Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
"เปิดตำนานคนชุดขาว"ธรรมยาตราทวงคืนเขาพระวิหาร-มณฑลบูรพาสู่...ปัญหาอธิปไตยดินแดน
เขียนโดย ยอดมณี วัชรธรรม
สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
โพส  ๗ ต.ค.๒๕๕๒
บทที่ ๓  
“ดินแดนแห่งต้นสน”
             
 
 
 
   
                
                 คณะธรรมยาตราบ่ายหน้าไปทิศตะวันออกสุดชายแดนสยาม  ผ่านเส้นทางหลวงสำคัญระหว่างทางที่ทำให้จินตนาการไปไกลถึงดินแดนสุวรรณภูมิในอนาคต    เส้นทางเดินระหว่างทางจากกันทรลักษณ์สู่ภูมิซรอล  ทำให้คณะธรรมยาตราได้มีโอกาสเก็บเกี่ยวความสวยงามของวิวทิวทัศน์ระหว่างทางไปตลอด  อำเภอกันทรลักษณ์ต่างจากอำเภออื่นในจังหวัดศรีสะเกษเพราะเป็นอำเภอขนาดใหญ่  มีความอุดมสมบูรณ์และมีสภาพเศรษฐกิจดีกว่าอำเภอเมือง  สามารถเพาะปลูกทั้งเงาะและทุเรียนและยังมีการทำสวนยางอีกด้วย     ความเขียวชอุ่มของธรรมชาติสองข้างทางทำให้การเดินชมธรรมชาติเป็นความรื่นรมย์อย่างยิ่ง     เมฆฝนตั้งเค้าทะมึนอยู่เบื้องหน้าเมื่อเดินมาถึง “เขาพระวิหารซอยสอง”    พระวิจิตรญาณโสภโณ  เดินนำอยู่หน้า  คณะธรรมยาตรายังแจกเอกสารแถลงการณ์ไปตลอดทาง   คราวนี้คณะธรรมยาตราหลีกเลี่ยงฝนไม่สำเร็จเพราะเห็นฝ้าสีขาวของสายฝนกระหน่ำโปรยอยู่เบื้องหน้าในระยะไม่ถึง 50 เมตร และก้าวต่อไปข้างหน้าด้วยความยินดีรับน้ำฝนอย่างเต็มอกเต็มใจอย่างยิ่ง    ในขณะที่อ.สมาน ศรีงามยังใช้โทรศัพท์มือถือพูดออกอากาศสดจัดรายการทางสถานีวิทยุเอเอ็ม 792 ในบ่ายวันเสาร์พร้อมการบริการกางร่มโดยหนึ่งในคณะธรรมยาตรา เพื่อป้องกันอุปกรณ์มือถือชำรุด  แต่คณะธรรมยาตราเองพร้อมผจญฝนตลอดเวลา   
                 
                 คำว่าภูมิซรอลนั้นแปลว่าดินแดนแห่งต้นสน  แสดงว่าในอดีตคงจะมีต้นสนอยู่เต็มไปหมด   แต่ระหว่างเดินธรรมยาตราไป กลับไม่พบต้นสนเลยแม้แต่ต้นเดียว  สองข้างทางระหว่างมุ่งหน้าเดินสู่ภูมิซรอลคือท้องนาและต้นไม้ใหญ่    แสงอาทิตย์ในยามเย็นตกกระทบผิวน้ำ    ในเวลาห้าโมงเย็นคณะธรรมยาตรายังได้มีโอกาสเห็นรุ้งกินน้ำเป็นแนวโค้งตัดพาดผ่านท้องฟ้าอยู่เบื้องหน้า   สภาพภูมิอากาศและความเขียวขจีทำให้การเดินระยะสุดท้ายมีความหมายและทำให้ผู้เดินมีกำลังใจขึ้นมาบ้างว่าเบื้องหน้ารุ้งกินน้ำ ต้องมีอะไรดีซ่อนอยู่เป็นแน่    และต่างชี้ชวนกันให้มีกำลังฮึกเหิมก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป  
 
 
                 ระหว่างการเดินครั้งนี้ทีมข่าวสถานีช่อง ๙ อสมท.ตามเก็บข่าวตลอดทาง  ทำให้รู้ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ตกเป็นข่าวโทรทัศน์ทั้งช่วงข่าวภาคค่ำและข่าวช่วงกลางวัน   การรายงานข่าวไม่เว้นแม้ยามที่คณะธรรมยาตราเดินฝ่าสายฝน สมาชิกขบวนการประชาธิปไตยเริ่มรายงานข่าวกันถี่กระชั้นทางโทรศัพท์  ทำให้รู้ว่าการเดินธรรมยาตราคราวนี้ทำให้เราตกเป็นข่าวอย่างต่อเนื่องเกินคาด     เมื่อเข้าใกล้ชายแดนยิ่งขึ้นเท่าไร  ก็ได้สังเกตเห็นว่ารถตำรวจป้วนเปี้ยนขับผ่านขบวนถี่ยิ่งขึ้นเท่านั้น    
 
                 ก่อนจะพลบค่ำมีรถเก๋งบ่ายหน้ากลับกรุงเทพฯหนึ่งคัน  จอดแวะทักทายคณะธรรมยาตราพร้อมชูนิ้วโป้งให้อย่างยกย่อง  คนขับเดินลงจากรถและรีบวิ่งข้ามถนนมาเพื่อจะระบายความโกรธในใจให้ฟังว่า  เขาเพิ่งลงมาจากการไปเยี่ยมชมปราสาทเขาพระวิหารและได้ยินทหารกัมพูชาพูดเป็นภาษาไทยให้ได้ยินสองหูอย่างเจตนาว่า เขมรจะยึดประสาทตาควายต่อหลังจากยึดเขาพระวิหารสำเร็จ    เจ้าของรถคันนี้ประกาศบอกสมาชิกคณะธรรมยาตราว่ามีอะไรให้ช่วยก็ยินดีก่อนที่จะแยกจากกัน 
 
