Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
เขียนโดยอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เผยแผ่โดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ
 
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?
 
                    บทนำจากบรรณาธิการ
   
      
           สืบเนื่องจากภัยอันตรายที่มีต่อความมั่นคงสถาพรของสถาบันพระมหากษัตริย์ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติผู้เผยแผ่แนวทางสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 และสถาบันประเสริฐ ทรัพย์สุนทร ขอถือโอกาสนำเสนอเนื้อหาจากหนังสือชื่อ "จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร" เขียนโดยอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรซึ่งได้รับการตีพิมพ์เป็นตอนๆลงในนิตยสาร "ตะวันใหม่" ในปีพ.ศ. 2524 และต่อมาได้รับการตีพิมพ์อีกครั้งในหนังสือพิมพ์ "สยามโพสต์" ในคอลัมน์ "โลกสีฟ้า" ของนายจำลอง บุญสองในปีพ.ศ. 2539 และได้จัดพิมพ์รวมเล่มขึ้นเป็นครั้งแรกเป็นหนังสือพ็อคเก็ตบุคสำหรับแจกจ่ายในปีเดียวกัน  ในวโรกาสอภิลักขิตสมัยฉลองครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี  
           ในโลกข่าวสารอิเล็กทรอนิกส์ได้เคยนำเนื้อหาไปเผยแผ่ด้วยการโพสเป็นตอนๆในเว็บบอร์ดวิทยุผู้จัดการถึงสองครั้งเมื่อปี 2548-2549 และในปี2551 ตามลำดับ  ท่านผู้อ่านจะได้ทำความเข้าใจกับแนวทางและศึกษาปัญหาพื้นฐานของประเทศไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาลัทธิการเมืองที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของสถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์  และผู้เขียนได้เสนอแนวทางแก้ปัญหาไว้แล้วในบทสุดท้ายของหนังสือเล่มนี้  
          นับแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยเป็นประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ระหว่างขบวนการเผด็จการคอมมิวนิสต์กับขบวนการประชาธิปไตย โดยขบวนเผด็จการคอมมิวนิสต์มีขบวนเผด็จการรัฐสภาเป็น "แนวร่วม " หากขบวนเผด็จการคอมมิวนิสต์ชนะ  ประเทศไทยก็จะมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ เท่ากับว่า ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ก็จะสิ้นไป แต่หากขบวนการประชาธิปไตยชนะประเทศไทยก็จะมีการปกครองแบบประชาธิปไตย ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ก็จะมีความมั่นคงดำรงอยู่ตลอดไป 
           นายประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นผู้นำเอาพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ที่ทรงสืบทอดมาจากรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 มาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันต่อสู้เอาชนะขบวนการเผด็จการคอมมิวนิสต์ที่มีขบวนการเผด็จการรัฐสภาเป็นแนวร่วม เพื่อรักษาชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ โดยได้เสนอนโยบายต่อผู้ปกครองและประชาชนมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปีตลอดจนสิ้นอายุขัย การเสนอนโยบายของนายประเสริฐจำเพาะกลุ่มแคบลงต่อผู้ปกครอง ถ้าหากผู้ปกครองคณะใดนำไปปฏิบัติก็จะแก้ปัญหาชาติบ้านเมืองได้ แต่ถ้าผู้ปกครองใดไม่นำไปปฏิบัติก็จะพากันล่มสลายหายไปจากการเมืองการปกครองทุกคณะ  และถึงแม้จะมีผู้ปกครองบางคณะรับเอาไปปฏิบัติไม่ครบถ้วนแต่ก็มีผลใหญ่หลวงสามารถรักษาชาติบ้านเมืองไว้ได้ เช่น นโยบายต่อสู้กับทฤษฎีโดมิโนเพื่อให้ประเทศรอดพ้นจากการยึดประเทศจากคอมมิวนิสต์อินโดจีน และนโยบายเพื่อต่อสู้เอาชนะคอมมิวนิสต์ 66/23 บรรลุความสำเร็จของการสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตย เป็นต้น  
           และในโอกาสอันเป็นมงคลและในการเปิดตัวสำนักสื่อปฏิวัติทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ในแนวทางปฏิวัติสันติ  เพื่อเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์และเพื่อให้มีความมั่นคงยั่งยืนไปชั่วนิรันดรด้วยความสำเร็จของการสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย จึงมีความสอดคล้องเหมาะสมอย่างสำคัญที่สำนักสื่อปฏิวัติ จะได้นำเสนอ “จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร” ซึ่งเขียนโดย นาย ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร เป็นตอน ๆ อีกครั้งหนึ่ง
           หนังสือเล่มนี้มีทั้งหมด 28 บท ที่สำนักสื่อปฏิวัติจะนำมาทยอยลงเป็นตอนๆ อย่างต่อเนื่องไป
            
