เกี่ยวกับเรา
ติดต่อสอบถาม
แผนที่และการเดินทาง
ศูนย์การเรียนรู้
ท๊อปแลนด์ฟาร์มฯ
รีสอร์ท
ศูนย์ขายผลิตภัณฑ์
บรรยากาศในคอกกวาง
สินค้าท๊อปแลนด์ฟาร์มฯ
เขากวางอ่อน
ซุปกวางสกัด 100%
สมัครรับจดหมายข่าว
Email / อีเมล์

สมัครสมาชิก
   

ท็อปแลนด์ฟาร์ม ศูนย์เพาะพันธุ์กวางที่เขาใหญ่
อินเตอร์แบบไทยๆ  รอเปิดเสรีเลี้ยงขายเพื่อส่งออก

ปัจจุบันการเลี้ยงกวางนับเป็นอีกแขนงหนึ่งของอาชีพเกษตรกร ที่ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง แต่ก็ยังอยู่ในวงแคบและจำกัดเฉพาะผู้ที่มีฐานะค่อนข้างดี ทั้งนี้
เนื่องจากการลงทุนที่สูง เพราะยังต้องนำเข้ากวางจากต่างประเทศ

เมื่อพูดถึงกวางแล้วหลายคนต้องคิดถึงเขาที่มีแขนงกิ่งก้านอันสวยงามของกวางตัวผู้ โดยเฉพาะเขาอ่อนที่มีความเชื่อกันว่าเป็นยาเสริมพลังทางเพศ ยิ่งไปกว่านั้น เนื้อกวางยังมีรสชาติเป็นที่ยอมรับของนักนิยมบริโภคอาหารป่าโดยทั่วไปด้วยเช่นกัน

การเลี้ยงกวางในระดับฟาร์มทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ของบ้านเรา ถึงแม้จะมีการโหมโรงกันมานานแล้ว แต่ก็ยังมี่จำนวนน้อย ก็ด้วยเหตุผลเพราะกวางยังมีราคาแพง ซึ่งในจำนวนฟาร์มที่มีอยู่จำนวนค่อนข้างน้อยนี้ “ท็อปแลนด์ ฟาร์ม” ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 29 หมู่ 1 บ้านซับเศรษฐี ตำบลคลองม่วง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ถือว่าเป็นฟาร์มกวางขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศไทย”

“ท็อปแลนด์ ฟาร์ม” มีชื่อเต็มๆ  ว่า “ท็อปแลนด์ฟาร์ม & คันทรี่โฮม” ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 60 ไร่ ในทำเลที่เหมาะสมและทัศนียภาพที่สวยงามนอกจากจะมีฟาร์มกวางที่ถูกสุขลักษณะ สะอาด สบายตาแล้ว พื้นที่บางส่วนยังสร้างเป็นอาคารพัก (รีสอร์ท) สำหรับผู้ไปเยือน ซึ่งปลูกอยู่บนเนินสามารถมองเห็นทิวทัศน์ได้รอบด้านอีกด้วย

คุณวันชัยและคุณปราณี ศิริธรรม ลองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของได้ยึดหลักปรัชญาที่ว่า “ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ นั่นแหละคือสิ่งที่จะต้องทำ” หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ทำอะไรที่แหวกแนวกว่าชาวบ้านเขา ไม่ทำตามใคร ทั้งคู่มีไฟและมีเลือดของเกษตรกรนักสู้อยู่เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะคุณวันชัย หรือที่เพื่อน ๆ เรียกแต่ชื่อเล่นว่า “กล้วย” นั้น เมื่อพูดถึงประสบการณ์ทางด้านการเลี้ยงสัตว์แล้วเห็นจะไม่น้อยกว่า 10 ปี ภายในฟาร์มแห่งนี้ส่วนที่เป็นกรงเลี้ยงมีรั้วรอบขอบชิดจะบรรจุกวางพันธุ์ “รูชา” (RUSSA) และ “ฟอลโล่” จำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า 300 ตัว ซึ่งทั้งคุณวันชัยและคุณปราณีต่างมีความมุ่งมั่นว่าจะพัฒนาฟาร์มแห่งนี้ให้เป็นฟาร์มตัวอย่าง เพื่อเกษตรกรผู้สนใจเลี้ยงจะได้นำกลับไปทำตามได้เมื่อมาดูรูปแบบและวิธีดำเนินงาน

ก่อนที่จะตัดสินใจเลี้ยงกวางเป็นอาชีพ คุณวันชัย บอกว่า ได้ศึกษาเรื่องราวของกวางมาพอสมควร และคิดว่าน่าจะเลี้ยงเป็นอาชีพที่ยั่งยืนและมั่นคงได้ จึงซื้อกวางพันธุ์รูชา อายุเกือบ 2 ปี ตัวเมียมีลูกติดมาด้วย จำนวน 2 คู่ ตัวผู้ 2 ตัว ตัวเมีย 2 ตัว เมื่อปี 2537 โดยนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย พร้อมกับกรมปศุสัตว์ ในราคาตัวละ 48,000 บาท นับว่าเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงในขณะนั้น

นายวันชัย บอกว่า กวางรูชาที่ซื้อมาสองคู่แรกได้ตกลูกมาให้ได้ เลี้ยงเพิ่มอีกสองตัวหลังจากที่นำมาดูแลประมาณ 8 เดือน ก็มีกำลังใจ เพิ่มขึ้นและพยายามพัฒนาปรับปรุงการเลี้ยงดูเรื่อยมา และไม่นานก็มีกวางอยู่ในความรับผิดชอบเพิ่มเป็น 10 ตัว ในระยะเริ่มต้น มีผู้สนใจสั่งซื้อลูกกวางไปเลี้ยงจนแทบผลิตไม่ทัน

เมื่อกระแสตอบรับออกมาดีอย่างนี้ ทำให้ทั้งคุณวันชัยและคุณปราณี มีความ กระตือรือร้นที่จะเลี้ยงต่อไป และรู้สึกว่าถูกโฉลกกับกวางมีเท่าไรก็ขายได้ ดังนั้น จึงได้ติดต่อกับบริษัทนำเข้ากวางเพื่อสั่งซื้อเพิ่มอีก 200 ตัว ถึงตอนนี้คุณวันชัย บอกว่าเป็นการทำธุรกิจในรูปแบบที่มีการตลอดเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างเต็มตัว ต้องใช้ความสามารถของตัวเองอย่างเต็มที่ และคิดว่าจะไม่พึ่งหน่วยงานใด ๆ ของรัฐทั้งสิ้น