                 การแวะพักที่บ้านภูมิซรอล มีบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้คณะธรรมยาตราเริ่มฉุกคิดถึงท่าทีของคนในหมู่บ้าน ระหว่างการเดินคราวนี้  มีรถตำรวจแล่นตรวจตราอยู่เป็นระยะๆไม่ยอมห่าง   มีชาวบ้านจากอ.กันทรลักษณ์ที่ขับรถตามคณะธรรมยาตรามาและช่วยแจกเอกสารด้วยความเป็นห่วง     ระยะทาง 26 กิโลเมตรจากอำเภอกันทรลักษณ์  สู่บ้านภูมิซรอล  บรรยากาศความเป็นมิตรเริ่มเปลี่ยนไป  สังเกตได้จากสีหน้าค่าตาของเจ้าหน้าที่แต่ละส่วนที่ออกมาดูขบวน ข่าวคราวที่หนังสือพิมพ์รายงานว่าจะมีการสกัดคณะธรรมยาตราโดยกลไกรัฐ คือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านตามที่ลงเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์นั้นดูจะเป็นจริงยิ่งขึ้นทุกที 
 
                 เมื่อไปถึงบริเวณลานหน้าหมู่บ้านภูมิซรอลเป็นเวลามืดแล้ว   มีผู้เตรียมเครื่องเสียงไว้ให้กลางลานที่เป็นทุ่งหญ้าขนาดย่อม   มีอาคารโล่งหนึ่งหลังสำหรับเป็นที่พักหลังการเดินมาอย่างเหน็ดเหนื่อย      ระหว่างที่เตรียมการปราศรัยโดยมีชาวบ้านภูมิซรอลนั่งดูอยู่ห่างๆ    คณะธรรมยาตราหยุดพักด้วยความอ่อนล้าและหิวเป็นกำลังแต่ต้องอดทนรอการจัดการที่ค่อนข้างขลุกขลัก   ดังที่เคยบอกว่าการประกาศจุดยืนของคณะธรรมยาตราทำให้คณะธรรมยาตราอยู่รอดปลอดภัยมาโดยตลอด  ที่ภูมิซรอลก็เช่นกัน คำถามคลางแคลงใจที่เจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบประจำการที่แวะเวียนมาถามคือ ใช่พันธมิตรหรือไม่   เมื่อตอบว่าไม่ใช่แล้วแต่ก็ยังปรากฏความไม่เชื่อถือ   สังเกตเห็นได้ชัดว่าบรรดาเจ้าหน้าที่ ที่แวะเวียนมายืนดูอยู่ในความมืด ไม่ต้องการแนะนำชื่อเสียงเรียงนาม   สังเกตได้ชัดว่าทุกคนต่างระมัดระวังตัวในการพูดจากับคณะธรรมยาตราอย่างเห็นได้ชัด     ในเวลาเกือบสองทุ่มตรงคณะธรรมยาตรามีสมาชิกมาสมทบเพิ่มอีกเกือบสิบคนจากคณะของพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโรเดินทางมาจากกรุงเทพและทันพบกันที่ลานภูมิซรอล     มื้อเย็นวันนั้นเราได้รับการอนุเคราะห์ข้างกล่องจากร้านอาหารในอำเภอกันทรลักษณ์โดยมีชาวอำเภอกันทรลักษณ์เป็นผู้ประสานงานและนำอาหารมาส่งจนถึงที่ในเวลาเกือบสามทุ่ม  มีเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องถิ่นมาเฝ้าระวังและร่วมฟังคำปราศรัยจนจบในเวลาเกือบห้าทุ่มตรง  ก่อนที่คณะธรรมยาตราจะแยกย้ายไปพักที่วัด......ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของถนนเพื่อเตรียมตัวเดินในระยะสุดท้ายในวันรุ่งขึ้น
 
 
                  บทสะท้อนสื่อมวลชนต่อธรรมยาตราในช่วงแรก 
           
                ในช่วงสายของวันอาทิตย์ คณะธรรมยาตราย้อนกลับไปปราศรัยที่ลานหมู่บ้านภูมิซรอลอีกครั้งหนึ่ง    คราวนี้มีนักข่าวช่อง 7 สีมาดักรอทำข่าวก่อนใคร  พร้อมส่งหน้าหนังสือพิมพ์ให้พวกเราอ่านถึงความเคลื่อนไหว     ระหว่างการเดินธรรมยาตรา คณะธรรมยาตราไม่มีเวลาซื้อหนังสือพิมพ์เท่าไรนัก  ประกอบกับหนังสือพิมพ์ที่ออกในต่างจังหวัดจะช้ากว่าในกรุงเทพหนึ่งวัน  วันนี้นักข่าวช่องเจ็ดสีมีคำถามจะขอสัมภาษณ์แกนนำธรรมยาตราอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากเนื้อความของข่าวที่ตีพิมพ์ลงในมติชนเรื่อง “.........”
    
              ในช่วงต้นๆของการเดินธรรมยาตรา  การรายงานข่าวของสื่อมวลชนเกี่ยวกับการเดินธรรมยาตราเป็นไปด้วยความสับสน  เมื่อเปิดหาข่าวว่าอยู่ในหมวดใดบ้าง ก็จะพบว่าการเคลื่อนไหวของคณะธรรมยาตราถูกจัดอยู่ในหมวด  “ ข่าวภูมิภาค ”  ปะปนอยู่กับข่าวทั่วไป เช่นข่าวอาชญากรรม ข่าวภัยพิบัติ ฯลฯ  สื่อไม่ได้ให้น้ำหนักการรายงานเชิงสาระเท่าใดนัก    นอกจากการรายงานถึงปรากฏการณ์ที่ต้องบันทึกไว้   และเนื่องจากปริศนาของการเดินธรรมยาตรานี่เองที่ทำให้ไม่มีสื่อใดรายงานว่าการเดินธรรมยาตราจัดอยู่ในหมวด “ข่าวการเมือง”  หรือข่าวพาดหัวหน้าหนึ่งเลยในช่วงต้น   จนกระทั่งเมื่อเกิดเป็นกรณีพิพาทแล้ว  ข่าวธรรมยาตราจึงถูกจัดอยู่ในหมวด ข่าวอินโดจีน  ข่าวร้อน (Hot News) ข่าวโลก (World News) กว่าจะได้การยกระดับจากข่าวในพื้นที่เล็กๆ ไม่ให้คุณให้โทษกับใคร  จนกลายเป็นข่าวร้อน ก่อผลสะเทือนให้ฝ่ายนโยบายออกโรงมาชี้แจง ก็ใช้เวลาขับเคลื่อนจนเกิดพัฒนาการในขั้นต่างๆ ตามลำดับ   ยกตัวอย่างเนื้อหาข่าวในหมวดภูมิภาคที่รายงานโดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึกในเช้าวันหนึ่งปรากฎดังนี้
 
             ทัพเดินเท้า “ ธรรมยาตราทวงคืนเขาวิหาร” เคลื่อนขบวนไปตามถนนสายศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ มุ่งหน้าสู่ “เขาพระวิหาร” ถึงศรีรัตนะแล้ว ท่ามกลาง ปชช.สนับสนุนเสบียงอาหาร น้ำดื่มและเข้าร่วมขบวนแสดงพลังอย่างคึกคัก แกนนำเผยทุกคนไม่ย่อท้อเดินหน้าด้วยพลังใจอันเข้มแข็งกับการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ มั่นใจถึงจุดหมายชุนนุมขับไล่ชาวกัมพูชารุกล้ำเขตแดนไทยตามกำหนด 22 มิ.ย.นี้ แฉบิ๊กศรีสะเกษเรียกประชุมผู้นำท้องถิ่น-กำนัน-ผญบ. สั่งสกัดชาวบ้านเข้าร่วมกอบกู้แผ่นดินไทย แต่เชื่อมั่นชาวกันทรลักษ์ลุกฮือร่วมเป็นจำนวนมาก.......... 
 
               ......ล่าสุด ช่วงเช้าวันนี้ (19 มิ.ย.) ขบวนเดินเท้า “ธรรมยาตรากอบกู้รักษาแผ่นดินไทย ในกรณีเขาพระวิหาร มณฑลบูรบา” พร้อมป้ายประท้วงทวงคืนเขาวิหาร นำโดยนายสมาน ศรีงาม ประธานสภาประชาธิปไตยแห่งชาติ และพระวิจิตร ญาณโสภโน เลขาธิการขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ ได้เดินทางมาถึงบริเวณหลัก กม.ที่ 30 ถนนสายศรีสะเกษ-กันทรลักษ์ อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งขบวนเดินเท้า ธรรมยาตราฯ ได้เคลื่อนไปตามท้องถนนมุ่งหน้าสู่เขาพระวิหารท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนจัด ด้วยความสงบเรียบร้อย
   
            โดยบรรดาประชาชนชาวศรีสะเกษและตัวแทนจากหลายจังหวัดทั่วประเทศ ที่ร่วมเดินในขบวนธรรมยาตราต่างพากันนำหมวกและผ้ามาคลุมศีรษะเพื่อป้องกันแสงแดดและบรรเทาความร้อนจากสภาพอากาศ พร้อมทั้งร่วมกันสวดมนต์ระหว่างเดินทางไปด้วย โดยมีพระวิจิตร ญาณโสภโณ เลขาธิการขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ เป็นผู้นำสวดมนต์ตลอดเส้นทาง
               ขณะเดียวกันได้มีประชาชนชาวศรีสะเกษตาม 2 ฝั่งข้างทางที่คณะธรรมยาตรากอบกู้รักษาแผ่นดินไทยฯ เคลื่อนขบวน พากันนำเอาข้าวปลาอาหาร น้ำดื่ม มามอบให้และได้เข้าร่วมขบวนเดินเพื่อแสดงพลังอย่างคึกคัก........
              .....ด้าน นายสนอง ห้วยจันทร์ ประธานประชาคมอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ทันที่ขบวนธรรมยาตรากอบกู้รักษาแผ่นดินไทยฯ เดินทางมาถึง อ.กันทรลักษ์ พวกเราจะออกรณรงค์เชิญชวนให้ประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ เข้าร่วมเดินเท้าไปยังเขาพระวิหารทันที พร้อมจัดเวทีชุมนุมเพื่อชี้แจงความเป็นมาของปัญหาเขาพระวิหารให้ประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ และชนรุ่นหลังได้รับทราบด้วย
 
              ทั้งนี้ จากการที่มีขบวนธรรมยาตรา กอบกู้รักษาแผ่นดินไทยฯ เดินเท้าเป็นระยะทางไกล ทวงคืนเขาพระวิหาร ครั้งนี้ ปรากฏว่าได้มีผู้มีอำนาจในจังหวัดศรีสะเกษ ได้สั่งการให้เรียกนายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) กำนัน ผู้ใหญ่บ้านทุกคนในเขต อ.กันทรลักษ์ เข้าร่วมประชุมด่วนในวันนี้ (19 มิ.ย. ) เวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมที่ว่าการอำเภอกันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ปัญหาเขาพระวิหาร และคาดว่าจะมีการพยายามสกัดกั้นไม่ให้ชาว อ.กันทรลักษ์ เข้าร่วมเดินขบวนและชมนุมที่เขาพระวิหาร ในครั้งนี้ด้วย
             “แต่เชื่อมั่นว่าประชาชนชาว อ.กันทรลักษ์ ส่วนมากไม่เห็นด้วยและจะพากันลุกฮือเข้าร่วมการเดินเท้าไปหลักหลักชุมนุมยังเขาวิหารเพื่อทวงคืนเขาวิหารกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน” นายสนอง กล่าว ”
 
 
                 การจัดหมวดข่าวนี่เองที่ทำให้รู้ว่าสื่อมวลชนทำหน้าที่เพียงแค่สะท้อนปรากฏการณ์แต่ยังไม่ได้ทำหน้าที่สะท้อนธาตุแท้ของปรากฏการณ์   คือยังไม่ได้สาวหาเหตุของการกระทำแต่อย่างใด  เรื่องนี้เป็นปัญหาของนักเคลื่อนไหวที่จะต้องทำความเข้าใจเรื่องการสื่อความหมายและคิดค้นกุศโลบายในการอธิบายกิจกรรมการเคลื่อนไหวที่ตนเองทำ    เพราะการแสดงความเห็นในสังคมไทยดูจะติดอยู่กับรูปแบบ ไม่พ้นเรื่องการจัดเวทีทำม็อบที่ใช้ทุนรอนสูง กับเวทีนักวิชาการที่มีชื่อเสียงแล้วในเวทีปัญญาชนที่มักแสดงทัศนะกันอยู่ในวงแคบๆ ในสถาบันฯต่างๆ  แต่ทัศนะเหล่านั้นก็เป็นเพียงการพูดของคนเฉพาะกลุ่มเสียงสะท้อนอยู่ในแวดวงจำเพาะ หรืออาจมีคนเข้าใจกันเองอยู่ไม่กี่คน และดูเหมือนว่าทัศนะแบบนั้นถูกจำกัดแล้วโดยวงสังคมและไม่เคยสะท้อนเสียงเหล่านั้นถึงประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้จริงเลย
 
                แต่คณะธรรมยาตรามีจุดมุ่งหมายต่างจากเวทีปัญญาชนในสถาบันและแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากเวทีม็อบปลุกเร้าแบบพันธมิตรฯ  ที่มักมีการขยายผลทางความคิดของตนผ่านผู้มีฐานะทางสังคมหรือมีชื่อเสียงทางหนึ่งทางใดเข้าร่วมเวทีเสมอ     คณะธรรมยาตราประกอบด้วยประชาชนธรรมดา  ไร้ชื่อเสียง  และเดินไปอย่างช้าๆ ไม่นั่งรถ จะนั่งเมื่อเจ็บป่วยหรือเป็นลมเท่านั้น   เพราะตั้งสัจจะไว้เป็นการปฏิบัติธรรม    การได้รับการชื่นชมและติดตามก็ต่อเมื่อได้เห็นว่าเดินถึงเส้นชัยหรือไม่    ดูไม่ต่างจากการเชียร์นักกีฬา  มีสื่อไม่กี่รายที่ให้ความสนใจถามถึงเหตุจูงใจของการเดินนั้นคืออะไร เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ใดบ้าง นอกจากอคติที่ถูกกล่าวหาว่าต้องการเป็นข่าวและแสวงหาชื่อเสียง หรือหนักที่สุดคือข้อกล่าวหาว่าเป็น “ ขบวนคนบ้า”  ขาดความน่าเชื่อถือ
 
                ระหว่างนั้นในกรุงเทพฯ ม็อบพันธมิตรฯได้ทำการเคลื่อนกำลังพลไปหน้ากระทรวงการต่างประเทศเพื่อทำการประท้วง นภดล ปัทมะ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น   ถึงขั้นขับไล่เป็นภาษาต่างด้าวหลายภาษา เกิดการคัดค้านอย่างรุนแรงเมื่อมีการลงนาม Joint Communique ระหว่างรัฐมนตรีนภดลกับฝ่ายกัมพูชาท่ามกลางเสียงคัดค้านอย่างรุนแรงจากพันธมิตรฯและหลายๆฝ่าย  แต่ประเด็นที่โต้กันอยู่นั้นเป็นเพียงเรื่องเหตุข้อพิพาทพื้นที่ทับซ้อนในบริเวณ และการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ร่วมกันระหว่างสองประเทศ และมีข้อกล่าวหาถึงรัฐบาลไทยในอดีตที่ได้ทำการยกพื้นที่ให้กับกัมพูชานำไปใช้แสวงประโยชน์ร่วมกับชนชั้นปกครองไทย ข้อหาหนักที่สุดของนพดลในระหว่างนั้นก็คือการตกเป็นจำเลยร่วมขายชาติกับรัฐบาลในยุคทักษิณ ชินวัตร ที่พันธมิตรกำลังทำการต่อสู้นั่นเอง  
 
               ในขณะที่คณะธรรมยาตราแจกเอกสารอธิบายความต่างกัน โดยประเด็น “มณฑลบูรพา” นั้น ยังไม่มีการรายงานเจาะลึกโดยสื่อใดเลย สถานการณ์ในขณะนั้น ดูเหมือนว่าทุกคนต่างไม่เห็นด้วยกับการตกลงของรัฐบาล  แต่ในเหตุผลที่ต่างกันและใช้คำอธิบายต่างกัน  ประชาชนทั่วไปกำลังพูดถึงเขาพระวิหาร เขาพระวิหารกลายเป็นประเด็นร้อนที่ใครๆก็พูดถึง แต่อธิบายไม่ครบความ  เลือดรักชาติเริ่มปรากฏชัดขึ้นในกลุ่มคนไทยแบบจางๆ
 
               แต่ไม่มีนักวิชาการคนไหน หรือนักการทูตผู้เชี่ยวชาญกฎหมายระหว่างประเทศคนใด ยอมปริปากพูดถึง มณฑลบูรพาและอนุสัญญาโตเกียวเลยแม้แต่คนเดียว   นอกจากจะไม่พูดถึงในฐานะที่อนุสัญญานี้แบบไม่มีตัวตนหรือไม่เคยปรากฏขึ้นบนโลกแล้ว  ยังเป็นการจงใจละเลยที่จะพูดถึงข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์อย่างเจตนาอีกด้วย  
 
               ดูเหมือนว่าเงื่อนไขการปฏิบัติธรรมของคณะธรรมยาตราเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเกิดกระแสข่าวเรื่องการเดินธรรมยาตราเริ่มก่อผลสะเทือนและเริ่มเป็นที่จับตาดูของเจ้าหน้าที่รัฐฯหลายภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ว่าจังหวัดศรีสะเกษ !
 
 
 
 
                ร่องรอยอดีต          
 
                ไม่มีที่ไหนที่เดินทางไปแล้วจะไม่พบกองกระดูกคนตาย  การเดินธรรมยาตรา แผ่เมตตาอุทิศไปตลอดทางเป็นกิจกรรมสำคัญที่ต้องทำไปตลอดทาง     ในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่การสงครามในดินแดนแถบนี้คือสงครามระหว่างเขมรคอมมิวนิสต์ด้วยกันและสงครามอินโดจีนเพื่อป้องกันดินแดนจากนักล่าอาณานิคมฝรั่งเศส
 
                ท่ามกลางแสงแดดแผดเผา คณะธรรมยาตรานำโดยพระสงฆ์ เกษตรกร และคนชุดขาว  เมื่อไปถึงปากทางเข้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารที่มีด่านกั้นอยู่  มีนักการเมืองท้องถิ่นจากพรรคประชาธิปัตย์มาขอร่วมเดินด้วยพร้อมการถวายน้ำดื่ม ท่ามกลางการเก็บภาพข่าวของสื่อมวลชนไทยที่ขับรถมาดักรออยู่ก่อน 
 
                ระยะทาง 7 กิโลเมตรสุดท้ายจากปากทางเข้าอุทยานเริ่มเปลี่ยนจากพื้นที่ราบไปเป็นขึ้นลงตลอดระยะทาง ถนนตัดขึ้นอุทยานที่สูงชัน จึงมักทำให้เป็นแนวโค้งไปมา  ไม่ลาดดิ่งลงมาเพราะอันตรายสำหรับการขับรถ  การเดินขึ้นเขาลงเนินครั้งนี้จึงคดโค้งไปมาด้วย   นับว่าเป็นการเดินระยะสุดท้ายที่ต้องออกแรงใช้กำลังมากที่สุดของการเดินทั้งหมดตลอดระยะทางกว่า 100 กิโลเมตร    คณะธรรมยาตราเดินผ่านช่องตาเฒ่า  ผ่านกองพลทหารพราน  ผ่านสวนกล้วยไม้ และเมื่อขยับใกล้เข้าไปอีก  ก็พบสถานที่อันเป็นร่องรายสะท้อนให้เห็นแดนสงครามในอดีตคือสำนักงานกู้กับระเบิดสองสถานที่  สะท้อนให้เห็นร่องรอยในอดีตของการสงคราม   ทุกวันนี้กัมพูชายังเต็มไปด้วยกับระเบิดที่รอการกู้  พร้อมซากแห่งวิญญาณและความตาย 
 
                ถ้าหากย้อนเวลากลับไปประวัติศาสตร์ยุคเจ้าครองนครก็จะพบว่า เส้นทางเดียวกันนี้เป็นเส้นทางทัพของพระมหากษัตริย์ไทยในการปกครองประเทศราช   และแม่ทัพคนสำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์ยุคเจ้าครองนครอยู่ในราชวงศ์จักรีคือกรมพระยาบวรสุรสีหนาทหรือพระยาเสือซึ่งเป็นพระน้องยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 ทรงดำรงตำแหน่งสำคัญของมหาอุปราชวังหน้าองค์แรกของกรุงรัตนโกสินทร์นั่นเอง     เสด็จวังหน้าทรงมีชื่อเสียงร่ำลือว่าเป็นผู้ปราบกัมพูชาอย่างราบคาบในรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี   เส้นทางทัพเดิมคือขุขันธ์  สังขะ ไปจนถึงเสียมราฐเลยทีเดียว  (ในปัจจุบันขุขันธ์อยู่ในศรีสะเกษ สังขะอยู่ในจังหวัดสุรินทร์)   บทบาทของเสด็จวังหน้าหรือพระยาเสือนั้นอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของพระเจ้าแผ่นดินสองรัชกาลในช่วงเวลาของการผลัดแผ่นดินถึงสามครั้งคือจากกรุงศรีอยุธยา มาสู่กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ในที่สุด  และเป็นพระสหายร่วมรบกับพระมหากษัตริย์กู้ชาติองค์สำคัญคือพระเจ้าตากสินมหาราชและรัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์จักรี  สงครามรบกับพม่าเก้าทัพคือหนึ่งในผลงานของเสด็จวังหน้าทรงสร้างเกียรติภูมิในฐานะแม่ทัพคนสำคัญที่ทรงป้องกันศัตรูจากพม่าข้าศึกสำเร็จ  ชัยชนะของชาติสยามต่อกัมพูชาที่ถูกจารึกไว้คือการเกณฑ์ทหารกัมพูชาลงเรือล่องออกไปรบสู้กับญวณจนได้รับชัยชนะ 

                มาถึงตอนกลางของราชวงศ์จักรีประวัติศาสตร์การต่อสู้ในดินแดนแถบนี้เปลี่ยนไป   เมื่ออิทธิพลของลัทธิล่าอาณานิคมปรากฏ   ในยุคที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๕ เผชิญศึกหนักที่สุดในการประคองดินแดน “มณฑลบูรพา” ให้พ้นจากการยึดครองจากชาติอาณานิคมอย่างฝรั่งเศส 

                ที่จะต้องว่ากันให้เห็นชัดคือบทบาทการกู้ชาติออกรบของแม่ทัพของเสด็จวังหน้าในอดีต  เกิดขึ้นในช่วงต่อของประวัติศาสตร์สองยุคคือ  ประวัติศาสตร์ยุคกลางในยุคของเจ้าครองนคร (Feudal State) เมื่อมาสู่ยุคของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ นั้นเป็นช่วงรอยต่อของประวัติศาสตร์ยุคใหม่ (Modern History) ที่รัฐเจ้าครองนครกำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่การสร้างชาติใหม่ (Modern State)   หากนับช่วงการเปลี่ยนแปลงกำลังพลของเสด็จวังหน้ากรมพระยาบวรมหาสุรสีหนาทในช่วงรัชกาลที่ ๑ มาถึงรัชกาลที่ ๕ นั้นระยะเวลาห่างกันไม่ถึงร้อยปีเท่านั้น  ที่โลกก้าวขึ้นสู่ช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการจัดระเบียบโลกใหม่  ส่งผลต่อการจัดการประเทศและการประกาศจุดยืนต่อประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
 
                ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงนี่เองที่ทำให้เงื่อนไขการต่อสู้ปกป้องราชอาณาจักรต้นราชวงศ์และกลางราชวงศ์จักรีนั้นต่างกัน   ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ คู่สงครามกับชาติสยามคือกัมพูชา    แต่ในสมัยของพระพุทธเจ้าหลวงคู่กรณีมิใช่กัมพูชาอีกต่อไปเนื่องจากในขณะนั้นกัมพูชาเป็นประเทศราชของสยาม  คู่ต่อสู้เพื่อปกป้องอธิปไตยดินแดนของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ กลายเป็นฝรั่งเศส นักล่าอาณานิคมที่คืบคลานเข้ามาดินแดนแถบนี้ตั้งแต่สมัยราชอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาเป็นต้นมา  เปลี่ยนแปลงบทบาทของชาติตนเอง จากการนำอาวุธมาค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้า  มาเป็นการใช้แสนยานุภาพอาวุธข่มขู่คุกคามชาติสยามแทน   
 
                การต่อสู้ของพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ ๕ คือการต่อสู้ทางปัญญากับภัยของลัทธิมิจฉาทิฎฐิที่อุบัติขึ้นโลกคือลัทธิล่าอาณานิคม (Colonialism) เป็นลัทธิเอาเปรียบ แบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ใช้กำลังเข้าคุกคามและด้อยมนุษยธรรม   เป็นการต่อกรที่แตกต่างจากการต่อสู้ทำสงครามระหว่างรัฐเล็กรัฐน้อยในยุคเจ้าครองนครที่กระทบกระทั่งทางดินแดน   แต่การต่อสู้ทาง “ลัทธิ” เป็นการต่อสู้จากความเห็นผิดของมนุษย์    ซึ่งนับว่าเป็นช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่นับว่าส่งผลต่อเนื่องยาวนานมายังระบบเศรษฐกิจเอารัดเอาเปรียบ ที่ก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ความรวยความจนและความแตกต่างของชาติต่างๆ  ข้ามมานับศตวรรษเลยทีเดียว
 
 
 
   

    
 
                ช่วงเวลาที่เดิน โค้งสุดท้าย...ถึงผามออีแดง
 
                และแล้วการตั้งกล้องรอถ่ายภาพนักกีฬาก็เกิดขึ้นโดยกองทัพสื่อมวลชน !!!  

                ระยะทางจากภูมิซรอลถึงบริเวณอุทยานรวมทั้งหมดประมาณ 10 กิโลเมตร  นับจากปากทางเข้าอุทยานถึงบริเวณผามออีแดงเป็นระยะทาง 7 กิโลเมตรที่เป็นเนินขึ้นลงตลอดทาง  นับเป็นโค้งสุดท้ายของการเดินที่ยากและทรหดที่สุด   ระหว่างการเดินนั้น  ปรากฏมีกลุ่มพันธมิตรขับรถนำเราไปเป็นคาราวานรถตู้พร้อมธงชาติปลิวไสว    เว้นช่วงสักระยะหนึ่งคือคาราวานช็อปเปอร์พร้อมศิลปินชายขอบผมยาว     นอกจากนั้นก็มีรถเก๋งส่วนตัว แซงหน้าขึ้นไปบ้างประปราย   เครือข่ายเหล่านี้เกิดจากการประสานงานผ่านเครือข่าวสมัชชาเกษตรรายย่อยนำโดยรณชิต ทุ่มโมง อดีตพคท.เก่า และคณาจารย์นักเคลื่อนไหวแนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในตัวจังหวัด   ทุกฝ่ายกำลังมุ่งตรงไปที่เดียวกันโดยพาหนะต่างกัน   แต่ทุกฝ่ายกำลังรอการเดินเท้าของคณะธรรมยาตราแต่เพียงกลุ่มเดียว

               แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือนักกีฬากลุ่มนี้มีเรื่องบอกเล่ามากมายเกินความคาดเดา  นอกเหนือจากเอกสารที่แจกจ่ายมาตลอดทางพร้อมแผ่นป้ายทวงคืนมณฑลบูรพาเขาพระวิหารด้วยอนุสัญญาโตเกียวพุทธศักราช ๒๔๘๔ คริสตหรือศักราช ๑๙๔๑
 
                การประกาศว่าคณะธรรมยาตราไม่ได้เป็นพันธมิตรทำให้คณะธรรมยาตราได้รับการต้อนรับแบบแปลกๆเช่นกันจาก เครือข่ายแกนนำพันธมิตรฯที่ปักหลักปราศรัยอยู่ที่อำเภอเมืองจังหวัดศรีสะเกษในขณะนั้น    ในขณะที่พันธมิตรฯเลือกรูปแบบม็อบปราศรัยอยู่กับที่  แต่คณะธรรมยาตราเลือกการเคลื่อนไปด้วยการเดินที่มีความสุ่มเสี่ยงต่ออันตรายมากกว่า       การเลือกรูปการต่อสู้ต่างกันเช่นนี้เพราะเกิดจากการตกผลึกทางความคิดเรื่องการต่อสู้อหิงสาพุทธซึ่งเป็นการปฏิบัติขั้นสูง ***  แต่ที่เหนืออื่นใดคือ “ปริศนา” ของการเดินที่ว่าคณะธรรมยาตราจะเดินไปถึงสุดยอดแดนสยามที่เขาพระวิหารเพื่อจุดประสงค์ใด  และจะนำการเคลื่อนนี้ไปจบที่ใด     สิ่งเหล่านี้ก่อผลสะเทือนอย่างมากต่อ  “ระบบการบริหาร ”  กลไกรัฐทั้งหมด  นับตั้งแต่ผู้ว่าราชจังหวัด นายอำเภอ อบจ. อบต. ตำรวจ ทหาร  เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติ ซึ่งเป็นระดับปฏิบัติงานทั้งหมด ยิ่งคณะธรรมยาตราเคลื่อนใกล้บริเวณอุทยานแห่งชาติเข้าไปทุกที  ความกดดันที่มีต่อกลุ่มคนเหล่านี้ก็เกิดขึ้นเพิ่มขึ้นทุกทีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  และนั่นคือเงื่อนไขการทำงานของคณะธรรมยาตราที่พร้อมเผชิญแรงเสียดทานทุกรูปแบบที่ระเบิดมาจากเจ้าหน้าที่รัฐกลุ่มนี้

                 คณะธรรมยาตราเดินไต่เนินพร้อมการร้องเพลง “แผ่นดินของเรา” สลับกับ “ เพลงบูชาคุณบรรพบุรุษ..”  มาตลอดทาง รวมทั้งเพลงปลุกใจรักชาติอีกหลายต่อหลายเพลง   
 
                 ในท่ามกลางการรายงานข่าวต่อเนื่องโดยสื่อมวลชนท้องถิ่นนั้น  คณะธรรมยาตราชุดขาวไม่มีโอกาสรู้เลยว่าคนที่ได้รับความกดดันมากที่สุดจากการเคลื่อนของคณะธรรมยาตราไปประชิดดินแดนนั้นไม่ใช่คนไทย  หากแต่เป็นรัฐบาลกัมพูชาภายใต้การนำของสมเด็จฮุนเซน  เพราะได้มีข่าวรายงานแจ้งว่ารัฐบาลฮุนเซนได้สั่งปิดประตูทางขึ้นเขาพระวิหารฝั่งไทยแล้วอย่างไม่มีกำหนด  และเป็นการสั่งปิดก่อนที่คณะธรรมยาตราจะเคลื่อนขบวนไปถึง   โดยให้เหตุผลอย่างเดียวในขณะนั้นว่าจะเปิดก็ต่อเมื่อกลุ่มคนชุดขาวเดินทางกลับไปก่อน  การก่อผลสะเทือนของคณะธรรมยาตราได้ผลแล้วจริง!! 
 
     
                  ชุดขาวนำชี้แผ่นดิน....เอาแผ่นดินของเราคืนมา
 
 
                 เมื่อไปถึงบริเวณผามออีแดง  มีการเตรียมเวทีธรรมชาติไว้เรียบร้อยโดยเครือข่ายทั้งหลายที่ทำการปราศรัยไปล่วงหน้าก่อนคณะธรรมยาตราจะเดินทางมาถึง   ในขณะที่กองทัพสื่อมวลชนตั้งแถวรอต้อนรับอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง  คณะธรรมยาตราไม่ได้หยุดพักทานอาหารระหว่างทางเพราะต้องการเดินให้ถึงอุทยานให้เร็วกว่าที่ตั้งเป้าไว้   มีเสียงปรบมือต้อนรับจากคนที่ไปถึงอยู่ก่อนแล้ว  ดูคึกคัก อบอุ่นดี
 
                 คณะธรรมยาตราในสภาพเหนื่อยล้า  ได้รับการอนุเคราะห์อย่างมีน้ำใจจากชาวศรีสะเกษ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย  จัดอาหารและน้ำดื่มดูแลกันอย่างมีน้ำใจ    ระหว่างนั้น อ.สมาน ศรีงาม แกนนำของคณะธรรมยาตราทำการปราศรัย    โดยมีแผ่นป้ายและมวลชนชุดขาวจำนวนหนึ่ง  การถ่ายรูปเก็บภาพต่อหน้าสื่อมวลชนเป็นไปอย่างวุ่นวาย   โค้งหินธรรมชาติที่ปรากฏนั้น เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง   เพราะฝ่ายที่ขับรถขึ้นมาก่อน ต่างร่วมยืนถ่ายรูปร่วมกัน  จากโค้งด้านซ้ายมาจรดโค้งด้านขวา เหมือนการแพนกล้องของช่างถ่ายรูปในวันรับปริญญาไม่มีผิด

                ช่วงเวลานั้นพันธมิตรใส่เสื้อสีดำ ด้านหลังเขียนว่ามหาวิทยาลัยราชดำเนิน และเลือกโพกผ้าที่ศรีษะสีเหลือง  ส่วนแผ่นป้ายสีขาวนั้น คือคณะธรรมยาตรา   อยู่ท่ามกลางพันธมิตรในเสื้อสีเหลืองบ้างสีดำบ้างสลับกันไป  พร้อมธงสีเหลืองและแผ่นป้ายสีเหลือง          คณะธรรมยาตราได้หยุดพักหลังการปราศรัยและถ่ายรูปโดยสื่อมวลชน  บางส่วนของเราเข้าร่วมประชุมกับหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารและเจ้าหน้าที่บางส่วนที่มีการเตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้า    
 
                 หลังจากกลับออกมาจากที่ประชุม  อ.สมาน ก็ได้นำความประหลาดใจมาสู่เวทีและประกาศต่อพันธมิตรและประชาชนชาวศรีสะเกษที่เข้าร่วมทุกคนว่า   คณะธรรมยาตราขอยื่นหนังสือทวงคืนเขาพระวิหารจากนายนายรั๋วะ เฮง ประธานช่องพระวิหารของกัมพูชา และให้อพยพชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้งชุมชนในเขตไทยบริเวณเชิงเขาพระวิหารออกไป   ได้มีขั้นตอนการเชิญแต่นายรั๋วะ เฮงแต่ได้รับการปฏิเสธ  จึงได้ทำการยื่นหนังสือผ่านพ.อ.เวิน จำปาสา หัวหน้าประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชาแทน   ขณะนั้นสื่อมวลชนต่างเก็บภาพรายงานข่าวเป็นการใหญ่    แกนนำธรรมยาตรายังรุกต่อผู้แทนกัมพูชาอีกด้วยว่าจะชุมนุมจนกว่าจะทวงเขาพระวิหารคืนมาได้ โดยตั้งศูนย์ประสานงานทวงคืนเขาพระวิหาร ที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารด้วย
 
               คณะธรรมยาตราประกาศการรุกอีกครั้งด้วยการลงมติเชิญชวนผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกฝ่ายพากันเดินไปร่วมกันชี้แผ่นดินที่บริเวณลานหินแดง ซึ่งจะต้องออกแรงเดินกันไปตามทางลาดยางมะตอยอีกประมาณ 300 เมตร   
 
                ตกลงได้ดังนั้น ขบวนประชาชนในเสื้อหลากสี  พร้อมทั้งพระสงฆ์องค์เจ้าก็ทำการเคลื่อนตัวเดินมาตามทางเป็นทิวในเวลาแดดร่มลมตกแล้ว     ทุกฝ่ายต่างพากันเคลื่อนเดินมาเป็นทิวอย่างยิ้มน้อยยิ้มใหญ่   นี่เป็นอีกหนึ่งข้อตกลงที่เจ้าหน้าที่ตำรวจและกลไกรัฐระหว่างนั้น ไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจที่จะอนุญาตให้คนไทยเดินเข้าไปชี้ดินแดนอย่างสง่าภาคภูมิ   จึงทำการอนุญาตเป็นอย่างดี   การเดินเข้าไปบริเวณดังกล่าวของคนไทย จึงดูเหมือนระลอกคลื่นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยจิตใจผ่อนคลายมิได้โกรธขึ้ง    ถ้าหากเจ้าหน้าที่ทำการขัดขวาง  ภาพที่ปรากฎออกมาคงมิได้เป็นแบบนั้น
 
                 เมื่อมาถึงบริเวณลานหินแดง  หมู่บ้านชาวเขมรตั้งอยู่ในหลุบเขาเบื้องหน้าลานหินไม่ถึง100 เมตร  เป็นหมู่บ้านที่มีการตั้งคำถามมาตลอดว่าเพราะเหตุไรรัฐบาลไทยในยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตรอนุญาตให้ชาวกัมพูชาเข้าไปสร้างบ้านเรือนในอาณาบริเวณได้   เป็นความผิดปรกติ ไม่ชอบมาพากล ที่รัฐบาลไทยสมควรถูกซักฟอกมากที่สุด 
ปรากฏตามข่าวว่า เขตพื้นที่ทับซ้อนนี้ได้มี  “บันทึกช่วยจำ”  ซึ่งเป็นภาษานักการทูตระบุไว้ว่า.......
 
 
ภาพข่าวจากหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นศรีสะเกษ
ภาพข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ในวันที่ 23 มิถุนายนครอบครัวทับซ้อน พ่อ แม่ลูกที่ภายหลังกลายเป็นข่าวดังเมื่อสามี ถูกเจ้าหน้าที่กัมพูชาจับตัวไป
  
              คณะธรรมยาตราเริ่มต้นด้วยพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ด้วยการนำเจริญมนตร์โดยพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร พระวิจิตร ญาณโสภโณ และพระที่ติดตามมาอีกสองรูป  บรรดาประชาชนยืนเป็นแถวยาวเรียงหน้ากระดานหันไปทางหมู่บ้านกัมพูชา   จากนั้นจึงตามด้วยการชี้แผ่นดิน มีการบันทึกภาพและเสียงคนไทยเปล่งเสียงพร้อมกันดังสนั่นว่า “ เอาแผ่นดินของเราคืนมา”  
 
                ในระยะห่างไม่ถึงหนึ่งร้อยเมตรจากฝั่งกัมพูชา ชาวกัมพูชาในหมู่บ้านที่พำนักอยู่ในพื้นที่อุทยานมองเห็นขบวนประชาชนเสื้อหลากสีจากฝั่งไทย  พากันสวดมนตร์แล้วพากันชี้นิ้วระเบ็งเซ็งแซ่ ไปที่เขตสันปันน้ำที่ฝรั่งเศสอำพรางไว้  ทำให้การแบ่งพรมแดนระหว่างไทยกับกัมพูชามีปัญหา  กองทัพสื่อมวลชนที่รอทำข่าวอยู่ทั้งหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ต่างแย่งกันถ่ายภาพและอัดเสียง    ในฝั่งกัมพูชานั้นมีชาวบ้านออกมากรูยืนดูเช่นกันด้วยความตระหนกตกใจ  ภาพข่าวชิ้นนี้ปรากฎพาดหัวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับในวันต่อมาและการชี้แผ่นดินในครั้งนี้ก่อผลสะเทือนถึงระดับนโยบายของทั้งสองประเทศในบัดดล
 
               เมื่ออาทิตย์ลับขอบฟ้าคณะธรรมยาตราพร้อมชาวศรีสะเกษและพันธมิตรฯบางส่วนที่ตามไปร่วมชี้แผ่นดินด้วยเดินย้อนกลับมาตามทางเป็นทิว  กองทัพชี้แผ่นดินต่างปรารภด้วยความรู้สึกอิ่มเอมใจในวีรกรรมที่ได้ทำไป  กลุ่มศิลปินชายขอบยังคงบรรเลงเพลงให้ฟังอยู่ก่อนย่ำค่ำที่ลานปราศรัย    ในเวลาก่อนพลบค่ำของวันเย็นอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายนนั่นเองที่คณะธรรมยาตราได้ทำการเคลื่อนศาลาไทยที่สั่งซื้อมาด่วนที่สุดในราคา 16,000 บาทให้ชื่อว่า “ บ้านอธิปไตย” เพื่อนำไปตั้งเป็นสำนักงานชั่วคราวของคณะธรรมยาตราที่บริเวณจุดชมวิวผามออีแดง    มีการทำพิธีเจิมบ้านโดยพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร เมื่อเสร็จพิธีกรรมพระสงฆ์จากวัดตะล่อมนำโดยพระมหาบุญถึงพร้อมคณะธรรมยาตราส่วนหนึ่งก็เดินทางกลับกรุงเทพ  เหลือพระสงฆ์อีกเพียงหนึ่งรูปคือพระวิจิตรที่ยังปักหลักร่วมเคลื่อนไหวกับฆราวาสอีกไม่ถึง15 คน
  
               คืนวันนั้นคณะธรรมยาตราได้รับการอนุเคราะห์จากอุทยานฯให้ได้พักในบ้านพักอุทยานซึ่งอยู่เบื้องล่างลงไปอีก 7 กิโลเมตร วันนั้นทุกคนมีเรื่องเล่าขาน พูดถึงบรรยากาศของการทวงแผ่นดินคืนอย่างภาคภูมิใจ โดยไม่มีอาหารตกถึงท้องสักคนเดียว   ได้เพียงส้มสูกลูกไม้ และกล้วยที่ซื้อติดค้างไว้ในรถขนของรองท้องไปชั่วข้ามคืน   ในวันรุ่งขึ้นคณะธรรมยาตรากลุ่มนี้ก็ได้เริ่มต้นการทำงานชิ้นใหม่ในวันรุ่งขึ้นทันที   
  
 
                  

 
 

 

 
                                 
   
     
 
 
  
 
          

 
 
 
 
  
                            
  



Webboard is offline.