มลพิษของระบบวรรณะ
เพราะถือกำเนิดมาเป็นจัณฑาล อัมเบดการ์จึงได้รับการดูถูกเหยียดหยามและเผชิญความทุกข์ยากมากมายเฉกเช่นที่ชาวจัณฑาลทั้งหลาย ในสมัยก่อนประสบพบเจอกัน ถึงกระนั้น ท่านก็ยังกระเสือกกระสนจนได้เข้าเรียนในโรงเรียนประถมศึกษาแห่งหนึ่ง ณที่โรงเรียนนั้นเอง อัมเบดการ์ ถูกเพื่อนนักเรียนและครูต่างวรรณะปฏิบัติต่อท่านด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ ตลอดจนถูกทำร้ายเสมอ บ่อยครั้งเหลือเกินที่ท่านถูกทำร้ายไม่ให้ดื่มน้ำ ทั้งนี้มิใช่ไม่มีน้ำดื่มในบริเวณโรงเรียนแต่เพราะเหตุที่ท่านเป็นจัณฑาล จึงไม่มีสิทธิ์จะได้ดื่มน้ำจากแหล่งน้ำสาธารณะร่วมกับเด็กวรรณะอื่นๆ
การปฏิบัติอย่างเหยียดหยามจากเพื่อนร่วมชั้นเรียนในโรงเรียนที่อัมเบดการ์ได้รับอีกประการหนึ่งซึ่งควรกล่าวถึง(ในที่นี้) ก็คือ ในวันหนึ่งขณะที่ครูประจำชั้นเรียกเด็กชายภิม (ชื่อเดิมของดร.อัมเบดการ์) ออกไปทำเลขคณิตบนกระดานดำหน้าชั้น ในบัดดลนั้นเองก็มีเสียงร้องอื้ออึงขึ้นทั้งชั้นเรียน สาเหตุก็คือพวกเด็กจากวรรณะฮินดูคนอื่นๆ ต่างตะโกนร้องคัดค้านไม่ให้เด็กชายภิมไปสัมผัสกระดานดำ ซึ่งจะเป็นเหตุให้กล่องใส่อาหารกลางวันของพวกเขาที่วางไว้บริเวณหลังกระดานดำพลอยแปดเปื้อนเป็นมลทินไปด้วย ผลสุดท้ายก็ต้องรีบเคลื่อนย้ายกล่องใส่อาหารทั้งหมดออกจากบริเวณนั้นก่อน เด็กชายภิมจึงถูกเรียกให้เข้าไปทำเลขคณิตบนกระดานดำหน้าชั้นเรียนต่อ
ความรังเกียจเดียดฉันท์เช่นว่านี้ได้ทำร้ายจิตใจของอัมเบดการ์อยู่ตลอดช่วงชีวิตท่าน เมื่อจะเรียกอดีตอันขมขื่นกลับคืนมา ท่านจึงได้เล่าเพิ่มเติมว่า ขณะที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ในสำนักงานของท่านสมุห์บัญชีใหญ่เมืองบาโรด้านั้น เอกสารต่างๆถูกโยนใส่ข้าพเจ้าแทนการจับส่งให้ พรมปูพื้นตรงหน้าโต๊ะทำงานของข้าพเจ้าถูกม้วนกลับ เพื่อกันมิให้พวกฮินดูวรรณะสูงต้องมายืนบนพรมผืนเดียวกันกับข้าพเจ้า
อีกตัวอย่างหนึ่ง เกิดขึ้น ณ เมืองบาโรด้านั่นเอง กล่าวคือดร.อัมเบดการ์ไม่สามารถหาบ้านเช่าอยู่ได้ เพราะผู้คนที่นั่นไม่ยอมให้คนจัณฑาลได้เช่าซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อตนเอง มีเรื่องเล่าต่ออีกว่าอัมเบดการ์ได้พยายามขอเช่าห้องพักอยู่แถวธรรมศาลาของพวกแขกปาร์ชีพื้นเมือง พอเพื่อนบ้านแถวนั้นรู้ว่าท่านเป็นจัณฑาลเท่านั้นก็พากันเฮโลมาขับไล่และทุบตีด้วยกระบองและแหลนหลาวอย่างรุนแรงจนท่านต้องปลอมตัวหลบหนีออกจากเมืองบาโรด้าไปได้อย่างหวุดหวิด
ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน
อัมเบดการ์คงรู้สึกเจ็บปวดมากที่พวกฮินดูวรรณะสูงได้ปฏิบัติต่อท่านและพี่น้องจัณฑาลของท่านเยี่ยงสัตว์ดิรัจฉานเช่นนั้น ความรู้สึกดังกล่าวได้สะท้อนไหวอยู่ในห้วงลึกของจิตใจ ท่านจึงได้ตั้งสัตย์ปฏิญาณแน่วแน่ที่จะช่วยปลดปล่อยพี่น้องจัณฑาลจำนวนนับล้านคนจากแอกคือความเป็นทาสทางสังคมนั้นให้ได้
การต่อสู้เพื่อปลดปล่อยให้ชาวจัณฑาลสู่เสรีภาพครั้งสำคัญของดร.อัมเบดการ์ได้เริ่มขึ้น เมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม ๒๔๗๐ ณ เมืองมหัท รัฐมหาราษฎร์ เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ถูกบันทึกไว้ให้เป็นเรื่องสำคัญแห่งปีพอๆกันกับกรณีทัณฑิมาร์ชของมหาตมะ คานธี เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๗๓ ดังนั้นจึงควรจะพูดเรื่องนี้กันให้ละเอียดสักเล็กน้อย
ในการปฏิบัติตามมติของรัฐสภาเมืองบอมเบย์ เทศบาลเมืองมหัทได้ออกคำสั่งให้เปิดสระโชว์ดาร์ (Chowdar) ให้คนจัณฑาลเข้าไปใช้น้ำได้ แต่คนวรรณะฮินดูกลับไม่ยอมรับคำสั่งนั้น ดร.อัมเบดการ์นักต่อสู้เพื่ออิสรภาพและผู้ปลดปล่อยมหาชนชาวจัณฑาลที่ถูกเหยียดหยาม จึงได้ตัดสินใจประกาศปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตน โดยยืนยันให้พวกจัณฑาลเข้าไปใช้น้ำในสระนั้นได้อย่างเสรี จากนั้นกลุ่มจัณฑาลทั้งชายและหญิงประมาณ 10,000 คน ได้ตอบสนองคำเรียกร้องของท่านโดยจับกลุ่มประชุมกันขึ้น ณ เมืองมหัท เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2470
วันถัดมา (วันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2470) ตัวแทนของพวกจัณฑาลก็เริ่มตั้งขบวนเดินออกจากที่ประชุมมุ่งหน้าสู่สระโชว์ดาร์ เพื่อยืนยันสิทธิอันชอบธรรมดังกล่าว ดร.อัมเบดการ์ออกเดินนำหน้าตามมาด้วยอาสาสมัครราว 10,000 คน เดินเป็นแถวเรียงสี่ผ่านถนนหลายสายในเมืองมหัทในลักษณะสงบเรียบร้อย แล้วมาหยุดที่สระโชว์ดาร์ ดร.อัมเบดการ์ จัณฑาลอัจฉริยะและมีคุณลักษณะสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นในแผ่นดินอินเดีย ได้ยืนยันสิทธิอันชอบธรรมของผู้ทุกข์เข็ญโดยแสดงการดื่มน้ำจากสระนั้น กลุ่มบริวารทั้ง 10,000คน ก็ได้ปฏิบัติเช่นเดียวกับท่าน นี่ช่างเป็นเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนหน้านี้เลย มหาชนผู้ที่ถูกตราบาปประทับไว้ว่า จัณฑาล ได้แสดงความกล้าหาญ โดยลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิอันชอบธรรมของตนในลักษณะที่งดงามปานนั้น แล้วขบวนก็ได้เดินย้อนกลับไปสู่สถานที่ประชุมครั้งแรกอย่างสงบ
ในขณะเดียวกัน ก็มีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปว่า ดร.อัมเบดการ์กับบริวารกำลังวางแผนบุก วัดวีเรศวร๒อีก กลุ่มคนคลั่งศาสนาฮินดูซึ่งเพิ่งล้มเหลว ไม่อาจกีดกันพวกจัณฑาลจากการใช้น้ำในสระโชว์ดาร์เมื่อสักครู่นี้ได้ ก็พากันเกร่ไปรวมตัวกันที่ปะรำใหญ่ ณ เวลานั้น พวกจัณฑาลส่วนใหญ่ได้กลับไปแล้ว เหลืออยู่เพียงส่วนน้อยที่ยังสาละวนเก็บข้าวของกันอยู่ มีบางคนกำลังรับประทานอาหารอยู่ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับ คนเหล่านั้นืออยู่เพียงปะรำใหญ่ รวมทั้งสตรีและเด็กไม่มีอาวุธใดๆเลย จึงถูกพวกวรรณะฮินดูทุบตีเอาอย่างไร้ความปรานี หน่วยหน้าของฮินดูได้โจมตีจัณฑาลกลุ่มใหญ่ก่อนแล้ว จึงตามไล่ตีจัณฑาลกลุ่มย่อมๆที่กำลังเดินทางกลับบ้านของตน แม้จะถูกทุบตีทำร้ายให้อับอายขนาดนั้น ดร.อัมเบดการ์ก็ยังเฝ้าเตือนบริวารของตนให้อยู่ในความสงบ อย่าทำการโต้ตอบใดๆ จากนั้นจึงเป็นอันจบการต่อสู้ครั้งสำคัญภาคแรกของกลุ่มคนผู้ซึ่งเกิดมาเป็นเหยื่อของความเหี้ยมโหดเพราะเหตุแห่งความเป็นจัณฑาล
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไปไม่นานนัก ก็มีข่าวแพร่สะพัดออกไปว่า พวกฮินดูหัวเก่าได้นัดกันมาทำพิธีชำระล้างมลทินของสระน้ำที่ดร.อัมเบดการ์และบริวารละเลงทิ้งไว้ ต่อมาเทศบาลเมื่อมหัทได้ทบทวนมติ ไม่อนุญาตให้คนวรรณะต่ำใช้น้ำในสระโชว์ดาร์ อันนี้เป็นมูลเหตุสร้างความโกรธแค้นแก่กลุ่มจัณฑาลอย่างมาก เพราะมันท้าทายหลักการนับถือตนเองและเกียรติภูมิในฐานะเป็นมนุษย์เหมือนกัน ดังนั้นพวกจัณฑาลจึงตัดสินใจก่อกวนในเมืองมหัทอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นการยืนยันสิทธิอันชอบธรรมของพวกตน คือสิทธิแห่งความเป็นมนุษย์ที่จะใช้น้ำในสระสาธารณะแห่งนั้นได้อย่างเท่าเทียมกัน
ในการนี้ พวกเขาได้เตรียมแผนการใช้ พิธีสัตยาเคราะห์๓ กันในเดือนธันวาคม ๒๔๗๐ และแล้วตอนเย็นของวันที่ ๒๕ ธันวาคมนั้นเอง ผู้เข้าร่วมพิธีสัตยาเคราะห์หลายพันคนก็ได้ทยอยกันมาถึงเมืองมหัทในท่ามกลางบรรยากาศที่ค่อนข้างจะสับสนการประชุมที่ ดร.อัมเบดการ์ได้พูดนั้น เรียกว่า การเข้าสู่ศตวรรษแห่งความเสมอภาคกันกลุ่มจัณฑาลได้รวมกันเสนอแนวคิดในการแก้ปัญหาหลายเรื่อง ซึ่งล้วนแต่มุ่งยกสถานภาพกลุ่มคนที่ถูกเหยียบย่ำทั้งหลาย ทั้งทางสังคม ศาสนา และการเมืองการปกครอง
ความน่าสนใจเกี่ยวกับ มนูสมฤติคัมภีร์เก่าแก่ของศาสนาฮินดูมีอยู่ข้อหนึ่ง คือการสนับสนุนหลักการไม่เสมอภาคกันและมี
บางตอนอนุญาตให้พวกฮินดูวรรณะสูงลงโทษพวกศูทร(จัณฑาล) ที่บังอาจแอบฟังการสาธยายพระเวทหรือสาธยายเองอย่างรุนแรง พวกเขา(จัณฑาล) มีเพียงแต่ก่นโคตรสาปแช่งคัมภีร์นี้ด้วยปากเท่านั้น หากแต่ยังลากเอาต้นฉบับไปเผาตรงหน้าปะรำพิธีอีกด้วย เมื่อได้ลงมือทำอย่างนั้นแล้ว ดร.อัมเบดการ์ได้ให้เหตุผลภายหลังว่าทำไปเพียงต้องการเรียกร้องความสนใจจากพวกวรรณะฮินดู
อีกอย่างหนึ่ง ด้วยก้าวย่างดุเดือดถึงขั้นเผาคัมภีร์ฮินดูอย่างกล้าหาญนี้ ดร.อัมเบดการ์บอกว่าเป็นเพียงขั้นตอนหนึ่งที่จะชี้ให้เห็นบาปเก่าของจัณฑาลให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
สัตยาเคราะห์ที่ ดร.อัมเบดการ์กับบริวารได้ทำลงไป ซึ่งจัดว่าสำคัญยิ่งอีกครั้งก็คือ ที่เมืองนาสิกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๒ วัตถุประสงค์ก็คือ ต้องการยืนยันสิทธิอันชอบธรรมที่จะเข้าไปในวัดฮินดู สถานที่เกิดเหตุคือวัดกลาราม เมืองนาสิก (รัฐมหาราษฎร์) เหตุการณ์ครั้งนั้นเริ่มเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ยืดยาวไปกว่าหนึ่งเดือน จนถึงวันที่ ๙ เมษายน ได้มีขบวนแห่รูปเคารพของพระรามเจ้า ซึ่งประดิษฐานอยู่บนรถยนต์แล้วขับเคลื่อนไปเรื่อยๆ พวกจัณฑาลที่ร่วมพิธีสัตยาเคราะห์บางคนได้เดินเฉียดเข้าไปใกล้รูปปฏิมานั้น พอพวกวรรณะฮินดูเหลือบมาเห็นจัณฑาลเข้าเท่านั้น ก็ถึงกับเดือดดาลเอามากๆ พากันฉวยเอากระบองและก้อนหินเข้าทุบตีขว้างปาใส่แบบไม่ยั้งมือ กลุ่มจัณฑาลมือเปล่ารวมทั้งดร.อัมเบดการ์ต่างก็ได้รับบาดเจ็บไปตามๆกัน
ข้อนี้แสดงให้พวกเราเห็นความพยายามอย่างมากของดร.อัมเบดการ์ที่จะช่วยให้ประชาชนผู้ถูกกดขี่ได้รับการปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน
ภายใต้ร่มเงาศาสนาฮินดู แต่ดูเหมือนว่าความพยายามของท่านไม่เกิดมรรคผลใดๆเลย เมื่อมาตรวจพบว่า ศาสนาฮินดูมีคำสอนเป็นเสมือนถั่วดินเปลือกแข็งที่ยากเกินกว่าจะขบให้แตก เพื่อกินเนื้อในได้เสียแล้ว ดร.อัมเบดการ์จึงได้เรียกประชุมใหญ่กลุ่มชนวรรณะเดียวกันอีกครั้ง ณ ตำบลเยียลา (Yeola) เมื่อวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๗๓ เพื่อกำหนดแนวทางที่จะดำเนินการต่อไปในอนาคต ในขณะกล่าวปราศรัยแก่ที่ประชุมใหญ่ครั้งนั้น ดร.อัมเบดการ์ย้ำเตือนให้เห็นชะตากรรมของพวกจัณฑาลทุกแง่ทุกมุม รวมถึงความเสียสละที่พวกเขาได้ทำเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิมนุษยชนที่แท้ที่ควรได้ในฐานะสมาชิกของสังคมเดียวกันในกรอบของศาสนาฮินดู ท่านได้พูดต่อไปว่า
ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะต้องตัดสินใจ มันจะไม่ดีกว่าหรือ หากพวกเราละทิ้งศาสนาฮินดูไปนับถือศาสนาอื่นที่จะให้สถานภาพทางสังคมที่เท่าเทียมกัน มีฐานะที่มั่นคงปลอดภัยและปฏิบัติต่อพวกเราอย่างเป็นธรรม
เมื่อพูดถึงตนเอง ดร.อัมเบดการ์ได้ย้ำว่า
ช่างโชคร้ายจริงๆ ที่ข้าพเจ้าเกิดมาเป็นฮินดู มันอยู่เหนืออำนาจการป้องกันของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าขอยืนยัน ณ ที่นี้ว่า ข้าพเจ้าจะไม่ขอตายในฐานะเป็นฮินดู๔
การเริ่มหันมาสนใจและเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนาของดร.อัมเบดการ์นั้นอาจกล่าวย้อนไปว่า ครั้งแรกเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ ขณะนั้นอัมเบดการ์มีอายุเพียง ๑๖ ปี เหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นเกิดขึ้น ณ เมืองบอมเบย์ ๕ เมื่อคณะญาติมิตรและผู้ปรารถนาดีต่ออัมเบดการ์ได้ร่วมกันจัดงานเลี้ยงแสดงความยินดีในโอกาสที่ท่านสอบผ่านประโยคมัธยมศึกษาของรัฐบาล เพื่อแสดงความชื่นชมกับอัมเบดการ์ท่านกฤษณชิ อรชุน เกลุสการ์ นักเขียนนวนิยายภาษามาระฐีและนักสังคมสงเคราะห์ได้มอบหนังสือภาษามาระฐีเล่มหนึ่งชื่อ พุทธจริต(ชีวประวัติของพระพุทธเจ้า) เป็นของขวัญ แสดงออกถึงความรักและมุทิตาจิตในความสำเร็จของท่าน หนังสือเล่มเล็กๆ นี้ได้ปลุกวิญญาณของเด็กหนุ่มชื่ออัมเบดการ์ให้ตื่นขึ้น(จากภวังค์) ต่อจากนั้นท่านก็ยิ่งเพิ่มความรักและความศรัทธาในพระพุทธศาสนามากขึ้นๆถึงขนาดยอมลงทุนศึกษาค้นคว้าวรรณคดีพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งในเวลาต่อมา
ในช่วงที่ดร.อัมเบดการ์มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปแล้ว ความรักปักใจและความเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาในหัวใจท่านได้เบ่งบานอย่างเต็มที่ อุดมการณ์อันงดงามของพระพุทธศาสนาได้หล่อเลี้ยงหัวใจ เป็นแรงบันดาลใจในการต่อสู้ของท่านตลอดมา ในปีพ.ศ.๒๔๗๘ เมื่อดร.อัมเบดการ์ประกาศความตั้งใจที่จะทิ้งศาสนาฮินดูไปนับถือศาสนาอื่น นักการศาสนาตัวแทนทั้งของศาสนาซิกข์ มุสลิมและคริสต์ ต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้ท่านเลือกเข้ารีตศาสนาของตน ท่านเหล่านั้นได้เสนอเงินทองก้อนใหญ่และความสะดวกสบายอื่นๆแก่ดร.อัมเบดการ์และบริวาร แต่ในขั้นสุดท้าย ดร.อัมเบดการ์ได้ปฏิเสธข้อเสนอทั้งหมดอย่างสุภาพ
--------------------------------------------------------------------------------
๒ เพราะพวกจัณฑาลถูกห้ามมิให้ไปกราบไหว้บูชาพระเจ้าในวัดฮินดูของคนวรรณะสูงด้วย:ผู้ถอดความ
๓ กิจกรรมขอความเป็นธรรมด้วยความจริงโดยไม่รุนแรง ไม่เบียดเบียนทำร้ายกัน : ผู้ถอดความ
๔ Unfortunately, I was born a Hindu. It was beyond my power to prevent that but I solemnly assure you that I will not die a Hindu.
๕ ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียเปลี่ยนชื่อมาเป็น มุมไบ : ผู้ถอดความ
(อ่านต่อตอนหน้า)