       
 
 
              บรรณาธิการ

 
              15 พ.ค. 2552
 
 

 
จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร?

-ตอน ๑-
 
 
                องค์คุณเอกภาพ 3 ประการของประเทศไทย คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ได้รับการเชิดชูขึ้นเป็นพิเศษโดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 พร้อม ๆ กับทรงเปลี่ยนธงชาติจากธงแดงรูปช้างสีขาว เป็นธง 3 สี คือ แดง ขาว น้ำเงิน เรียกว่า “ธงไตรรงค์”
                ธงไตรรงค์ คือ สัญลักษณ์ขององค์คุณเอกภาพ 3 ประการ สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของ ชาติ สีขาวเป็นสัญลักษณ์ของศาสนา สีน้ำเงินเป็นสัญลักษณ์ของพระมหากษัตริย์
                ชาติ หมายความถึง ชนชาติไทย และ ประชาชาติสยาม รวมกัน (ประชาชาติสยาม เปลี่ยนเป็นประชาชาติไทยโดยรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม พ.ศ.2482 ว่าด้วย นามประเทศ เมื่อเปลี่ยนนามประเทศจากประเทศสยามเป็นประเทศไทย ประชาชาติสยามก็เปลี่ยนเป็นประชาชาติไทย และสยามรัฐก็เปลี่ยนเป็นรัฐไทย) 
                ศาสนา หมายความถึง ศาสนาทุกศาสนาในประเทศไทย โดยเฉพาะหมายความถึงพุทธศาสนา ซึ่งเป็นศาสนาที่สอดคล้อง
กับลักษณะของชนชาติไทย และชนชาติไทยรับเอาเป็นศาสนาของตนมาแต่โบราณกาล
                พระมหากษัตริย์ หมายความถึง ประมุขแห่งรัฐว่าประเทศไทยทุกยุคทุกสมัยแต่โบราณมา มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ ไม่ว่าสภาวการณ์ทางประวัติศาสตร์และทางสังคมของประเทศไทยจะพัฒนาไปอย่างไร พระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐคู่กับชนชาติไทยเสมอไป
                องค์คุณ 3 ประการนี้ เป็นเอกภาพกัน แยกกันไม่ออก ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนกับ สีแดง สีขาว สีน้ำเงิน ทั้ง 3 สี รวมกันอยู่อย่างแยกกันไม่ได้ในธงไตรรงค์ผืนเดียวกัน
                ต่อมา เมื่อมีการปฏิวัติประชาธิปไตยเกิดขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ. 2475 รัฐบาลของระบอบประชาธิปไตยได้เพิ่มองค์คุณเข้าไปอีกองค์หนึ่ง คือ รัฐธรรมนูญ องค์คุณเอกภาพ 3 ประการจึงเปลี่ยนเป็นองค์คุณเอกภาพ 4 ประการ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์และรัฐธรรมนูญ 
                การที่รัฐบาลสมัยนั้นเพิ่มรัฐธรรมนูญเข้าไป ก็เพราะเข้าใจผิดที่ยกความสำคัญของรัฐธรรมนูญจนเกินไป ซึ่งความจริงรัฐธรรมนูญ
หาได้มีฐานะสูงส่งเสมอด้วยชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ไม่ ถ้ารัฐบาลสมัยนั้นจะยกองค์คุณใดขึ้นมาเสมอด้วยองค์คุณ 3 ประการดังกล่าว องค์คุณนั้นควรเป็น ระบอบประชาธิปไตย ฉะนั้น ถ้าจะเปลี่ยน องค์คุณเอกภาพ 3 ประการ เป็นองค์คุณเอกภาพ 4 ประการตามดำริของรัฐบาลสมัยนั้นแล้ว องคุณ 4 ประการ ควรเป็น ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และระบอบประชาธิปไตย เมื่อการเพิ่มรัฐธรรมนูญเข้าไปอีกองค์คุณหนึ่งเกิดจากความเข้าใจผิด ที่ยกความสำคัญของรัฐธรรมนูญสูงเกินไป ต่อมาองคุณรัฐธรรมนูญจึงหายไปเอง คงเหลือองค์คุณ 3 ประการ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ตามพระราชดำริอันถูกต้องของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 มาจนถึงทุกวันนี้
                และในปัจจุบัน กล่าวถึงองค์คุณเอกภาพ 3 ประการนี้นิยมกล่าวในฐานะเป็นสถาบัน คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์  คนไทยพากันรู้สึกว่า สถาบันเอกภาพทั้ง 3 นี้ เริ่มได้รับความกระทบกระเทือนเมื่อมหาอำนาจเจ้าอาณานิคมทำการคุกคามต่อประเทศหนักยิ่งขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยมหาอำนาจมุ่งจะทำลายเอกราชของประชาชาติสยาม ถ้าเอกราชของประชาชาติสยามถูกทำลายลงในครั้งนั้น จะเป็นภัยคุกคามอย่างรุนแรงต่อสถาบันพุทธศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์
 
 

- ตอน ๒ -
 
      
  
               ...ด้วยพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ภัยคุกคามจากมหาอำนาจต่อเอกราชของประชาชาติสยามถูกขจัดโดยพื้นฐาน แต่ก็ยังไม่อาจไว้วางใจได้ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงส่งเสริมความรักชาติ (Patriotism) และลัทธิชาตินิยม (Nationalism) ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ด้วยการเชิดชูองค์คุณ 3 ประการ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ขึ้นเป็นพิเศษเป็นสำคัญประการหนึ่ง ครั้งถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มหาอำนาจสังคมนิยมเข้มแข็งขึ้นอย่างรวดเร็วคู่ขนานกับมหาอำนาจเสรีนิยม ภัยคุกคามต่อประเทศไทยด้วยรูปแบบต่าง ๆ ก็ทวียิ่งขึ้น จึงจำเป็นต้องใช้มาตรการสูงสุดในการรับมือภัยคุกคาม นั่นคือ การปฏิวัติประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย เมื่อ พ.ศ.2475 
               แต่ระบอบประชาธิปไตยประสบความล้มเหลว เป็นเหตุสำคัญให้ภัยคุกคามทวีขึ้นเป็นลำดับและเลวร้ายมากในปัจจุบัน คุณบุญชู โรจนเสถียร กล่าวคำบรรยายที่กรมยุทธศึกษาทหารบก เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2524 ตอนหนึ่งว่า “ผมเห็นจะต้องเอ่ยถึงสถานการณ์ที่เห็นกันอยู่ คือ เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศเราในช่วงเวลาไม่นานมานี้ กำลังแผ่เงาดำครอบคลุมไปทั่วประเทศ ถ้าเราไม่คิดหลอกตัวเองกัน เราก็ต้องยอมรับกันว่า ทุกคนกำลังมีความกังวลห่วงใยบ้านเมืองของเรา ห่วงใยสถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชา ว่าตกอยู่ในสถานะที่อันตรายมาก แต่จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตาม พวกเรามักเก็บไว้ในใจไม่พูดถึงกัน อย่างไรก็ตาม วันนี้ผมอยากระบายแทน เพราะเห็นว่า ถ้าเราประสงค์จะอยู่รอดตลอดไป เราต้องหันหน้าเข้าสู้กับความจริง ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะลำบากยากเข็ญที่จะแก้เพียงใด หรือน่ากลัวเพียงใด เราก็ต้องพร้อมใจกันฝ่าฟันแก้ไขอย่างกล้าหาญ ไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย” (จาก “ตะวันใหม่” ฉบับที่ 175) 
               คำของคุณ บุญชู ที่กล่าวว่า “ทุกคนกำลังมีความกังวลห่วงใยบ้านเมืองของเรา ห่วงใยสถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชา ว่าตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมาก” นั้น เป็นการสะท้อนสภาพความเป็นจริงอย่างถูกต้องที่สุด  และคุณบุญชู กล่าวว่า “แต่จะเป็นด้วยเหตุใดก็ตามพวกเรามักจะเก็บไว้ในใจไม่พูดถึงกัน... วันนี้ผมจะขอระบายแทน” นั้น เรา “ตะวันใหม่” ขอรับรองให้คุณบุญชูระบายแทนเพราะรู้สึกว่าคุณบุญชูสามารถใช้คำพูดสั้น ๆ วาดมโนภาพเข้าไปถึงส่วนลึกที่สุดในหัวใจของประชาชนชาวไทย รวมทั้งของ “ตะวันใหม่” เกินกว่าความสามารถที่เราจะระบายเองได้  โดยเฉพาะที่คุณบุญชู กล่าวว่า ทุกคนกำลังห่วงใยต่อสถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชา ก็คือ สถาบันชาติ สถาบันศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นเอง 
               อย่างไรก็ดี เราเห็นว่า ความสามารถของคุณบุญชู มีเพียงแต่ระบายความในใจแทนคนไทยที่มีความห่วงใยสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชาเท่านั้น แต่ในปัจจุบันปัญหาไม่ได้มีเพียงการระบายความห่วงใย ปัญหาสำคัญที่สุดในปัจจุบัน คือ ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้สถาบันที่เราเคารพบูชา พ้นจากสภาพที่ “ตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมาก” ที่คุณบุญชูระบายออกมาอย่างตรงกับความเป็นจริงที่สุดนั้นได้  ความห่วงใยสถาบันที่เราเคารพบูชาว่าตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมาก คือ ทุกข์ แต่จะรู้ทุกข์เพียงอย่างเดียวมิได้ จะต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ และรู้หนทางแห่งความพ้นทุกข์ด้วย 
               เรารู้ทุกข์กันมามากแล้ว เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่เพียงแต่จะรำพันถึงทุกข์ บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องแก้ทุกข์และพ้นทุกข์
การที่จะพ้นทุกข์ได้นั้น จะต้องมีหนทางแก้ทุกข์อย่างถูกต้อง ถ้ามีหนทางแก้ทุกข์ไม่ถูกต้อง ก็แก้ทุกข์ไม่ได้ ไม่พ้นทุกข์แต่กลับจะทุกข์หนักยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้ 
               ความจริงคุณบุญชูไม่ได้ระบายทุกข์อย่างเดียว คุณบุญชูได้เสนอหนทางแก้ทุกข์ด้วยเหมือนกัน เช่นเดียวกับหลายคนที่ไม่เพียง
แต่ระบายความห่วงใยต่อชาติบ้านเมืองเท่านั้น หากยังเสนอวิธีแก้ปัญหาของประเทศชาติอีกด้วย  แต่วิธีแก้ปัญหานั้น มีทั้งถูกต้องและผิดพลาด วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องเท่านั้นจึงจะแก้ปัญหาได้ วิธีการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดไม่เพียงแต่จะแก้ปัญหาไม่ได้ หากยังจะทำให้ปัญหาร้ายแรงยิ่งขึ้นก็เป็นไปได้ 
               สมัยก่อนพุทธกาล มีศาสดาเป็นอันมากสอนหนทางพ้นทุกข์ แต่ไม่สามารถจะพ้นทุกข์ ก็เพราะหนทางเหล่านั้นเป็นหนทางที่ผิด
พลาด การที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก คือ การเกิดขึ้นของหนทางพ้นทุกข์ที่ถูกต้อง เรียกว่า สัมมามรรคซึ่งปฏิเสธมิจฉามรรคของศาสนาอื่นสมัยนั้น  กล่าวโดยอนุโลมกับการเมือง สัมมามรรคก็คือนโยบายที่ถูกต้อง และมิจฉามรรคก็คือนโยบายที่ผิดพลาด  เพราะ “ตะวันใหม่” เห็นตรงกับคุณบุญชูและคนอื่นว่า สถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชาตกอยู่ในอันตรายมาก จำเป็นอย่างยิ่งยวดที่จะต้องแก้ไขโดยด่วนที่สุด แต่การที่แก้ไขได้นั้น ไม่เพียงแต่จะ “ต้องหันหน้าเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ว่าความเป็นจริงนั้นจะลำบากยากเข็ญที่จะแก้สักเพียงใด หรือน่ากลัวเพียงใด เราจะต้องพร้อมใจกันฟันฝ่าแก้ไขอย่างกล้าหาญ ไม่ย่อท้อแม้แต่น้อย” อย่างคุณบุญชูว่าเท่านั้น ข้อสำคัญที่สุดจะต้องมีนโยบายที่ถูกต้องในการแก้ไขด้วย จึงจะแก้ไขได้ 
              คนไทยไม่ได้ขาดความกล้าหาญ และไม่ได้ขาดนโยบาย สิ่งที่ขาด คือ นโยบายที่ถูกต้อง คุณบุญชูได้เสนอนโยบายสำหรับแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งสถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชาตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมากไว้แล้ว เช่นเดียวกับบุคคลอื่นและคณะบุคคลอื่นได้เสนอนโยบายไว้เป็นอันมาก แต่ว่าเราเห็นว่านโยบายเหล่านั้นไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้เพราะโดยพื้นฐานแล้วยังไม่เป็นนโยบายที่ถูกต้องยังไม่เป็นสัมมามรรค
“ตะวันใหม่” ยืนยันว่า นโยบายของเราสำหรับแก้ไขสถานการณ์ซึ่งสถาบันต่าง ๆ ที่เราเคราพบูชาตกอยู่ในฐานะที่อันตรายมากนั้นเป็นนโยบายที่ถูกต้อง และถ้านำไปปฏิบัติอย่างครบถ้วนแล้ว สถาบันต่าง ๆ ที่เราเคารพบูชาก็จะพ้นอันตรายและมีความมั่นคงและยั่งยืนไปชั่วนิรันดร  
               เราจึงขอนำเอานโยบายที่เรายืนยันว่าถูกต้องนั้นมาเสนอต่อสาธารณะอีกครั้งหนึ่ง เพื่อได้โปรดพิจารณาโดยทั่วกัน  และเพื่อให้สอดคล้องแก่กาลเวลา ซึ่งใกล้อภิลักขิตสมัยเฉลิมฉลองกรุงเทพพระมหานครฯ ครบรอบ 200 ปี (ในปีที่เขียน) เพื่อเชิดชูสถาบันที่เราเคารพบูชา คือ ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ และในการเฉลิมฉลองนั้น เรียงลำดับโดยยกสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นอันดับแรก ฉะนั้น ในการนำเอานโยบายของเราเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้สถาบันที่เราเคารพบูชาพ้นจากฐานะที่ตกอยู่ในอันตรายมาและให้มีความมั่นคงยั่งยืนไปชั่วนิรันดร มาเสนอย้ำในครั้งนี้ เราขอเริ่มต้นด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยให้ชื่อเรื่องว่า “จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร”
 
 
 

(อ่านต่อตอนหน้า)
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป