เกี่ยวกับเรา
ติดต่อสอบถาม
แผนที่และการเดินทาง
ศูนย์การเรียนรู้
ท๊อปแลนด์ฟาร์มฯ
รีสอร์ท
ศูนย์ขายผลิตภัณฑ์
บรรยากาศในคอกกวาง
สินค้าท๊อปแลนด์ฟาร์มฯ
เขากวางอ่อน
ซุปกวางสกัด 100%
สมัครรับจดหมายข่าว
Email / อีเมล์

สมัครสมาชิก
   
ด้วยมุมมองที่เห็นถึงศักยภาพในด้านการตลาดของการเพาะเลี้ยงกวาง จึงทำให้ชายวัย 37 ปี วันชัย หรือ กล้วย ศิริธรรม และภรรยา ตัดสินใจปรับปรุงพื้นที่ส่วนหนึ่งของ ท็อปแลนด์ฟาร์ม อันตั้งอยู่ที่ 29/1 ม. 1 บ้านทรัพย์เศรษฐี ตำบลคลองม่วง อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ให้เป็นคอกเลี้ยงกวางพันธุ์รูซ่า และฟอลโล

จากจุดเริ่มต้นที่เชื่อมั่นกับสัตว์เศรษฐกิจชนิดนี้ จึงทำให้เขาทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการเพาะเลี้ยงกวางทั้งสองสายพันธุ์ จนวันนี้กล่าวได้ว่าเป็นผู้หนึ่งที่ประสบผลสำเร็จกับอาชีพ เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงกวางที่ได้รับการยอมรับจากเกษตรกรและผู้สนใจ

"เพราะผมมองแล้วว่า กวาง เป็นสัตว์เศรษฐกิจที่มีอนาคต ในระยะเวลา 10 ปีนี้ ปริมาณกวางที่มีอยู่ก็ยังไม่เพียงพอกับความต้องการ"

นั้นเป็นสิ่งที่เขาคิดเมื่อเริ่มต้นในปี 2537 ซึ่งการเลี้ยงกวางในขณะนั้นถือว่าเป็นของใหม่สำหรับวงการเกษตรของไทยอย่างมาก แม้เวลาล่วงมาถึงวันนี้ในมุมมองถึงอนาคตของการเพาะเลี้ยงกวางของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง

"กวางตัวผู้ ตัวเมีย ให้ผลตอบแทนเหมือนกัน เป็นราคาหมด ตัวเมียสามารถเพาะลูกจำหน่ายได้ ตัวผู้ขายเขาขายเนื้อ อย่างเนื้อจำหน่ายได้ไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 600 บาท หนัง กระดูก เอ็น ลึงค์ ทุกอย่างก็จำหน่ายได้ หรือเขากวางอ่อน ถ้าอบแห้งแล้วตกกิโลกรัมละ 20,000- 30,000 บาท"

ในระบบการค้ากวางนั้น ที่ฟาร์มแห่งนี้เป้าหมายไปสู่การทำครบวงจร ตั้งแต่การสั่งพันธุ์นำเข้า ซื้อขายผลิตภัณฑ์เอง และรับซื้อคืนจากผู้เลี้ยง

"แต่ตอนนี้ปัญหาคือ ความสับสนที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับอนาคตของฟาร์มกวางไปทางไหน จึงทำให้เกิดความล่าช้าในการลงทุน เราจึงพยายามที่ดำเนินการให้เป็นตัวอย่าง เพื่อให้เกิดความมั่นใจสำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับสัตว์ชนิดนี้ ต่อไปเราจะจัดอบรมผู้สนใจเกี่ยวกับการทำฟาร์มกวางด้วย"

"การเลี้ยงกวางในเมืองไทย จากประสบการณ์ที่ผ่านมานั้นอยากจะติงเรื่องของวิชาการนิดหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องสำคัญกับเมืองไทยมาก หากให้ข้อมูลผิดไปนิดเดียว ทำให้เดินหลงทางได้ เกษตรกรหมดเนื้อหมดตัว จึงอยากให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ซึ่งเคยเจอมากับตัวเองแล้ว ความรู้ที่ได้มาไม่ได้จริงเลย นอกจากนี้ ในเรื่องของการควบคุมเกี่ยวกับสัตว์ผิดกฎหมาย อยากให้เข้มงวดหน่อย ไม่เช่นนั้นวันหนึ่งฟาร์มกวางในเมืองไทยจะเป็นโรคปากและเท้าเปื่อย"

 

เริ่มจาก 2 คู่ จนมาถึง 300 ตัว

เมื่อเริ่มต้นนั้น เขาซื้อกวางรูซ่ามา จำนวน 2 คู่ จุดประสงค์ตอนนั้นเพื่อศึกษาเท่านั้น แต่หลังจากเลี้ยงไประยะหนึ่งได้มีผู้สนใจมาติดต่อขอซื้อกวางดังกล่าว ตรงนี้จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เขาเกิดความมั่นใจกับการเพาะเลี้ยงกวางเข้ามาลงทุนในธุรกิจนี้

จาก 2 คู่ ได้ขยายปริมาณการเลี้ยงอย่างต่อเนื่อง โดยการสั่งนำเข้ากวางมาจากต่างประเทศ จนวันนี้เขามีกวางอยู่ประมาณ 300 กว่าตัว และตั้งเป้าว่าจะมีให้ได้ถึง 500 ตัว

"จากที่ผมประสบความสำเร็จ จึงตั้งใจอย่างมากในการทำให้ฟาร์มของเราเป็นฟาร์มเปิด สำหรับผู้สนใจทุกคน ที่ต้องการเข้ามาศึกษา มาเรียนรู้เกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกวาง"

ที่ผ่านมานั้นที่ท็อปแลนด์ฟาร์ม จึงเป็นอีกแห่งหนึ่งของเกษตรกร และผู้สนใจที่เดินทางมาเยี่ยมชมและศึกษาการเพาะเลี้ยงกวาง และหลายคนได้ตัดสินใจลงทุนเลี้ยงกวางแล้ว ซึ่งทางฟาร์มมีรูปแบบการลงทุนไว้ให้ผู้สนใจได้พิจารณา

ในหลายคำถามที่ผู้มาเยี่ยมเยือนถามนั้น คือ ทำไม เลี้ยงถึงสองสายพันธุ์ ตรงนี้เจ้าของฟาร์มอธิบายว่า แต่ละพันธุ์จะมีข้อดีอยู่ในตัวเอง อย่างพันธุ์รูซ่าเป็นพันธุ์ที่ให้น้ำหนักตัวที่มากกว่า ขณะที่พันธุ์ฟอลโล แม้ว่าจะให้น้ำหนักต่อตัวน้อยกว่า แต่มีข้อดีในเรื่องของความต้านทานโรคและคุณภาพเนื้อดี มีความนุ่มของเนื้อมากว่าพันธุ์รูซ่า สำหรับผู้ที่ชอบรับประทานเนื้อย่าง สเต๊ก เนื้อกวางฟอลโลจะดีมาก

เหตุที่นำกวางฟอลโลเข้ามาเลี้ยง เพราะในออสเตรเลียนั้นเลี้ยงกันเพื่อจำหน่ายเนื้อและจำหน่ายได้ราคาดีกว่า จึงคิดนำเข้ามาเพาะเลี้ยงเพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง

"ผมตั้งเป้าหมายที่จะทำลูกผสมระหว่างสองสายพันธุ์นี้ออกมา แล้วทำการศึกษาซากต่อไป"

 

เลี้ยงไม่ยาก ขอให้ใจรัก

เรื่องของการทำฟาร์มกวางนั้น เจ้าของฟาร์มแห่งนี้บอกว่า ไม่ใช่เรื่องยาก ขอเพียงให้มีใจรัก อดทน ทำอย่างจริงจัง แม้แต่ตัวเขาเองก็เริ่มต้นด้วยความไม่รู้ แม้ช่วงแรกก็อยู่ในสภาวะล้มลุกคลุกคลานเช่นกัน แต่อาศัยความอดทน ตั้งใจ ศึกษาอย่างจริงจังทั้งจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเพาะเลี้ยงกวางจากต่างประเทศ ปรึกษากับผู้รู้ และลงมือทำเอง จึงทำให้เกิดความเชี่ยวชาญในการเพาะเลี้ยง

"ในเรื่องการเลี้ยงการจัดการนั้นผมเน้นเลี้ยงแบบง่าย ๆ แบบชาวบ้าน การก่อสร้างโรงเรือน คอกเลี้ยงไม่จำเป็นต้องใช้วัสดุที่แพง ของเราพูดได้ว่าเลี้ยงเหมือนการเลี้ยงวัว เลี้ยงควาย ปล่อยตามอิสระเพียงแต่มีคอกกักไม่ให้หนี การเลี้ยงไม่ต้องดูแลอะไรมาก เพียงแต่ไม่ให้กวางอดเท่านั้นเอง ทุกวันนี้เราใช้วิธีการตัดหญ้าให้กินอย่างเดียวก็เจริญเติบโตดี โรคภัยก็ไม่มี ให้ลูก 2 ปี 3 ตัว"

"พื้นที่เลี้ยง ให้ดูพื้นที่แค่ความเหมาะสมไม่ต้องใช้พื้นที่กว้างมากนัก พอประมาณ และต้องเน้นเรื่องการความสะอาดอย่าให้เกิดความหมักหมมในคอกเลี้ยง ทุกอย่างไปราบรื่น การกินอยู่ต้องดีอย่าให้อดอยาก"

เขาได้เล่าให้ถึงการเลี้ยงกวางของที่ท็อปแลนด์ฟาร์มว่า ในส่วนของคอกเลี้ยงนั้น ได้ดัดแปลงมาจากประสบการณ์ที่เคยทำงานในสวนสัตว์ ดังนั้น จึงไม่ทำเป็นคอกสี่เหลี่ยมเหมือนกับการเลี้ยงสัตว์ทั่วไป แต่จะทำให้คอกเลี้ยงมีลักษณะเป็นวงกลม เมื่อสัตว์วิ่งชนแล้วจะไม่ทำให้เกิดการบาดเจ็บสูญเสีย พื้นคอกต้องปรับให้เรียบอย่าให้มีหลุมบ่อและน้ำต้องไม่ขัง

ภายในคอกเลี้ยงต้องมีการทำความสะอาดทุกวัน รวมถึงที่กินน้ำของกวางด้วย โดยคาดเอาเศษหญ้าที่ตกหล่นออกให้หมด

สำหรับหญ้าที่เหลือตกหล่นนี้ ทางฟาร์มไม่ได้นำไปทิ้งให้เสียประโยชน์ แต่จะนำกลับไปใส่ตามต้นไม้ผลที่ปลูกไว้เพื่อให้กลายเป็นปุ๋ยแก่ต้นไม้

หญ้าที่นำมาเลี้ยงนั้นในแต่ละวัน คนงานประจำซึ่งมีอยู่ 2 คน จะออกไปตัดหญ้าตามริมทาง ในพื้นที่ว่างบรรทุกมาให้กวางกินเป็นหลัก โดยไม่ได้ให้อาหารเม็ดสำหรับรูปอื่นใดอีก การให้หญ้านั้น วันหนึ่งให้ในช่วงเย็นเพียงครั้งเดียวก็เพียงพอ เพราะกวางเป็นสัตว์ป่าจะกินอาหารในเวลากลางคืน

แต่ถ้าต้องการความมั่นใจสามารถให้อาหารวันละ 2 ครั้ง ก็ได้ ในช่วงเช้า และเย็น

"หญ้า วัชพืชทุกชนิดที่มีในเมืองไทยสามารถใช้เลี้ยงได้หมด ถ้าเป็นหน้าแล้งหญ้าสดไม่มีสามารถใช้ฟาง หญ้าแห้ง ต้นไม้ เปลือกไม้ได้หมด กวางกินง่ายกว่าวัว ทุกอย่างกินได้หมด แค่หญ้าอย่างเดียวก็พอแล้ว"

ในส่วนของที่ใส่หญ้านี้ ทางฟาร์มได้คิดประดิษฐ์จนได้รูปแบบที่เหมาะสม โดยใช้เหล็กเส้นมาเชื่อมต่อกันให้เป็นลักษณะทรงกลม และต่อฐานให้สูงจากพื้น ประมาณ 50 เซนติเมตร ซึ่งที่ใส่หญ้าแบบนี้ช่วยลดความสูญเสียจากการเหยียบย่ำหญ้าที่นำมาให้กิน

 

ระวังหน้าฝนอย่าให้คอกมีน้ำขัง

"กวางนั้น เปรียบเหมือนสัตว์ป่าไม่ต้องการอะไรมากนัก ขอเพียงให้มีที่บังแดด หรือมีต้นไม้ไว้บ้างได้แล้ว มีรางน้ำที่สะอาด มีรางหญ้าสมบูรณ์แบบทุกอย่างลงตัวหมด"

สำหรับอาหารเสริมนั้นจะให้เกลือเป็นหลัก โดยจะใส่ไว้ในคอกแล้วเมื่อกวางรู้ว่าตัวเองขาดก็จะมาเลียกินเอง

ส่วนอัตราการปล่อยเลี้ยงในลักษณะของการเลี้ยงแบบขัง ใช้พื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร ต่อตัว แต่ถ้าเป็นแม่กวางอุ้มท้องและเลี้ยงลูกใช้พื้นที่ประมาณ 100 ตารางเมตร

จากประสบการณ์ที่เลี้ยงมา เจ้าของท็อปแลนด์ฟาร์มบอกว่า ฤดูฝน เป็นช่วงที่มีปัญหากับกวางมากที่สุด เพราะความชื้นมาก ยิ่งถ้าอยู่ในคอกที่จัดสภาพไม่ดี มีน้ำขังแฉะ โอกาสที่จะเกิดโรคปอดบวมก็มีได้เช่นกัน

"แต่ถ้าเราไม่สะเพร่า มีการดูแลเอาใจใส่จัดระบบดีแล้ว ปัญหาเรื่องโรคถือว่าน้อยมาก ที่เลี้ยงมามีการสูญเสียเนื่องจากการขนส่งเท่านั้น"

ในด้านการผสมพันธุ์ ถ้าเป็นกวางรูซ่า จะสามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่ถ้าเป็นกวางพันธุ์ฟอลโล จะมีช่วงผสมพันธุ์ในฤดูหนาว และไปคลอดลูกในช่วงฤดูฝน

สำหรับเรื่องของการคลอดลูกของกวางนั้นจะปล่อยธรรมชาติ ทั้งนี้พี่กล้วยบอกว่า มีประสบการณ์แล้ว คลอดลูกออกมา 10 ตัว แล้วแยกมาเลี้ยง ปรากฏว่าตายไป 8 ตัว แต่ถ้าปล่อยให้แม่เลี้ยงเองจะรอดทั้งหมด เพราะกวางนั้นเป็นสัตว์ที่มีอยู่กันเป็นฝูง มีอะไรเกิดขึ้นจะไม่ทิ้ง ช่วยเหลือกัน อย่างเวลาคลอดแล้ว จะช่วยกันดูลูกอ่อนเอง

 

เทคนิคตัดเขากวาง ต้องตัดที 45 วัน

ในการเลี้ยงกวางนั้นสิ่งสำคัญประการหนึ่งที่จะเป็นผลผลิตของฟาร์ม ออกจำหน่ายสร้างรายได้คือเขากวางอ่อน เจ้าของท็อปแลนด์ฟาร์มได้เปิดเผยถึงระยะเวลาการตัดเขาที่เหมาะสมให้ฟังว่า การตัดเขากวางนั้นจากที่ศึกษามา เขากวางอ่อนต้องอ่อนจริง ๆ โดยต้องนับจากตุ่มขึ้นมา 45 วัน แล้วตัดเลยจะได้เขากวางอ่อนที่มีคุณภาพที่ดีมาก

การตัดเขากวางนั้น ควรตัดให้เหลือตอไว้ประมาณ 5 เซนติเมตร โดยใช้เลื่อยตัดธรรมดา

"ตอนนี้ตลาดเขากวางอ่อนมีความต้องการมาก มีเท่าไรไม่เพียงพอ ทุกวันนี้เมืองไทยยังสั่งนำเข้า ปีหนึ่งเป็นร้อยล้านบาท"

แต่ในการรับประทานเขากวางอ่อนนั้น เจ้าของฟาร์มแห่งนี้บอกว่า ผู้ที่จะรับประทานควรมีอายุประมาณ 45 ปี ขึ้นไป จึงจะได้ผลดีตามสรรพคุณของเขากวางอ่อน

"วิธีการรับประทานนั้นถ้าให้ดีที่สุด ควรกินในลักษณะสด โดยให้นำมาคั้นเลือดออกมาจากเขาแล้วผสมเหล้าดื่ม" พี่กล้วยกล่าวในที่สุด

สำหรับผู้สนใจเกี่ยวกับการเลี้ยงกวาง หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ โทร. (01) 966-4290, (01) 917-4058

 

โดยคุณ : เทคโนโลยีชาวบ้าน
บทความจาก เทคโนโลยีชาวบ้าน ฉบับที่ 264
http://202.183.211.7/techno/tn_story.asp?selectdate=2001/06/01&stid=462