวัติรุนแรงที่สืบทอดต่อจากคณะราษฎรและคอมมิวนิสต์ที่กำลังต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันอยู่ในขณะนี้  พระพุทธศาสนาจะแก้วิกฤตการเมืองและสร้างสันติภาพโลกถาวร (Lasting World Peace) ในประเทศไทยได้อย่างไรจึงจะนำโลกแก้วิกฤตการณ์โลกได้ในที่สุด 
              
4.พระมหากษัตริย์ไทยโดยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 ได้เริ่มนำพาประเทศชาติก้าวขึ้นสู่ยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Modern History) ด้วยการทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาสู่ระบอบประชาธิปไตยอันเป็น “การปฏิวัติสันติ” ตามหลักพุทธอหิงสาธรรม ทรงนำเอาลัทธิประชาธิปไตยสากลมาประยุกต์เข้ากับลักษณะพิเศษของประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยแบบไทย (Thai Democracy) เริ่มด้วยมาตรการแรกของการสร้างประชาธิปไตยคือเปลี่ยนรัฐสมัยเก่า “รัฐเจ้าครองนคร” (Feudal State) มาเป็นรัฐสมัยใหม่ “รัฐประชาชาติ” (Nation State) เปลี่ยนรูปการปกครองแบบจตุสดมภ์มาเป็นกระทรวงทบวงกรม และจัดเป็นการปกครองส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ส่วนส่วนท้องถิ่น มีการยกเลิกระบบเจ้าศักดินา (Feudal Lord) เป็นเจ้าที่ดิน (Landlord) โดยปลดปล่อยชาวนาในสังกัดหรือเอกชน (Serf) ให้เป็นเสรีชนคือ “การเลิกทาส” เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจแห่งชาติอันเป็นเศรษฐกิจเสรีนิยมที่มีอุตสาหกรรมเป็นหัวใจด้วยการยกเลิกระบบเจ้าที่ดินคือ “ปฏิรูปที่ดิน” (Land Reform) ทรงตั้งรัฐวิสาหกิจเป็นหลักนำและส่งเสริมวิสาหกิจเอกชนไทยโดยเฉพาะเพื่อรักษาความมั่นคงแห่งชาติทางเศรษฐกิจ ทรงปฏิรูปในปฏิวัติ (Reform in Revolution) อย่างมีทฤษฎีที่ถูกต้องและใช้สันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรมไม่เสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียว มีเพียงประเทศเดียวในโลกที่ทรงปฏิวัติสันติแบบอหิงสาพุทธตามพุทธพจน์ว่า “อหิงฺสา ปรโมธมฺโม” แปลว่า “ อหิงสาเป็นธรรมอันยิ่ง” รูปธรรมคือการปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 ประการ คือมีสัมมาทิฎฐิก่อนสิ่งอื่นทั้งสิ้นนั่นเอง หรือต่อสู้เอาชนะการรุกรานยึดครองของประเทศนักล่าอาณานิคมด้วยสัมมาทิฎฐิและอหิงสาพุทธจึงประสบชัยชนะ รักษาเอกราชของชาติไว้ได้ ดังพระราชหัตถเลขาของสมเด็จพระปกเกล้าที่ทรงใช้เมื่อพ.ศ. 2470 ว่า.... 
            
“สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงทรงมีพระปรีชารอบรู้ในรัฐประศาสน์ประเพณีการปกครองของไทยอย่างเก่าเป็นอย่างดี และส่วนประเพณีการปกครองอย่างที่นิยมกันอยู่ในทวีปยุโรปได้ทรงศึกษาทราบหลักการโดยตลอด ....พระองค์ท่านมิได้นึกถึงสิ่งอื่นเลยนอกจากความสุขของประชาชนและความเจริญรุ่งเรืองของประเทศเป็นที่ตั้ง...การเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบเดิมเป็นตั้งกระทรวงเป็น 12 กระทรวงนี้ ต้องนับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ซึ่งเรียกได้อย่างพูดกันธรรมดาว่า “พลิกแผ่นดิน” ถ้าจะเรียกตามภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า “เรโวลูชั่น”...การเปลี่ยนแปลงอย่างใหม่หลวงดังนี้ มีน้อยประเทศนักที่จะทำสำเร็จได้โดยปราศจากการจลาจล หรือจะว่าไม่มีเลยก็เกือบว่าได้  ประเทศญี่ปุ่นได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างพลิกแผ่นดินเหมือนประเทศสยาม แต่หาดำเนินการได้โดยสงบราบคาบเหมือนประเทศสยามไม่ ยังมีการจลาจลในบ้านเมือง เช่น กบฏสัตสุมา เป็นต้น...การที่ประเทศสยามได้เปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองอย่างเรโวลูชั่นได้โดยไม่ต้องมีใครเสียเลือดเนื้อแม้แต่หยดเดียวดังนี้ ต้องนับว่าเป็นมหัศจรรย์...การเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ รัฐบาลในประเทศสยามได้กระทำไปโดยราบคาบ เพราะเรโวลูชั่นของเรานั้นสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ทรงริเริ่ม ประกอบกับพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้ ทรงมีพระปรีชาสามารถยิ่งกว่าผู้ใดหมดในเวลานั้น...พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ทรงเล็งเห็นการภายหน้าอย่างชัดเจน และทรงทราบการที่ล่วงไปแล้วเป็นอย่างดี ได้ทรงพระราชดำริตริตรองโดยรอบคอบ ได้ทรงเลือกประเพณีการปกครองทั้งของไทยและของต่างประเทศประกอบกัน ด้วยพระปรีชาญาณอันยวดยิ่ง ได้ทรงจัดการเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองเป็นลำดับมาล้วนเหมาะสมกับเหตุการณ์และเหมาะสมกับเวลา ไม่ช้าเกินไปไม่เร็วเกินไป...” 
               
5.พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ทรงสืบทอดพระราชกรณียกิจต่อมาภายใต้พระบรมราโชบายของสมเด็จพระราชบิดา แต่พระราชกรณียกิจนี้ใหญ่หลวงยิ่งนัก เพราะพลังอนุรักษ์นิยมภายในประเทศไทยนั้นมหาศาลกว่าในญี่ปุ่นหลายเท่า ถ้าจะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วก็แต่ด้วยพระราชอำนาจอันล้นพ้นและพระบารมีอันไพศาลของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเท่านั้น  เมื่อเสด็จสวรรคตเสียแล้ว การที่จะเปลี่ยนแปลงอย่างนวดเร็วก็ยากนัก พระราชกรณียกิจสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงจำกัดอยู่เพียงการขยายผลพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระราชบิดาเท่านั้น ซึ่งประกอบด้วยพระราชกรณียกิจสำคัญ 3 ประการคือ... 
                
5.1 ขยายเสรีภาพ โดยเฉพาะคือเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นอันเป็นรากฐานของเสรีภาพทั้งปวง ถึงกับตั้งหนังสือพิมพ์ของพระองค์เอง และทรงเป็นคอลัมนิสต์เองพระนามปากกาว่า “ศรีอยุธยา” และ “อัศวพาหุ” เป็นต้น ชาวยุโรปที่ได้เห็นเสรีภาพภายใต้การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชในประเทศไทยแล้ว  ได้ถวายสมัญญานามว่า Democratic King “พระมหากษัตริย์ประชาธิปไตย” 
              
5.2 อบรมการปกครองแบบประชาธิปไตยแก่ประชาชน โดยทรงตั้งนครประชาธิปไตยตัวอย่างชื่อว่า “ดุสิตธานี” 
                
5.3 ส่งเสริมลัทธิชาตินิยม(Nationalism)ด้วยการตั้งกองเสือป่าและด้วยทรงพระราชนิพนธ์ทั้งร้อยแก้วและร้อยกรองเป็นจำนวนมาก 
               
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นนักชาตินิยมฝ่ายประชาธิปไตยเพราะทรงสืบทอดสมเด็จพระราชบิดาที่ทรงปรารถนาจะสร้างประชาธิปไตย การส่งเสริมลัทธิชาตินิยมฝ่ายประชาธิปไตยเป็นการส่งเสริมภารกิจสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยอย่างสำคัญประการหนึ่ง  การขยายเสรีภาพในรัชสมัยสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ยังผลให้การเคลื่อนไหวทางการเมืองขยายตัวกว้างขวางอย่างไม่เคยมีมาก่อนทั้งลับทั้งเปิดเผย 
               
6. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่7 ทรงพระราชดำริจะรื้อฟื้นบทบาทขององคมนตรีสภาของรัชกาลที่5 เพื่อใช้เป็นสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวในระยะผ่าน (Transition Period) จากการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตย “สภากรรมการองคมนตรี” ทำหน้าที่เป็นแกนของสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว จากนั้นจึงขยายสมาชิกภาพของสภากรรมการองคมนตรีออกไปสู่บุคคลในอาชีพ และกิจการต่างๆอย่างทั่วถึง เพื่อให้มีลักษณะผู้แทนปวงชน (Representation) ที่แท้จริง และให้องคมนตรีสภาที่ขยายสมาชิกภาพแล้วนี้ทำหน้าที่เป็นสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราว  ในขณะเดียวกันก็ใช้พระราชบัญญัติสุขาภิบาลเป็นเครื่องมือฝึกหัดการเลือกตั้งของประชาชนโดยแก้ไขเพิ่มเติมให้สมบูรณ์ภายหลังและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นพระราชบัญญัติเทศบาล แต่อยู่ในระหว่างตรวจสอบและปฏิบัติตามขั้นตอนของการออกกฎหมาย ก็เกิดการยึดอำนาจเสียก่อนจึงออกมาเป็นกฎหมายในสมัยคณะราษฎร ทรงปฏิบัติเหล่านี้มาโดยลำดับ และเมื่อทรงพิจารณาเห็นว่าได้รับผลเพียงพอที่จะทรงสละอำนาจให้แก่ประชาชนแล้ว จึงทรงร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อประกาศใช้ในวันฉลองพระนครครบรอบ 150 ปี คือวันที่ 6 เมษายน 2475 เป็นมาตรการมอบอำนาจให้แก่สภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวคือสภากรรมการองคมนตรี  จากนั้นจึงจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปและเมื่อมีสภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทั่วไปแล้ว จึงยุบเลิกสภากรรมการองคมนตรี ซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวให้สภาผู้แทนราษฎรจากการเลือกตั้งทำหน้าที่สภาผู้แทนราษฎรถาวรต่อไป  แต่กำหนดประกาศใช้รัฐธรรมนูญต้องเลื่อนไปเพื่อแก้ไขปรับปรุงให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นตามคำทักท้วงจากวงการชั้นสูงบางวงการ ในระหว่างนั้นก็ได้เกิดการยึดอำนาจโดยคณะทหารเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ซึ่งโดยสาระสำคัญแล้วก็เป็นอย่างเดียวกับพระราชภารกิจในการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตยของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่1 แห่งเยอรมนีและของพระจักรพรรดิมัตซูฮิโตญี่ปุ่น 
              
7. คณะราษฎรได้ทำการรัฐประหารรัฐบาลสมเด็จพระปกเกล้าที่กำลังสร้างประชาธิปไตยลงแต่สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้การต่อสู้อย่างสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรม ไม่ใช้กำลังเข้าปราบปรามคณะราษฎรตามคำกราบบังคมทูลของคณะทหาร และทรงช่วยคณะราษฎรจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งทรงห้ามมิให้ใช้กำลังเข้าโค่นล้มคณะร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 ทรงแนะนำตักเตือนคณะราษฎรตลอดมา ทรงต่อสู้โดยเอาราชบัลลังก์เป็นเดิมพันอันเป็นแบบอหิงสาพุทธจนกระทั่งสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 ณ ประเทศอังกฤษ  นี่คือการใช้พุทธอหิงสาธรรมเข้าต่อสู้แก้ปัญหาตลอดมา อันเป็นการใช้พุทธศาสนาแก้วิกฤตการเมืองไทยครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ 
              
คณะราษฎรได้สถาปนาการปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภาและระบอบเผด็จการรัฐประหารของลัทธิรัฐธรรมนูญขึ้นแทนโดยไม่มีเจตนาแต่มีเจตนาต้องการรัฐธรรมนูญ ต่อมาได้เกิดมิจฉาทิฎฐิว่า “ระบอบเผด็จการรัฐสภาคือระบอบประชาธิปไตย” เพราะการสร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญแต่กลับตั้งชื่อว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยและฝังหมุดทองเหลืองไว้ที่ลานพระบรมรูปทรงม้ามีข้อความว่า “ณ ที่นี้ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง คณะราษฎรได้ก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญเพื่อความเจริญของชาติ” และการบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ. 2492 ในมาตรา 2 ว่า “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย…” 
             
8. พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยได้เปิดการต่อสู้ด้วยอาวุธเมื่อพ.ศ. 2508 “วันเสียงปืนแตก” และได้ยกระดับขึ้นเป็นสงครามกลางเมืองเมื่อปีพ.ศ.2515 เป็นต้นมา 
               
รัฐบาลจอมพลถนอมได้ใช้แนวทางสันติแบบอหิงสาด้วยอันเป็นสัมมาทิฎฐิด้วยการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 110/2512 ต่อสู้เอาชนะทฤษฎีโดมิโน่ซึ่งเป็นมิจฉาทิฎฐิของสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อสู้เอาชนะการรุกรานของคอมมิวนิสต์อินโดจีน วางตัวเป็นกลางต่อสงครามกลางเมืองของประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ส่งทหารเข้าไปแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่นในขณะเดียวกันก็เริ่มสร้างประชาธิปไตยตามคำขวัญว่า“จะชนะคอมมิวนิสต์ต้องสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ” หรือ “ จะสร้างประชาธิปไตยให้สำเร็จ จะต้องชนะคอมมิวนิสต์” เช่นพรรคสหประชาไทยของจอมพลถนอม กิตติขจร 
               
กองทัพแห่งชาติได้ออกนโยบาย 66/2523 คือใช้สัมมาทิฎฐิของลัทธิประชาธิปไตยตามแนวทางพระปกเกล้าฯ ใช้อหิงสาพุทธสันติวิธีเข้าต่อสู้กับลัทธิคอมมิวนิสต์ที่ใช้ความรุนแรงก่อสงครามกลางเมือง กองทัพมีชัยชนะต่อสงครามกลางเมืองของคอมมิวนิสต์โดยการสร้างประชาธิปไตยระดับต่ำ แต่ไม่สามารถสร้างประชาธิปไตยระดับสูงได้ คือยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภาสร้างประชาธิปไตยชนะคอมมิวนิสต์ จึงยังคงมีระบอบเผด็จการรัฐสภาและเผด็จการรัฐประหารโดยมีขบวนการคอมมิวนิสต์เคลื่อนไหวอยู่ตลอดมา 
               
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจึงได้จัดตั้งสภาผู้แทนราษฎรชั่วคราวหรือการปกครองเฉพาะกาล (Provisional Government) ตามแบบอย่างของสภากรรมการองคมนตรีของรัชกาลที่7 ในนาม “สภาปฏิวัติแห่งชาติ” หรือสภาประชาธิปไตยแห่งชาติอันประกอบด้วยผู้แทนเขตและผู้แทนอาชีพอย่างกว้างขวางและทั่วถึงทั้งประเทศอันแสดงถึงรูปธรรมของอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน  (Sovereignty of the People) อันเป็นการปฏิวัติสันติตามแบบอย่างสมเด็จพระปกเกล้า คือ เพื่อนำเอาการปฏิวัติสันติไปต่อสู้เอาชนะการปฏิวัติรุนแรงของคอมมิวนิสต์  โดยดำเนินการตามกฎหมายสูงสุด(Supreme Law) คือความมั่นคงแห่งชาติเป็นกฎหมายสูงสุดและตามความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ คือมาตรา 2 “ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย” และมาตรา 3 “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” และนโยบาย 66/23 ขั้นตอนที่ 2 โดยขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกาการโอนอำนาจจากรัฐสภามาสู่สภาปฏิวัติแห่งชาติ แต่พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในฐานะประธานฯไม่นำร่างพระราชกฤษฎีกาขึ้นทูลเกล้าถวาย ตำรวจสันติบาลโดยรัฐบาลชาติชายได้จับกุมสภาปฏิวัติแห่งชาติไปเพื่อพิสูจน์ในชั้นศาล ปรากฏว่า “ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินพิพากษายกฟ้อง” ไม่มีความผิดแต่ประการใดทั้งสิ้น 
             
9. เสนอตั้งรัฐบาลแห่งชาติหรือรัฐบาลสามัคคีธรรมแห่งชาติ ( Government of National Unity) โดยให้ทุกพรรคการเมืองสามัคคีกันจัดตั้งรัฐบาลผสมทุกพรรคการเมือง โดยปรับระบบรัฐสภาจากระบบมีฝ่ายค้านที่เป็นอุปสรรคต่อความสามัคคีมาสู่ระบบรัฐบาลแห่งชาติอันเป็นระบบที่ก่อให้เกิดความสามัคคีทางการเมือง และความสามัคคีแห่งชาติอันเป็นรัฐบาลแห่งชาติด้านรูปแบบ (Form of National Government) แล้วมีนโยบายสร้างประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือทางการเมือง อันเป็นรัฐบาลแห่งชาติด้านเนื้อหา (Content of National Government) แล้วลงมือสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จ แต่นักการเมืองไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติได้ 

  

การประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง คือการนำพระพุทธศาสนาแก้ปัญหาวิกฤตชาติและพัฒนาสันติภาพ  ด้วยการนำเอาโมกษธรรมมาประสานเข้ากับสถานการณ์ของประชาชนและประเทศชาติโดยนำเอาอริยสัจสี่ซึ่งเป็นโมกษธรรมมาประยุกต์เข้ากับปัญหาของประเทศชาติคือ...
ทุกข์ คือ ความยากจนและความแตกสามัคคี
               สมุทัย คือ ตัณหาของนักการเมือง
               นิโรธ คือการละ วาง พ้น ไม่อาลัยในตัณหาของนักการเมือง
               มรรค คือเห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทำถูก เลี้ยงชีพถูก เพียรถูก สติถูก สมาธิถูก
               นักการเมืองจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติไม่ได้เพราะมีมิจฉาทิฎฐิหรือมีตัณหา นั่นคือตัณหาของนักการเมืองคือเหตุแห่งทุกข์ของประชาชน  จะต้องปฏิบัติโมกษธรรมเพื่อขจัดตัณหา มีสัมมาทิฎฐิ สร้างประชาธิปไตยด้วยการจัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ โดยพระภิกษุช่วยนักการเมืองให้ละตัณหามีสัมมาทิฎฐิ รู้ประชาธิปไตย
              
ต่อมาพระภิกษุช่วยยกระดับม็อบ(ฝูงชน) ด้วยสัมมาทิฎฐิอหิงสาธรรมและประชาธิปไตยให้เป็นมวลชนธรรมะประชาธิปไตย เพื่อช่วยผลักดันนักการเมืองให้สร้างประชาธิปไตย จัดตั้งรัฐบาลแห่งชาติ
              
10.เสนอตั้ง “การปกครองเฉพาะกาล” (Provisional Government) อันเป็นการสร้างประชาธิปไตยโดยสถาบันพระมหากษัตริย์ คือมีสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ  สภารู้รักสามัคคี สภาประชาภิวัฒน์ หรือสภาปฏิวัติแห่งชาติ สภาปรองดองแห่งชาติเป็นต้น ตามแบบอย่างสภากรรมการองคมนตรีของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ด้านรูปแบบ คือมีตัวแทนเขตและตัวแทนอาชีพอย่างครบถ้วนตามสัดส่วนทั่วประเทศ (Form of Provisional Government) และมีนโยบายสร้างประชาธิปไตยเป็นเนื้อหา (Content of Provisional Government) ของรัฐบาลเฉพาะกาล (Government of Provisional Government)
            
ผลักดันนักการเมืองด้วยสัมมาทิฎฐิอหิงสาพุทธให้นักการเมืองถวายคืนอำนาจอธิปไตยแด่พระมหากษัตริย์เพื่อทรงมอบอำนาจอธิปไตยให้แก่ปวงชนชาวไทยทรงพระราชทานการปกครองเฉพาะกาล และ/หรือรัฐบาลแห่งชาติ ตามแบบอย่างพระปกเกล้าที่ยังทรงมิได้ปฏิบัติให้แล้วเสร็จเพราะถูกขัดขวางแย่งชิงอำนาจมาโดยคณะราษฎรเมื่อ 24 มิถุนายน 2475
             
การปฏิวัติสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรมจะทำให้ได้ปฏิบัติโมกษธรรมในจิตใจ และได้ปฏิบัติปฏิวัติมีประชาธิปไตยในประเทศชาติ จะบังเกิดเป็น “มนุษยปฏิวัติ” (Human Revolution)  จะแก้วิกฤตการเมืองหรือวิกฤตชาติได้อย่างทั่วด้าน และจะบังเกิดเป็นสันติภาพโลกถาวรก่อผลสะเทือนจากประเทศไทยไปสู่สากลอันเป็นโลกาภิวัฒน์โดยพระพุทธศาสนา จะเป็นโลกแห่งอหิงสาพุทธะหรือโลกแห่งอริยะในยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่อย่างแท้จริง เมื่อนั้น ประเทศไทยจะนำโลกด้วยพระพุทธศาสนานั่นเอง
  
                                                
  
(พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร) 
ประธานสภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ
ประธานรัฐสภาวนาราม
ผู้อำนวยการสถาบันธรรมะประชาธิปไตย
เจ้าอาวาสวัดตะล่อม
  
5 พ.ค. 2552
โทร.08 – 1193-1442

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป