การเผชิญหน้ากับความรุนแรงในท่ามกลางปัญหาวิกฤตชาติในประเทศไทย กำลังทำลายขวัญกำลังใจคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ สำนักสื่อปฏิวัติขอนำเสนอบทความที่ได้เคยนำเสนอไปแล้วตั้งแต่ปี 2549 และได้รับการเผยแพร่ต่อๆกันไปหลายครั้งในโลกไซเบอร์ ในโอกาสเปิดตัวสำนักสื่อปฏิวัติด้วยสันติธรรมในปี 2552 กองบรรณาธิการจึงใคร่นำเสนอบทความครั้งนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อตอบรับปรากฏการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องนับแต่มีการเคลื่อนไหวทางการเมืองในรอบกว่า 3 ปีที่ผ่านมา
พุทธธรรมค้านทฤษฎีวิภาษวิธีของคอมมิวนิสต์
.มูลเหตุของซ้ายไร้เดียงสาไม่ใช่ซ้ายทมิฬ
คุณคำนูณ สิทธิสมานเขียนบทความเรื่อง ซ้ายทมิฬ ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเมื่อต้นสัปดาห์ กล่าวถึงทฤษฎีทางสังคมวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) ของมาร์กซ์เลนิน โดยผูกโยงเข้ากับคำพูดที่ใช้แถลงข่าวโดยคุณไทกร พลสุวรรณเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่บทความของคุณคำนูณก็ไม่ได้ชี้ชัดไปทางไหนแต่อย่างใด นอกจากประเด็นเรื่อง วิจิกิจฉา หรือการตั้งข้อสงสัยส่วนตัวของคุณคำนูณต่อ การดำรงอยู่ของพคท.ว่าเป็นขบวนการบ่อนทำร้ายทำลายประเทศชาติที่มีการจัดตั้งแบบพร้อมกระทำการ ทมิฬ จริงหรือไม่
วัตถุนิยมวิภาษวิธีหรือกฎไดเลคติคคืออะไร เป็นของสูงจริงหรือไม่ และมีอิทธิพลต่อความคิดของอาจารย์มหาวิทยาลัยกลุ่มหนึ่งที่เคยไปอยู่ป่าสมัยตุลาคม 2519 อย่างไร และทฤษฎีนี้คือเหตุปัจจัยที่มีผลต่อการเลือกไม่เข้าร่วมกับประชาชนจริงหรือไม่
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติและขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติขอถือโอกาสนี้ทำการอรรถาธิบายเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้งหนึ่ง เพราะเห็นว่าการชี้แจงน่าจะเป็นการขยายผลของบทความและมีส่วนช่วยเสริมให้การชี้นำสังคมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ และนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ต่อการนำมาชี้แจง กฎว่าด้วยความขัดแย้งแบบไดเลคติคเป็นทฤษฎีของนักปฏิวัติ จะเป็นนักปฏิวัติแบบสังคมนิยมหรือประชาธิปไตยก็แล้วแต่ ย่อมเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ของความขัดแย้งที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของวัตถุเป็นแนวทางอันเป็นมูลเหตุของการ ปฏิวัติ แบบวิทยาศาสตร์สังคมได้เป็นอย่างดี
วัตถุนิยมวิภาษวิธี หรือกฎไดเลคติค ตามทฤษฎีที่เฮเกล (HEGEL) พูดถึงการดำรงอยู่ของสิ่งหนึ่งที่มีอีกสิ่งหนึ่งเข้ามา ก่อให้เกิดการขัดแย้ง สิ่งใหม่ที่เข้ามานั้นตามทฤษฎีจะเรียกว่า ปฏิกิริยา (ANTI THESISX สภาวะขัดแย้งระหว่าง ANTI THESIS กับ กิริยา ( THESIS) ก่อให้เกิดการเปลี่ยนรูป ไม่สามารถดำรงรูปเก่าได้ เกิดการเปลี่ยนรูปใหม่มาเป็น SYNTHESIS ซึ่งก็หมายถึง สหกิริยา การเกิดการขัดแย้งที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้คือการปฏิวัติ เป็นสหกิริยาที่เกิดจากการสังเคราะห์เอาส่วนที่ดีของตัวเก่าและใหม่มารวมกันไว้
กล่าวโดยสรุปกฎนี้ว่าด้วยเรื่องการมีอยู่ของสรรพสิ่ง มีของเก่า มีของใหม่ เกิดความขัดแย้งกันระหว่างของสองสิ่ง เกิดปฏิกิริยาและนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงในที่สุด การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงนี้คือการ ปฏิวัติ เป็นข้อสรุปที่ว่าหากมีเหตุปัจจัยของการขัดแย้งในลักษณะนี้ในสถานการณ์หนึ่งๆ ย่อมหลีกเลี่ยงที่จะไม่ให้เกิด การปฏิวัติ ไม่ได้นั่นเองตามกฎเกณฑ์ ในสถานการณ์ที่สุกงอมตามกฎไดเลคติดที่ว่า การปฏิวัติ จึงย่อมดีกว่าการไม่ปฏิวัติแน่นอน อันนี้เป็นกฎ
อุปมาดั่งเช่นว่า.....ถ้าคุณสมบัติของน้ำตรงกันข้ามกับไฟ มีความขัดแย้งกัน แต่ถ้าเอากาน้ำไปตั้งบนเตาร้อนๆ ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นตามลำดับ อุณหภูมิจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงนี่เราเรียกปฏิรูป (Reform) น้ำจะร้อนไปเรื่อยๆไปจนถึงขั้น จุดเดือด และเป็นจุดที่ไม่สามารถรักษารูปทรงเดิมไว้ได้ กลายเป็นควันพวยพุ่งออกมา การเปลี่ยนรูปทันทีอย่างนี้เรียกว่าการปฏิวัติ (Revolution) จากนั้นเราใช้ประโยชน์จากไอน้ำกลั่นออกมาเป็นน้ำที่บริสุทธิ์กว่าน้ำในกาที่มีตะกอนนอนก้นมากกว่า เฮเกลพิสูจน์ว่ากฎไดเล็คติด เมื่อขัดแย้งกันแล้วเกิดรูปใหม่จะบริสุทธิ์กว่ารูปใหม่เสมอ เหมือนดั่งเช่นน้ำกลั่นย่อมดีกว่าน้ำเดิม กฎทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เมื่อเปลี่ยนแปลงแล้วจะดีขึ้นกว่าเดิมเสมอไป
มีนักวิชาการบางคนแย้งว่าถ้าเปลี่ยนแปลงแล้วไม่ดีขึ้น อันนั้นไม่ใช่กฎ แต่เป็นการคิดเอาเอง จากกฎที่เฮเกลคิดขึ้นมานี่เอง ทำให้มาร์กซ์นำมากำหนดเป็นทฤษฎีขึ้นและเป็นที่มาของกฎไดเล็คติค ซึ่งมีกฎพื้นฐานอยู่ 3 อัน คือกฎการเปลี่ยนแปลงจากปริมาณไปสู่คุณภาพ กฎสิ่งตรงข้ามกันต้องขัดแย้งกัน และกฎปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ หมายความว่าไม่คงที่ เหมือนกับว่าเราจะไปยึดให้มันเป็นตัวตนอยู่ไม่ได้ ไม่มีอะไรอยู่ที่เดิม คลื่นลูกหลังจะต้องไล่คลื่นลูกหน้า
เฮเกลบอกว่าสิ่งที่ขัดแย้งกันนี้เรียกว่า วิภาษวิธีจิตนิยม คือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จิตเป็นตัวกำหนดให้มันเป็นไป สรรพสิ่งดำรงอยู่แล้วมีสิ่งอื่นมาขัดแย้ง เกิดจากจิตเท่านั้นที่กำหนดให้เป็นไป
ปรากฏว่าคาร์ลมาร์กซ์ เอาทฤษฎีนี้มาศึกษาเป็นการใหญ่ เกิดข้อสงสัย เลยไปค้นคว้าเอาทฤษฎีของ ลุดวิก ฟอยเออบัค ( LUDWIG FEUERBACH) ซึ่งเป็นคนละขั้ว ฟอยเออบักบอกว่าสรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนแต่เป็นวัตถุนิยม ไม่ใช่จิต แต่ว่าวัตถุนิยมมันเป็นธรรมชาติของมันเองและมีกลไกแต่ไม่ได้บอกว่ากลไกเป็นอย่างไร
มาร์กซ์ก็เลยผสมสองทฤษฎีนี้เข้าด้วยกันที่เรียกว่า วิภาษวิธีวัตถุนิยม โดยปฏิเสธว่าทุกสิ่งเป็นไปตามกลไก คล้ายๆมีบางสิ่งบางอย่างดลบันดาลอยู่เหมือนมีพระเจ้า
ทีนี้เรื่องมันเริ่มวุ่นก็ตรงที่มาร์กซ์ไปจับเอาทฤษฎีใหม่ที่คิดค้นขึ้นมาจากการอ่านมามองสังคมและเศรษฐกิจ เขากำหนดทฤษฎีขึ้นมาหลายๆอย่าง เช่นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ กำหนดว่าสรรพสิ่งเกิดการขัดแย้งทางเศรษฐกิจ เพราะมาร์กซ์ไปเอาวัตถุนิยมประวัติศาสตร์มาเทียบเคียง รวมทั้งทฤษฎีคู่ขัดแย้งระหว่างนายทุนกับกรรมกรในโลกทุนนิยมด้วย มาร์กซ์กำหนดกฎตายตัวว่าชนชั้นกรรมาชีพต้องมีผู้นำโค่นล้มนายทุนให้หมด แล้วเอาทุกอย่างมาเป็นของส่วนกลางแบบสังคมนิยมให้หมด
มาร์กซ์ยืนยันว่าสิ่งนี้ถูกต้องที่สุดในโลก ไม่มีอะไรในโลกเหนือกว่านี้อีกแล้ว และยังชี้นำสูงสุดอีกว่าการไม่มีชาติ ไม่มีรัฐ จะทำให้เกิดความเสมอภาคหลายๆด้าน ที่สำคัญที่สุดคือ เศรษฐกิจเสมอภาคกันเป็นโลกอุดมคติของเขา คนจนนั้นเมื่อได้ยินคำพูดว่าเสมอภาคก็เข้าร่วมกับมาร์กซ์เต็มที่
คนที่ศึกษาพุทธธรรม อภิธรรมมา บอกไม่เชื่อมาร์กซ์ ถึงแม้ว่ากฎไดเลคติคดังกล่าวจะใกล้เคียงกับการพิจารณาสังขารและความไม่เที่ยงของสรรพสิ่ง ตามบาลีที่ว่า สัพเพสังขารา คือสรรพสิ่งทั้งหลายเมื่อมีสิ่งหนึ่งเข้ามาร่วม มันจะไม่เที่ยง มันจะต้องเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าสอนชาวโลกว่าสรรพสิ่งเป็นอนิจจัง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ท่ามกลางความแปรปรวน (ขัดแย้งกัน) แล้วก็ดับไป ด้วยความไม่เที่ยง นั่นคือความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นแล้ว
ว่ากันตามพุทธธรรม กฎของมาร์กซ์นั้นมองความขัดแย้งด้านเดียว แต่ของพระพุทธเจ้าความขัดแย้งตรงนี้เป็นสังขฎธรรมก็ได้ หรือเรียกว่าสังขารก็ได้ แต่พุทธศาสนามีอีกตัวที่สูงกว่านั้นคือ อสังขฎธรรม ที่มาร์กซ์คิดไม่ถึง และคงไม่เชื่อว่ามีอยู่จริง อสังขฎธรรมเป็นกฎพื้นฐานคู่กันเฉกเช่น รูปและนาม
อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร นำเรื่องนี้มาพิจารณา แล้วก็ค้านหัวชนฝาว่าทฤษฎีของมาร์กซ์แก้ปัญหาโลกไม่ได้ เพราะมันมี อัตตา อยู่เต็มที่ และจะนำไปสู่การโค่นล้มช่วงชิงอำนาจกัน แต่ถ้าเอากฎพื้นฐานอีกตัวหนึ่งคือความไม่ขัดแย้ง เข้าไปแก้ปัญหา และเข้าถึงกฎนี้ก็จะใช้แก้ปัญหาของโลกได้หมด เพราะลึกซึ้งกว่ามาร์กซ์ นิพพานคือความไม่ขัดแย้ง ความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง ซึ่งจะต้องเริ่มจาก อนัตตา ไม่ใช่ อัตตา แบบมาร์กซ์
เราไปมองว่าศาสนาเป็นเรื่องเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงๆแล้วทางพุทธกำหนดให้รู้ว่าจักกับสิ่งภายนอกที่เข้ามาก่อให้เกิดความขัดแย้งภายใน ทำให้เกิดความรู้สึกตามมา เกิดกิเลส เกิดโลภ เกิดหลง แต่ถ้าใครทำให้สิ่งเหล่านี้หมดไป ก็จะพบอีกโลกหนึ่ง คือโลกของนิพพานหรือโลกของการหลุดพ้น สังขาร เป็นเรื่องของการเข้ามาร่วม ภาษาอังกฤษเรียกว่า Relative ถ้าอสังขฎธรรมจะเรียกว่า Absolute ซึ่งจริงๆแล้ว ความหมายก็เหมือนปรัชญาทั่วไป
เรื่องอย่างนี้คุยกับคอมมิวนิสต์ คงไม่มีวันเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นพคท.ฝ่ายรัฐบาล พคท. ฝ่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย พคท.ฝ่ายบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์ หรือฝ่ายกาฝากแอบแฝงบนเวทีปราศรัยต่างๆเพื่อสร้างและดำรง ฐานะ ให้ตัวเอง นอกจากไม่มีวันเข้าใจ ก็อาจทุ่มเถียงกันแบบไม่มีใครยอมใคร เพราะเขาไม่เคยเรียน และเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ที่ว่าความไม่ขัดแย้งไม่มีในโลก
อ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ในฐานะนักปฏิบัติธรรมเป็นคนแรกที่นำพุทธธรรมไปโต้คอมมิวนิสต์จนชนะ ใช้อสังขฏธรรมในการอธิบายเรื่องนี้ และโดยประสบการณ์ที่เคยไปร่ำเรียนทฤษฎีมาร์กซ์มาหมด จึงรู้แจ้งแทงตลอด ท่านได้ชี้แจงให้เห็นว่ารูปธรรมของความไม่ขัดแย้งก็คือสงบ สันตินั่นเอง โดยยกกรณีศึกษาสำคัญของประวัติศาสตร์โลกมาเป็นข้อพึงสังวรณ์ คือการกลายพันธุ์ของทฤษฎีของเฮเกลเป็นลัทธิเผด็จการฟาสซิสต์ที่มุสโสลินีรวมทั้งฮิตเลอร์นำไปใช้รุกรานโลก เอาความขัดแย้งไปเป็นเงื่อนไขบังคับขู่เข็ญโลก พร้อมการฆ่าทิ้งชีวิตบริสุทธ์จำนวนมหาศาล ทิ้งไว้แต่ร่องรอยความชอกช้ำทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่เกิดจากทฤษฎีผิดอันเป็นอวิชชาล้วนๆ สิ่งนี้ต่างหากคือบทเรียนที่มนุษย์ควรจดจำและหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดขึ้นอีก
ทีนี้ย้อนกลับไปประเด็นของคุณคำนูณที่ว่า ทำไมอาจารย์มหาวิทยาลัยกลุ่มดังกล่าวจึงอยู่เฉย ทั้งๆ ที่ปรากฏการณ์การขัดแย้งตามกฎเกณฑ์มันเกิดขึ้นอย่างชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว และเป็นไปตามครรลอง ปรากฎชัดเป็นรูปธรรม ยกทฤษฎีความขัดแย้งมาว่ากัน คุณคำนูณบอกว่า นักวิชาการไม่เอาศักดินาล้าหลัง เชื่อว่าทุนนิยมผูกขาดย่อมดีกว่า ความขัดแย้งเกิดขึ้นแล้ว กิริยากับปฏิกิริยา แต่ยังยืนยันจะเลือกเอาทุนนิยมผูกขาดแบบทักษิณไม่เอาศักดินา เพราะคิดว่านี่คือความฉลาดที่ทึกทักเอาว่าการนำ ทุนสังเคราะห์ ข้ามชาติมาเป็น แนวร่วม เป็นของดี แล้วสหกิริยาที่จะเกิดต่อไปคืออะไรเล่า........ ? ไม่ใครก็ใครก็บ้าแน่ ที่ไม่รู้ว่าสหกิริยากำลังจะเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ คำถามที่ถูกต้องคือใครกันแน่ที่ปฏิเสธกฎเกณฑ์ที่เรียนมา ?
.......สรรพสิ่งกำลังตั้งอยู่ท่ามกลางความแปรปรวน
.......การปฏิวัติกำลังจะบังเกิด ซึ่งเป็นไปตามกฎเกณฑ์ที่ศึกษามาทุกประการ
ประเด็นคือว่าผู้ศึกษาทฤษฎีปฏิวัติเช่นนี้อย่างเข้าใจ กลับนิ่งเฉย อย่างที่คุณคำนูณว่า อันนี้หมายความว่าอะไร ? หมายความว่าท่านๆเหล่านั้นต้องการปฏิวัติสังคมนิยมแบบคอมมิวนิสต์จึงไม่เลือกแนวทางปฏิวัติประชาธิปไตยแบบกองทัพและประชาชนเช่นนั้นหรือ ? ฤาการนิ่งเฉยคืออาการจิตเป็นใบ้ไม่รับรู้ มากกว่าจิตบริสุทธิ์ อย่างที่คุณคำนูณพยายามให้แก่กันและกันในฐานะของ สหาย
คงมิบังอาจวิจารณ์ว่าใครโง่หรือฉลาดกว่าใคร แต่อยากจะถามใจพวกท่านว่าอดีตอันเจ็บร้าวในป่ามันเกี่ยวข้องกันกับการเปิดใจกว้างยอมรับกฎเกณฑ์และสัจธรรมตามกฎเกณฑ์ ตามทฤษฎีปฏิวัติที่ท่านเคยร่ำเรียนกันมา
มากน้อยขนาดไหนต่างหาก ?
ไม่ใช่ว่าขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติหรือขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติออกมาโต้เพื่อต้องการเอาชนะ แต่เห็นว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่บรรดานักวิชาการสายในป่าเก่าน่าจะดวงตาเห็นธรรม เปลี่ยนจากมิจฉาทิษฐิมาเป็นสัมมาทิษฐิได้แล้ว
หากเข้าใจกฎเกณฑ์ ก็คงยอมรับ และเข้าร่วมกับประชาชนทางใดทางหนึ่ง แต่การอยู่เฉยนี่ย่อมหมายความว่า ไม่เอาด้วยเพราะไม่ใช่ แบบ ที่ต้องการ หรือแท้ที่จริงแล้ว อดีตนักศึกษาพคท.ที่เคยเข้าป่าในสมัย เข้าไม่ถึงอุดมการณ์และทฤษฎีไดเลคติคที่คุณคำนูณยกขึ้นมาอธิบาย ฤาว่า.....แท้จริงแล้วนี่เป็นความ ไร้เดียงสา ทางวิชาการที่ไม่รู้จริงๆ โดยไม่เจตนา
นักปฏิวัติแบ่งกลุ่มคนไว้ 3 กลุ่ม กลุ่มก้าวหน้า กลุ่มกลางๆ และกลุ่มล้าหลัง วิธีการคือใช้กลุ่มก้าวหน้ากว่ามาดึงกลุ่มกลางๆขึ้นมา กลุ่มล้าหลังทิ้งไว้ก่อน ในยามคับขัน จะเลือกไม่โต้กับกลุ่มล้าหลังให้เสียเวลา
นักศึกษาพระอภิธรรม ก็อธิบายว่า แบ่งจิตมนุษย์ไว้สามอย่างตามสภาวะจิต คือ กุศลจิต อกุศลจิตและอภยากฤตจิต คือจิตเฉยๆ ไม่เอาอะไร แต่เป็นจิตที่นักปฏิบัติธรรมไม่สนับสนุนเพราะมันสามารถกลายเป็นอกุศลจิตได้โดยง่าย เพราะว่าจิตมนุษย์มีแนวโน้มใฝ่ต่ำเสมอ
จิตเฉยๆ ทำเป็นทองไม่รู้ร้อนอย่างนี้ ไม่น่าจะใช่จิตบริสุทธิ์อย่างที่คุณคำนูณพยายามอธิบายมาในบทความ แต่เป็นจิตที่ค่อนไปทางอกุศล และแน่นอนหากดันทุรังไม่เชื่อตามกฎเกณฑ์ปฏิวัติ ทั้งๆที่ศึกษาทฤษฎีปฏิวัติมา คนกลุ่มนี้ก็จะกลายเป็นพวกล้าหลังในที่สุด
กว่าจะปฏิวัติเสร็จ....เรากำลังจะได้ทฤษฎีใหม่ขึ้นในประเทศไทย
คือเกิดกลุ่มนักวิชาการล้าหลัง ประชาชนก้าวหน้า
และมีผู้บริหารหนังสือพิมพ์ทำตัวเป็นกลาง !!! ท่านว่าเป็นไปได้หรือไม่ ?
|