“ตอนนั้นผมต้องยอมเป็นหนี้เพื่อหาเงินไปซื้อกวางในราคาตัวละสองหมื่นบาท ทั้งๆ  ที่ยังไม่รู้ว่าจะมีปัญหาอะไรหรือเปล่า แต่ก็นับว่าเป็นความโชคดีเพียงไม่กี่เดือนหลังจากซื้อเข้ามาก็ขายได้ไปกว่าครึ่ง ส่วนที่เหลือก็ทำเป็นพ่อแม่พันธุ์เพาะขยายพันธุ์ขายได้ในราคาตัวละสามหมื่นบ้างสี่หมื่นบ้าง”

ในอนาคตคุณวันชัย บอกว่า จะสามารถทำได้เต็มรูปแบบและจุพัฒนาไปสู่ความเป็นอินเตอร์ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นกวางที่มีชีวิต กวางชำแหละ เขา หนัง และส่วนต่าง ๆ ที่มีประโยชน์จะดำเนินการเพื่อการส่งออกทั้งสิ้น ขณะนี้ได้ขอจดทะเบียนด้านการค้าเพื่อการส่งออกแล้ว เพื่อรองรับการเพิ่มจำนวนกวางในประเทศไทย โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลเปิดให้มีการเลี้ยงกวางอย่างเสรี

ทุกวันนี้นอกจาก ท็อปเลนด์ ฟาร์ม จะมีกวางพันธุ์เสรี และฟอลโล่ ประมาณ 300 ตัวแล้ว บนเนื้อที่ 60 ไร่ ยังประกอบด้วยพืชผัก พันธุ์ไม้ผล และพันธุ์ไม้ต่างๆ  รวมทั้งหญ้าที่จะเก็บเกี่ยวมาให้เป็นอาหารกวาง ซึ่งทุกตารางนิ้วไม่มีการใช้สารเคมีหรือยาฆ่าแมลงใด ๆ ทั้งสิ้น และที่สำคัญคุณวันชัย บอกว่า ได้ใช้มูลกวางไปใส่เป็นปุ๋ยให้กับมะนาว มะไฟที่ปลูกไว้ปรากฏว่าได้ผลงามสะพรั่ง
 ด้านความต้องการที่จะเลี้ยงกวางของเกษตรกรในปัจจุบัน คุณวันชัย อธิบายว่า เกษตรกรได้มาติดต่อขอซื้อกวางไปทำเป็นพ่อแม่พันธุ์จำนวนมาก และว่าไม่เกินสิ้นปีนี้กวางที่เพาะเลี้ยงไว้คงจะเหลือเพียงไม่กี่ตัว จึงจำเป็นต้องเร่งขยายพันธุ์เพิ่มเพื่อให้ทันกับความต้องการของผู้สนใจที่จะเลี้ยง

กวางรูซานี้ คุณวันชัย บอกว่า เป็นกวางที่ผสมติดง่ายให้ลูกดกเป็นสัดตลอดปี ตัวผู้ที่สมบูรณ์จะมีน้ำหนัก 50 กก. ขึ้นไป และจะเริ่มผสมพันธุ์ ตัวเมียจะมีน้ำหนัก 40 กก. ขึ้นไปหรืออายุ 13 เดือนก็สามารถทำเป็นแม่พันธุ์ได้ ระยะเวลาอุ้มทิ้งนาน 8 เดือน หรือ 233 วัน (2 ปี มีความสามารถให้ลูกถึง 3 ตัว)

สำหรับเนื้อของกวางรูซาจะมีลักษณะไขมันน้อย ละเอียด มีเปอร์เซ็นต์ซากสูง เมื่อผ่าซากจะได้เนื้อมากถึง 80% ของน้ำหนักตัว จะได้เนื้อแดงประมาณ 62.5% เอ็นประมาณ 2.4% ส่วนกระดูกนั้นชาวจีนนิยมนำไปป่นทำเป็นแคลเซียม เอาไปต้มกับน้ำดื่ม เอ็นโคนหาง และอวัยวะเพศของตัวผู้ มีความเชื่อกันว่า เมื่อกินเข้าไปแล้วจะสามารถเพิ่มพลังทางเพศได้เป็นอย่างดี ราคาขายเนื้อกวางโดยทั่วไปจะอยู่ที่ กก. ละ 500-600 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสถานที่และความนิยมของผู้บริโภค บางแห่งอาจจะสูงกว่านี้ กระดูก กะโหลก และทุกส่วนของกวางล้วนแต่มีค่าขายได้มีราคาแทบทั้งสิ้น

คุณวันชัย  ได้อธิบาย ถึงการเลี้ยงกวางที่ทำอยู่ทุกวันนี้ ว่ากวางบางส่วนเลี้ยงไว้เพื่อตัดเขาอ่อน ซึ่งกวางที่มีเขาจะมีเฉพาะตัวผู้เท่านั้น เขากวางอ่อนจะผลิตได้ทุกปี เขากวางอายุ 2 ปี จะมีน้ำหนักประมาณ 2 กก. และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุของกวาง การตัดเขาจะทำได้ปีละครั้ง ซึ่งเขาอ่อนจะตัดได้ก็ต่อเมื่อกวางอายุได้ 45 วัน และมีระยะเวลาตัดได้นานถึง 15-20 ปี

เขากวางสดจะมีราคาสูงถึง กก. ละ 10,000 – 15,000 บาท การตัดแต่ละครั้งในแต่ละตัว จะสามารถทำเงินให้ได้ประมาณ 25,000 – 30,000 บาท กวางแต่ละตัวจะให้ประโยชน์คิดเป็นเม็ดเงินต่อครั้งประมาณ 30,000 – 40,000 บาท

การตัดเขากวางให้ได้คุณภาพดีและมีมาตรฐาน คุณวันชัย บอกว่า อายุกวางจะต้องอยู่ที่ 2 ปี – 2 ปีครึ่ง โดยช่วงที่ 3 ของเขาแก่ที่หลุดประมาณ 6 เดือน จะขึ้นตุ่มและมีขนบาง ๆ ขึ้นที่หัว จากนั้นก็นับจำนวนวันแรกไปถึง 45 วัน จึงตัดได้ วิธีตัดจะต้องให้เหลือตอไว้ประมาณ 5 ซ.ม. โดยจะใช้เลื่อยไฟฟ้า หรือเลื่อยธรรมดาก็ตัดได้ แต่ควรใช้เลื่อยมือธรรมดาจะดีกว่า เพราะไม่มีความร้อนไปทำเซลล์ของเขากวางตาย การตัดเขาแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 3 นาที

การเตรียมตัวสำหรับผู้จะเลี้ยงกวางเป็นอาชีพ คุณวันชัย แนะนำว่า ขั้นแรกจะต้องเตรียมโรงเลี้ยงหรือคอกที่เหมาะสม การทำจะไม่ทำให้เป็นสี่เหลี่ยม เพราะ กวางเป็นสัตว์ที่ตื่นตกใจง่าย เมื่อวิ่งไปชนกับเหลี่ยมได้รับอันตราย ซึ่งการสร้างคอกจะต้องสร้างให้กลมกลืนกับธรรมชาติมากที่สุด

ลักษณะของคอกควรจะมีรูปร่างโค้งเว้า เมื่อกวางตื่นจะวิ่งไปตามสันโค้งและไม่ชนเหลี่ยมชนมุม พื้นคอกจะต้องปรับให้เสมอกัน เพื่อรักษากีบเท้าของกวาง เนื่องจากกวางเป็นสัตว์ขาเล็ก ถ้าพื้นเป็นหลุมบ่อ จะทำให้เกิดอุบัติเหตุถึงขาหักได้ ที่สำคัญจะไม่เกิดน้ำขังที่อาจก่อให้เกิดโรคระบาดได้

โดยธรรมชาติของกวางจะชอบอยู่ในทุ่งหญ้าโปร่ง คอกเลี้ยงจะต้องทำให้โปร่งเหมือนธรรมชาติที่สุด หมั่นดูแลทำความสะอาดโรงเรือนเป็นประจำทุกวัน ทุกเช้าควรใช้คราด คราดเอาหญ้าที่กวางกินเหลือและมูลกวางออกให้หมด น้ำต้องสะอาดอยู่เสมอหรือเปลี่ยนทุก 3 วันเศษหญ้าที่มีมูลของกวางติดมาด้วย สามารถนำไปใช้เป็นปุ๋ยใน แปลงพืชผักและใส่ต้นไม้ทั่วไปแทนปุ๋ยวิทยาศาสตร์ใช้ได้ผลดี ช่วยลดต้นทุนสำหรับผู้ที่ปลูกผักหรือไม้ผลไม้ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งเป็นการสร้างอาชีพเสริมได้อีกทางหนึ่งด้วย

นอกจากนี้ เกษตรกรผู้เลี้ยงจะต้องทำการถ่ายพยาธิทุก 6 เดือน และฉีดวัคซีนเมื่อกวางมีอายุครบ 6 เดือน ซึ่งการเลี้ยงกวางนั้น  คุณวันชัย บอกว่าจะต้องเน้นที่ความสะอาดเป็นหลัก เพราะถ้ามีความสะอาดแล้วโรคและเชื้อราต่างๆ  จะไม่มารบกวนการให้อาหาร

กวางรูซ่าแต่ละตัวจะกินอาหารจำพวกพืช หญ้า วันละ 2 กก./มื้อ จะให้อาหารวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ส่วนใหญ่จะเป็นหญ้าขนและใบไม้ต่างๆ  ต้องควบคุมไม่ให้กวางกินอาหารมากเกินไป เพราะถ้ากวางอ้วนจะผสมไม่ติด

ภาชนะที่ใส่อาหารควรทำเป็นตะแกรงรูปวงกลมยกให้สูงจากพื้นประมาณ 50 ซ.ม. ขนาดกว้างประมาณเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.50 เมตร หรือตามความเหมาะสมกับสถานที่ เพื่อให้กวางล้อมวงกินได้ทั้งหมดคอกกวางที่เหมาะสม ต้องล้อมรั้วด้วยลวดตาข่าย ขอบล่างติดพื้นดิน คอกกัก  คอกโชว์ คอกแยก ควรมีพื้นที่ประมาณ 100 เมตร ขึ้นไป ต้องมีแปลงหญ้าสำหรับให้กวางไว้แทะเล็ม และทำหลาย ๆ แปลงเพื่อสับเปลี่ยนให้หญ้าในอีกแปลงที่ถูกกวางกินได้รับการฟื้นต้นรวมทั้งต้องสร้างหลังคาไว้สำหรับร่มเงาให้กวางได้พักผ่อน พื้นที่สำหรับกวางอยู่อาศัย (แบบขังกรง)

กวางอุ้มท้องใกล้คลอดและช่วงเลี้ยงลูก ควรใช้พื้นที่ 100 ตารางเมตร/ ตัว ส่วนกวางขนาดทั่วไปจะใช้พื้นที่ 50 ตารางเมตร/ตัวพื้นที่สำหรับกวางอยู่อาศัย (แบบปล่อยแปลง)
 คิดตามปริมาณความต้องการอาหาร (วัตถุแห้ง) โดยลูกกวางอายุต่ำกว่า 6 เดือน กินอาหารวันละ 1.1 กก. กวางเพศผู้อายุ 18 เดือน กินอาหารวันละ 1.5 กก. กวางเพศผู้เต็มวัย กินอาหารวันละ 1.7 กก. กวางเพศเมียเต็มวัย กินอาหารวันละ 1.0 กก.

การผสมพันธุ์แม่กวางมีโอกาสติดลูกสูงหลังการผสมพันธุ์เพียงครั้งเดียวทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความสมบูรณ์ การให้อาหาร เกลือแร่ แร่ธาตุที่สำคัญ โดยจะใส่ไว้ในรางที่ไม่สูงจนเกินไป เพื่อป้องกันลูกกวาง ตกลงไปได้รับบาดเจ็บหรืออาจถึงตายได้

ลูกกวางแรกเกิดจะมีน้ำหนัก 4-5 กก. เมื่ออายุ ได้ 6 เดือน ควรแยกลูกกวางออกจากแม่กวาง ซึ่งระยะนี้ผู้เลี้ยงสามารถจำหน่ายลูกกวางให้กับผู้สั่งซื้อ หรือเกษตรกรในราคาตัวละ 15,000 – 25,000 บาท โดยต้องมีความสมบูรณ์เป็นสำคัญการดูแลแม่กวางก่อนและหลังคลอด

ผู้เลี้ยงควรแยกแม่กวางที่อยู่ระหว่างการอุ้มท้อง หรือหลังคลอดให้อยู่ในแปลงเลี้ยงที่มีร่มเงา หรือมีต้นไม้สูงที่ให้ร่มเงาคลอดตามธรรมชาตินี้แม่กวางจะไม่กัดลูกของมัน และอย่าพยายามไปจับลูกกวางแรกเกิดเพราะแม่กวางจะเขี่ยลูกทิ้งทันทีโดยธรรมชาติแม่กวางจะหาที่คลอดเอง

ลูกกวางเมื่อคลอดออกมาแล้วประมาณ 10-20 นาที ก็จะสามารถเดินได้ และไม่ควรแยกกวางที่เกิดใหม่จากแม่ของมันเพราะอาจจะทำให้ลูกกวางตายได้ ต้องให้แม่กวางเลี้ยงของมันเองตามธรรมชาติวิธีสังเกตแม่กวางตั้งท้อง

ผู้เลี้ยงสามารถรู้ว่าแม่กวางตัวไหนตั้งท้อง ด้วยการสังเกตดูถึงความอวบอิ่มที่ผิดปกติ รวมถึงอวัยวะเพศที่บวมเป่ง และอาการซึม ซึ่งจะเป็นอาการแพ้ท้อง มักกินอาหารน้อยลง เมื่อท้องได้ 3 เดือนแม่กวางจะกินอาหารมาก และจะกินอาหารมาก และจะกินทุกอย่างไม่ว่าอาหารสดหรืออาหารแห้ง

ระยะนี้ควรให้อาหารเม็ดที่มีโปรตีนสูง 3-6 เดือน หลังจาก 6 เดือน ไปแล้ว ควรหยุดให้อาหารเสริมทันที เพราะถ้าให้ต่อไปจะทำให้กวางคลอดลูกยาก เมื่อคลอดแล้วไม่เกิน 1 เดือน แม่กวางก็สามารถผสมพันธุ์ได้เมื่อร่างกายสมบูรณ์ดีโรคและการป้องกัน

โรคที่มักพบในกวางเช่น โรคพยาธิ ไข้หวัด ท้องเสียที่เกิดจากกินอาหารหมักหมม ซึ่งเมื่อกวางมีปัญหาเหล่านี้จะเงื่องหงอยหัวหูห้อยตก จึงจำเป็นที่ผู้เลี้ยงจะต้องทำการถ่ายพยาธิ ซึ่งจะต้องทำ เป็นประจำทุกปี จากการสังเกตพบว่า กวางอายุ 12-15 เดือนมักป่วยมากกว่ากวางที่มีอายุมากความต้องการของตลาด

เนื่องจากกวางยังเป็นความแปลกใหม่ของตลาด และการขยายตัวยังไม่เป็นที่กว้างขวาง การชำแหละเนื้อขายไม่มีการทำกันอย่างแพร่หลาย ปัจจุบันแค่ขายตัวเป็น ๆ เพื่อทำเป็นพ่อแม่ พันธุ์ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ ซึ่งผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ที่มีอยู่จำนวนน้อยยังมีโอกาสทำตลาดได้อีกยาวไกล ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

คุณวันชัย บอกว่า ทุกวันนี้ได้พยายามเพาะขยายพันธุ์กวางรูซา ซึ่งมีความ ทนต่อสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยได้ เป็นอย่างดี ให้เพียงพอกับความต้องการของผู้สนใจเลี้ยง ได้ตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะเป็นผู้ชำแหละเนื้อกวางเพื่อการบริโภคทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยจะเพิ่มจำนวนกวางให้ได้ 500 ตัวภายในปี 2545 ทั้งนี้ ก็ด้วยความหวังที่ว่า ผู้บริโภคจะได้บริโภคเนื้อกวางที่มีราคาถูกลง และหากว่ากรมปศุศัตว์ เปิดให้มีการเลี้ยงกวางอย่างเสรีขึ้นมาเมื่อไร ผู้บริโภคที่นิยมรับประทานเนื้อกวางก็จะได้รับอานิสงค์ทันที

ทั้งนี้ คุณวันชัย บอกว่าต้องการให้เกิดการรวมตัวกันของกลุ่มผู้เลี้ยงกวาง เพื่อการต่อรองกับตลาด เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานไหนเข้ามาแก้ไขปัญหากรณีพ่อค้าคนกลางเอารัดเอาเปรียบผู้เลี้ยง ซึ่งถ้าผู้เลี้ยงมีการรวมกลุ่มกันอย่างเป็นปึกแผ่นและเป็นองค์กรที่มีศักยภาพ ก็จะเป็นเครื่องมือต่อรองกับพ่อค้าคนกลางได้

คุณวันชัย บอกว่า เกษตรกรที่สนใจเลี้ยงกวางเป็นอาชีพสามารถศึกษาหาข้อมูลอย่างละเอียดได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งศูนย์เพาะพันธุ์กวางของคุณวันชัย พร้อมที่จะให้ข้อมูลอย่างไม่ปิดบังอีกทั้งยังจะส่งเสริมให้มีการเลี้ยงอย่างเป็นระบบ ที่มีรูปแบบสหกรณ์เข้ามาเกี่ยวข้อง รับประกันราคาซื้อคืนที่สูงกว่าท้องตลาดทั่วไป

สำหรับผู้สนใจคุณวันชัย กระซิบบอกมาว่า จะต้องถามใจตัวเองก่อนว่า มีความรักที่จะเลี้ยงแค่ไหน ศึกษาเรื่องราวของกวางมาอย่างถ่องแท้หรือยัง ที่สำคัญต้องกล้าได้กล้าเสีย และเป็นคนที่มองการณ์ไกล ไม่จดจ่อ ถ้ามีทุกอย่างครบถ้วนก็จะทำให้การทำอาชีพเลี้ยงกวางเป็นไปอย่างมีอนาคต

ต้องการข้อมูลการเลี้ยงกวางให้ประสบความสำเร็จ หรือเข้ารับการอบรมความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงกวาง สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่คุณวันชัย ศิริธรรม หมายเลข โทรศัพท์ (01) 966-4290 และ (01) 917-4058 หรือจะติดต่อมาที่นิตยสารเทคโนโลยีเกษตรแนวใหม่ ก็จะได้รับสิทธิพิเศษ เพื่อเข้ารับการอบรมการเลี้ยงกวางโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกันข้อมูลจำเพาะ

เขากวางซึ่งเรียกว่า ANTLERS จะมีลักษณะเฉพาะตัว เขาตัน ไม่มีปลอกหุ้มเหมือนโค กระบือ  หลังจากที่เขาหลุดเนื่องจากวงจรเขาอ่อนในระยะนี้จะมีเซลล์เนื้อเยื่อดันจนเขาแก่หลุดไป เซลล์เนื้อเยื่อนี้จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนสามารถปิดรอยแผลของเขาเก่าที่หลุดไปเหมือน  CAMBIUM ของเนื้อไม้ ที่ปิดหุ้มรอยแผลของลำต้น เมื่อเซลล์เนื้อเยื่อหุ้มปิดสนิทก็จะเริ่มเจริญขึ้นเป็นทรงเขา เริ่มแตกกิ่งคู่แรกประมาณ  1-2 เดือน

หลังจากนั้น เขากวางจะเริ่มแตกเจริญต่อไป และจะเริ่มแตกกิ่งปลายเขาเมื่อประมาณ 3 เดือน ช่วงนี้จะสังเกตเห็นลูกอัณฑะของกวางจะหดเข้าไปในช่องท้อง เนื่องจากต้องระวังเขาอ่อนของมัน และจะแสดงนิสัยดุดัน ก้าวร้าว ขวิดและสู้กัน ในฝูง ดังนั้น ในฤดูที่กวางเขาแก่กวางในฝูงจะมีแผลเหวอะหวะไปทั้งตัว

ดังนั้น การตัดเขาจึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะลดอันตรายจากกวางด้วยกัน และผู้ที่จะเข้าไปจัดการเรื่องต่าง ๆ ในฝูง เขากวางที่ตัดออกสามารถนำไปใช้ประโยชน์อย่างมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ แทนที่จะปล่อยให้แก่เป็นหินปูนอย่างเปล่าประโยชน์

การตัดเขากวางจะเริ่มตัดเมื่อเขากิ่งสุดท้ายเริ่มแตกแยกออกจากพันยาวไม่เกิน 2 นิ้ว ช่วงนี้เขาจะเจริญเติบโตแยกออกจากกันยาวไม่เกิน 2 นิ้ว ช่วงนี้เขาจะเจริญเติบโตเร็วประมาณวันละ 1.2 ซ.ม. หรือจะคำนวณจากการหลุดของเขาไม่เกิน 90 วัน การตัดเขากวางอ่อน เมื่อตัดครั้งแรกผ่านไปเขาจะงอกขึ้นมาใหม่เป็นครั้งที่สองและใช้ประโยชน์ได้เช่นเดิม

เขากวางที่ถูกตัดออกมาไม่เหมือนการควักดีหมี หรือ การฆ่าหมีเพื่อเอาอุ้งตีน ไม่เป็นภาพที่โหดร้ายทารุณ เป็นการจัดการที่เปรียบเสมือนการตัดเขาโคในฝูงที่จะก่อให้เกิดอันตรายกับผู้เลี้ยงและสัตว์ในฝูง แต่เขากวางที่ตัดออกมานอกจากจะเป็นประโยชน์ดังกล่าวแล้ว ยังมีค่ามหาศาล เมื่อเทียบค่าการลงทุนสามารถสร้างรายได้เป็นอาชีพที่ทำให้เกษตรกรใช้เป็นทางเลือกใหม่ได้เมื่อเทียบกับการทำอาชีพอื่นประโยชน์ของเขากวางอ่อน

จากการศึกษาของนักวิชาการชาวนิวซีแลนด์ พบว่าเขากวางอ่อนมีการใช้กันมานาน ในประวัติศาสตร์อันยาวนาน ของตำรายาจีน บันทึกว่า เขากวางอ่อนที่ได้จากการตัดทุก ๆ ปี ในช่วงเวลาของการเจริญเติบโตระยะ ที่เหมาะสม โดยจัดแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนบน (ปลายเขา) มีสรรพคุณเป็นยาป้องกันโรคสำหรับเด็กและวัยรุ่น ส่วนกลางมีสรรพคุณใช้รักษาโรคไขข้อ และ ภาวะกระดูกอักเสบ ส่วนล่างสุดจะมีประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ ที่มักขาดแร่ธาตุแคลเซียม

นอกจากนี้ ในตำรายาจีนยังใช้เขากวางอ่อนเป็นตัวยาหลักเพิ่มเลือด ทำให้มีสุขภาพดีขึ้น ร่างกายกระปรี้กระเปล่า หรือทำให้เกิดพลังงานที่สมบูรณ์ เป็นต้นคุณสมบัติทางยาเมื่อมีการบริโภคเขากวางอ่อน

  • เพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกาย เพื่อสมรรถนะแก่นักกีฬา รักษาโรคโลหิตจาง
  • รักษาประจำเดือนและการผิดปกติในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนแล้ว
  • ช่วยต้านเชื้อโรค รักษาอาการฝ่ามือเท้าเย็น เพื่อการไหลเวียนของโลหิตในร่างกาย
  • แก้อาการผิดปกติทางเพศของบุรุษ (กามตายด้าน)
  • ช่วยเพิ่มเม็ดเลือดแดง แก้ร่างกายขาดแคลเซียม
  • แก้การผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร
  • รักษาโรคไขข้ออักเสบ และโรคปวดตามข้อ

ส่วนประกอบต่างๆ ของเขากวางอ่อน ซึ่งเป็นเนื้อเยื่อกระดูกที่กำลังเจริญเติบโต ส่วนใหญ่มักประกอบด้วยสารอินทรีย์ถึง 54% ที่เหลือเป็นน้ำและเถ้า (เป็นสารประกอบของแคลเซียม ฟอสฟอรัส และ แมกนีเซียม) สารอินทรีย์ประกอบที่พบ เป็นพวกสเตียรอยด์ รวมถึงเอสโตเจนในเขากวางอ่อน เมื่อก่อนรู้จักกันดีในทางเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ

กวาง ยุคปี พ.ศ. 2544 ไปทางไหน

1.สถานการณ์การผลิตกวางและผลิตภัณฑ์ในปัจจุบัน และแนวโน้มตลาดในอนาคต
 เนื่องจากการที่จะนำกวางป่าซึ่งมีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยมาเพาะเลี้ยงเพื่อเศรษฐกิจในปัจจุบันยังไม่สามารถกระทำได้ เพราะยังติดขัดที่จะต้องสำแดงที่มาของกวางป่าว่าต้องเป็นลูกที่เกิดจากฟาร์มเพาะเลี้ยงซึ่ง ในข้อเท็จจริงฟาร์มดังกลบ่าวแทบไม่มีอยู่เลย ดังนั้นจึงทำให้ผู้ที่ประสงค์จะนำมาเพาะเลี้ยงไม่สามารถจัดหาทางเลือกอื่นที่ไม่ขัดต่อกฎหมายมาบริการแก่สมาชิก และกวางรูซา (Cervus timorensis russa) ซึ่งเป็นกวางเมืองร้อนมีเลี้ยงกันมากในเกะนิวคาลิโดเนียและประเทศ ออสเตรเลีย จึงเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับเกษตรกรผู้สนใจเลี้ยงกวาง

ในช่วง 5 ปีมานี้สหกรณ์จึงได้นำพันธุ์กวางรูซาเข้ามาแล้วประมาณ 1,000 ตัว โดยล่าสุดนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียเมื่อกลางปี พ.ศ.2543 จำนวนประมาณ 200 ตัว กวางเหล่านี้กระจายกันไปเลี้ยงตามจังหวัดต่าง ๆ  ทั่วประเทศ คาดว่าปัจจุบันมีจำนวนประมาณ 5,000 ตัว จากการรวบรวมข้อมูลพบว่ากวางรูซาสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของไทยได้เป็นอย่างดี และนอกจากนั้นเกษตรกรผู้เลี้ยงกวางก็ได้มีการพัฒนาวิธีการจัดการฟาร์มจนปัจจุบันน่าจะกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องที่ลงตัวหมดแล้ว จึงนับว่าเป็นเทคโนโลยีการเลี้ยงกวางเพื่อเศรษฐกิจของคนไทยได้แล้ว

ในด้านการตลาดนั้น สิ่งแรกที่ได้ดำเนินการโดยสหกรณ์ฯ มาโดยตลอดคือการส่งเสริมให้ฟาร์มกวางของสมาชิกผลิตพันธุ์กวางรูซาออกมาจำหน่าย ซึ่งในระยะ 4-5 ปี ที่ผ่านมาก็ได้มีการซื้อ-ขายพันธุ์กวางรูซาในระหว่างเกษตรกรสมาชิกด้วยกันเอง ทั้งนี้โดยสหกรณ์ได้ประสานเชื่อมโยงให้ผู้ขายพบกับผู้ซื้อโดยตรงและสหกรณ์ได้ประกาศเกณฑ์ราคากลางเพ่อใช้เป็นราคาอ้างอิงในการเจรจาตกลงราคากันด้วย

ในอีกด้านหนึ่งของการตลาดนั้นสหกรณ์ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เนื้อสัตว์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสน พัฒนาวิธีการแปรสภาพจากเขากวางอ่อนสดไปเป็นผงแห้งมีความชื้นไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ และบรรจุแค็ปซูลซึ่งสะดวกแก่การเก็บรักษาและนำไปบริโภค ช่วงปี พ.ศ. 2543 ได้รับซื้อเขากวางอ่อนที่ตัดและแช่แข็งอย่างถูกวิธีจากสมาชิกสหกรณ์จำนวนกว่า 100 กิโลกรัม คิดเป็นมูลค่ากว่า 300,000 บาท

โดยราคาที่เกษตรกรได้รับนั้นคิดจากน้ำหนักสดกิโลกรัมละ 3,000 บาท สำหรับการจำหน่ายเขากวางอ่อนในแค็ปซูลนั้น เนื่องจากสหกรณ์ยังไม่ได้ลงทุนสร้างโรงงานที่ถูกต้องตามมาตรฐานแบบแผนการผลิตจึงทำให้ยังไม่สามารถยื่นเรื่องขออนุญาตจากสำนักงานคระกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ ดังนั้นจึงยังคงใช้ระบบขายตรงสู่ผู้บริโภคที่ยินดีซื้อเท่านั้น ภายในปีพ.ศ. 2544 คาดว่าจะสามารถดำเนินการในส่วนนี้ให้แล้วเสร็จซึ่งก็จะทำให้สามารถวางตลาดได้ในวงกว้างต่อไป

สำหรับการดำเนินการด้านตลาดเนื้อกวางนั้นสหกรณ์ได้ร่วมกับศูนย์วิจัยวิทยาศาสตร์เนื้อสัตว์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์วิทยาเขตกำแพงแสนพัฒนาวิธีการขุนกวางเพศผู้อายุ 2-3 ปี หลังจากตัดเขากวางอ่อนแล้วจนได้น้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัม ก่อนนำเข้าแปรสภาพไปเป็นเนื้อกวางที่มีคุณภาพสูงและสม่ำเสมอเพื่อส่งตลาด

โดยตลาดที่มุ่งในระยะแรกนี้เป็นร้านอาหาร 5 แห่งทั้งในเขตกรุงเทพฯฯ และจังหวัดใกล้เคียง ปัจจุบันได้เริ่มดำเนินการเป็นเดือนที่ 4 แล้วและส่งเนื้อกวางได้เดือนละ 3 ตัว คิดเป็นน้ำหนักเนื้อกวางประมาณ 100 กิโลกรัม มูลค่าประมาณ 70,000 บาท คาดว่าภายในปี พ.ศ. 2544 นี้จะสามารถเพิ่มยอดส่งเนื้อกวางสู่ตลาดได้ เดือนละ 150 กิโลกรัม หรือคิดเป็นจำนวนกวางขุน 4-5 ตัว มูลค่าประมาณ 100,000 บาท หรือปีละ 1.2 ล้านบาท

จากที่สรุปสถานการณ์มานี้จะเห็นได้ว่าผลิตผลจากวางที่มีศักยภาพทางการตลาด ซึ่งยังไม่รวมถึงผลิตผลพลอยได้อื่นๆ อีกหลายชนิด เช่น หนัง หาง อวัยวะเพศผู้และเอ็น นั้นมีความเป็นไปได้สูง การที่สหกรณ์ยังไม่สามารถกระจายตลาดสู่วงกว้างได้เป็นข้อจำกัดจากฝ่ายเกษตรกรผู้ผลิตที่ยังไม่สามารถผลิตพันธุ์กวางและเนื้อกวางให้พอเพียงต่อความต้องการของตลาดมากกว่าเหตุผลด้านอื่น

ทั้งนี้เพราะเกษตรกรส่วนใหญ่เมื่อเริ่มเลี้ยงกวางนั้นมีความต้องการเพียงเพื่อทดลองดูก่อนเท่านั้น จึงทำให้ขนาดฝูงในฟาร์มมีน้อยเกินไปสำหรับการผลิตเป็นเชิงพาณิชย์ เมื่อกวางให้ลูกในแต่ละปีออกมาจึงเก็บไว้ขยายขนาดฝูงกวางของตนเองมากกว่า ที่จะขายให้ผู้ที่ต้องการซื้อไปทำพันธุ์ต่อไป รวมทั้งการผลิตเนื้อกวางก็เป็นเหตุผลในทำนองเดียวกันคือ เกษตรกรต้องการขยายฝูงของตนเองเป็นหลัก

ดังนั้นการที่จะคัดลูกกวางเพศผู้เข้าขุนจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากภายใต้สภาวการณ์ในปัจจุบัน  ในส่วนของเขากวางอ่อนนั้นเหตุผลข้อจำกัดอยู่ที่การที่จะผลิตจากโรงงานที่ได้มาตรฐานจนสามารถขอเลขทะเบียนอย.ได้ เขากวางอ่อนที่ผลิตได้ในปัจจุบันเป็นการผลิตในระดับห้องปฏิบัติการเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หากได้มีการลงทุนในส่วนของโรงงานอย่างเป็นกิจลักษณะ ก็จะสามารถขยายตลาดไปวางจำหน่ายได้ทั่วประเทศต่อไป

ดังนั้น แนวโน้มการตลาดของการผลิตกวางจึงค่อนข้างสดใส และพัฒนาการในขั้นต่อ ๆ ไปจึงต้องเป็นภาระของสหกรณ์ที่จะต้องมุ่งเน้นดำเนินการให้เป็นไปตามแฟนหลักคือ ขยายจำนวนฝูง ขยายจำนวนผู้เลี้ยงและขยายการวางตลาดควบคู่กันไป

ในอีกส่วนหนึ่งของภาพรวมคือ การนำเอากวางของไทยเองมาดำเนินการซึ่งหมายถึง  กวางม้าหรือที่กรมป่าไม้เรียกว่ากวางป่าเนื้อทรายและเก้ง มาเพาะเลี้ยงเป็นสัตว์เศรษฐกิจนั้น เนื่องจากกฎหมายฉบับปัจจุบันไม่เอื้ออำนวยดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น 

ดังนั้นจึงต้องส่งผลให้เกษตรกรและผู้สนใจไม่กล้าที่จะนำมาเพาะเลี้ยงอย่างจริงจังดังเช่นในกรณีของกวางรูซา  ทั้งๆ ที่เป็น ที่ทราบกันดีกว่ากวางม้าของไทยนั้นมีขนาดใหญ่กว่ากวางรูซามากจึงน่าจะให้ผลผลิตไม่ว่าจะเป็นเขากวางอ่อน เนื้อและอื่นๆ  สูงกว่ามาก ประเด็นที่เป็นปัญหาทางกฎหมายที่ผู้เพาะเลี้ยงจะต้องระบุและสำแดงที่มาของพันธุ์กวางว่าได้มาจากการเพาะเลี้ยงนี้เองที่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ 

ทั้งนี้เพราะแทบจะไม่มีฟาร์มที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกรมป่าไม้อย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่เลยในประเทศไทย   และในขณะเดียวกันก็เป็นที่ทราบกันดีว่ามีผู้เลี้ยงกวางม้าอยู่เป็นจำนวนมากที่ก็ยังคงเลี้ยงกันอยู่ทั้ง ๆที่รู้ว่าผิดกฎหมายส่วนเจ้าหน้าที่ของกรมป่าไม้เองก็ปฏิบัติตัวไม่ถูกเนื่องจากเป็นพรบ.ใหม่ จึงยังไม่มีระเบียบปฏิบัติที่สามารถนำมาปฏิบัติจนเป็นธรรมเนียมปฏิบัติได้อย่างแท้จริง  จึงยังคงเป็นปัญหามาโดยตลาดนับว่าสวนทางกับนโยบายหลักของรัฐที่ต้องการพัฒนาเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับประชาชนในท้องถิ่น

2.ความเป็นไปได้และแนวทางแก้ไข พรบ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535
พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535 ได้ประกาศออกมาใช้ด้วยเหตุผลที่ต้องการทำให้การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับจำเป็นจะต้องเร่งรัดการขยายพันธุ์สัตว์ป่าและให้การสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าควบคู่กันไป (คัดจากราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 109  ตอนที่ 15 วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2535)

หลังจากประกาศใช้แล้วมีผู้ไปยื่นขออนุญาตเพาะเลี้ยงเพียงไม่กี่รายและแต่ละรายปัจจุบันก็ไม่สามารถผลิตพันธุ์กวางม้าออกมาจำหน่ายได้เลยแม้แต่รายเดียว จึงทำให้การเพาะเลี้ยงทั่วไปไม่สามารถเริ่มต้นได้เลย ตลอดระยะเวลาเกือบ 9 ปีที่ประกาศใช้ พรบ. ฉบับนี้

แนวทางแก้ไขมี 2 วิธี ที่น่าจะพิจารณา แนวทางแรกนั้นให้เสนอเรื่องเข้าไปใน ครม. เพื่อสามารถประกาศให้ผู้ที่ครอบครองกวางม้านำมามอบให้เป็นสมบัติของรัฐ แล้วต่อจากนั้นรัฐจึงจำหน่ายให้แก่เจ้าของเดิมในราคาที่ถูก ทั้งนี้เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ผู้ครอบครองกวางม้าได้มีโอกาสครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมายต่อจากนั้นผู้ครอบครองกวางจึงขออนุญาตกรมป่าไม้ทำการเพาะเลี้ยง ซึ่งก็จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมป่าไม้ต่อไป

อนึ่งในการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ต่างๆ  นั้นกรมป่าไม้ควรร่วมกับสหกรณ์กวางแห่งประเทศไทย จำกัดและกรมปศุสัตว์ดำเนินการโดยให้ถือว่าสหกรณ์และกรมปศุสัตว์เป็นเสมือนหนึ่งองค์กรที่เป็นผู้ช่วยในการทำงานของกรมป่าไม้ซึ่งก็จะทำให้รัฐประหยัดงบประมาณค่าดำเนินการได้เป็นบางส่วนแนวทางนี้คงจะต้องมีการจัดระดมสมองในระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องโดยยึดประโยชน์ของเกษตรกรเป็นหลัก

สำหรับแนวทางที่ 2 นั้น ควรพิจารณาจากฐานความคิดที่ว่ากวางม้า เนื้อทรายและเก้งซึ่งเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองและรัฐเองก็ประสงค์จะให้มีการเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เศรษฐกิจต่อไปในอนาคต ดังนั้นจึงสมควรพิจารณาแก้ไข พรบ. ฉบับนี้เสียใหม่โดยแยกกวางม้า  เนื้อทราบและเก่งออกมาเป็นการเฉพาะแล้วจึงมอบหมายให้หน่วยงานที่มีหน้าที่ด้านปศุสัตว์โดยตรงคือกรมปศุสัตว์รับเป็นผู้ดูแลและสร้างกฎเกณฑ์ในการบริหารจัดการ เพื่อให้สัตว์ป่าเหล่านี้สามารถขยายพันธุ์ ได้ภายใต้ระบบการจัดการแบบฟาร์มปศุสัตว์ต่อไป

แนวทางที่ 2 นี้คงหลีกเลี่ยงไม่พ้นที่จะต้องพึ่งพาประธานคณะทำงานแก้ไขกฎหมายของนายกรัฐมนตรี (นายมีชัย ฤชุพันธุ์) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการแก้ไข เพราะหากให้กรมใดกรมหนึ่งเป็นเจ้าภาพคงไม่สำเร็จในเวลาอันใกล้ๆ นี้อย่างแน่นอน

3.อุปสรรคและปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือจากภาครัฐ

3.1 กวางรูซา ในการสั่งซื้อพันธุ์เข้ามาจากนิวคาลิโดเนียหรือออสเตรเลียที่ผ่านมา 5 ครั้งนั้น ทุกครั้งนายด่านศุลกากรจะต้องให้สหกรณ์  นำเงินมูลค่า 60% ของราคากวางไปวางไว้ที่ด่านก่อนจึงจะอนุญาตให้กวางผ่านด่านออกมาได้

ต่อจากนั้นจึงเป็นภาระของสหกรณ์ที่จะต้องนำหนังสือของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ กระทรวงการคลังไปแสดงจนด่าน ฯ เชื่อได้ว่าการนำเข้ากวางเพื่อทำพันธุ์นั้น ได้รับอนุญาตให้ยกเว้นภาษีได้จริงเสียก่อนจึงจะคืนเงินประกันให้

การนี้หากพิจารณาให้ละเอียดจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่ด่านถือว่าสัตว์ชนิดนี้คือกวางไม่ได้ระบุไว้ในระเบียบปฏิบัติว่าให้ยกเว้นภาษีได้ดังที่ปรากฏในระเบียบปฏิบัติในปศุสัตว์ชนิดอื่นๆ  เช่น สุกร โค และไก่ เป็นต้น ดังนั้นจึงใคร่ขอให้กระทรวงการคลังพิจารณาดำเนินการบรรจุกวางให้เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่หากนำเข้ามาเพื่อเป็นพันธุ์ควรได้รับการยกเว้นภาษีอย่างเป็นทางการ

3.2 เนื่องจากยังมีข้อมูลอีกหลายด้านที่ยังขาดแคลน เป็นต้นว่าข้อมูลด้านกาจัดการฟาร์ม การปรับปรุงพันธุ์ อาหารสัตว์และเขากวางอ่อน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ เกษตรกรสามารถใช้ประโยชน์ได้โดยตรงและจะก่อให้เกิดการพัฒนาจนเป็นศูนย์กลางของการทำฟาร์มกวางเมืองร้อน ในภูมิภาคเอเชียใต้ได้ ดังนี้จึงใคร่ขอให้รัฐสนับสนุนการวิจัยและพัฒนา ด้านกวางอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทั้งนี้ควรใช้กลไกด้านวิจัยและพัฒนาของรัฐให้เป็นประโยชน์

3.3 ความเข้มแข็งของสหกรณ์เป็นอีกหัวข้อหนึ่งที่ใคร่ขอรับการสนับสนุนจากรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านปัจจัยการผลิตและการส่งเสริมให้สามารถเป็นธุรกิจอย่างจริงจังซึ่งการดำเนินการผลิตและการกระทำในรูปของสหกรณ์และสาขาของสหกรณ์ตามภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศซึ่งการสนับสนุนนั้นควรถือว่าเป็นประเด็นหลักของความพยายามทั้งนี้ภายใต้สมมติฐานของการสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์ เช่นจัดทำเป็นโครงการนำร่องด้านการผลิตพันธุ์กวางและด้านการตลาดผลิตผลจากกวาง เป็นต้น