Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
“อาตมาเป็นนักปฏิวัติตลอดชีวิต”
บทสัมภาษณ์พิเศษพระนักปฏิวัติ “สุเทพ ชินวโร”จากปฏิวัติคอมมิวนิสต์สู่ปฏิวัติจิตวิญญาณ
 
 
สำนักสื่อปฏิวัติสันติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
กรุงเทพ : ๑๕ ก.ค. ๒๕๕๒ 
   
        สำนักสื่อปฏิวัติได้มีโอกาสกราบนมัสการพระสงฆ์ในบวรพุทธศาสนารูปหนึ่งที่เล่าขานกันปากต่อปากว่าท่านสอนกรรมฐานดอกบัว ๗ ดอก  แต่สิ่งที่ทำให้ทีมงานสนใจท่านมากกว่าคือ ภูมิหลังและประสบการณ์ของท่านในฐานะอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และอดีตผู้นำนักศึกษาคนสำคัญในช่วงตุลา 14 ที่ละทางโลกมาสู่ทางธรรมอย่างถาวร    จบลงที่การเข้าป่าบ่มเพาะวิชานักต่อสู้แบบคอมมิวนิสต์สู่การเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างสิ้นเชิงด้วยการออกบวชเป็นพระสงฆ์และไม่สึกอีกเลย  จากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นระยะเวลาเกือบ 30 ปี

 


      

        พระสุเทพ ชินวโร หรืออดีตนายสุเทพ ลัคนาวิเชียรหรืออดีต “สหายสมเดช”  คือบุคคลแห่งแฟ้มประวัติประเดิมงานสื่อปฏิวัติของ RPA   ที่ต้องการเผยแพร่แนวทางวิธีคิดของนักปฏิวัติทุกคนโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักปฏิวัติทางจิตวิญญาณ

        พระอาจารย์สุเทพ ชินวโร ปรากฏตัวท่ามกลางสายฝน ในวันที่ ฝนตกและรถติดอย่างหนักในกรุงเทพมหานคร  จุดนัดสัมภาษณ์คือบริเวณชานหน้ากุฏิ วัดปรินายก   ฝนตกรถติดทำให้การนัดอย่างเร่งด่วนครั้งนี้คลาดเคลื่อนผิดเวลา แต่เป็นการรอคอยที่คุ้มค่า เพราะว่าเป็นการสัมภาษณ์พิเศษฉบับปฐมฤกษ์ของสำนักสื่อปฏิวัติ  และเป็นการสัมภาษณ์นักปฏิวัติที่ประกาศตัวชัดเจนแม้ยังอยู่ในเพศบรรพชิต

         “ ปรกติแล้วไม่ค่อยเล่าประวัติให้ใครฟัง แต่เห็นว่านี่เป็นกรณีพิเศษ “ พระอาจารย์สุเทพกล่าวก่อนเริ่มต้นเล่าประวัติความเป็นมา
 
         “ อาตมาเป็นนักปฏิวัติตลอดชีวิต “  พระอาจารย์สุเทพกล่าวทันทีที่เริ่มต้นเล่า
 
        “ อาตมาเป็นประธานนักศึกษาในสมัยนั้นตั้งแต่ก่อนปี 14 ชื่อจริงคือสุเทพ ลัคนาวิเชียร เป็นคนอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี   ปี 14 ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัยในสมัยรัฐบาลจอมพลถนอม กิตติขจร  ....เป็นประธานนักศึกษา  เป็นผู้นำ   พากันไปประท้วงที่บ้านจอมพลถนอม กิตติขจร  ได้เข้าเจรจาต่อรองจนจอมพลถนอมรับปากยอมตามเงื่อนไขแต่วันต่อมากลับเปลี่ยนคำพูด  “

        ในขณะนั้นพระอาจารย์สุเทพหรือนายสุเทพมีอายุ  21 ปี เรียนอยู่ปีสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  มีโอกาสในอนาคตทางการศึกษา  เป็นเด็กนักเรียนเรียนดีในชั้นต้น  แต่เหตุการณ์พลิกผันที่เขาถูกไล่ออก  

        “ มันไม่ใช่ธรรมดา เขาใช้นักศึกษาที่เคยเคลื่อนไหวด้วยกัน เป็นเพื่อนกันนี่แหละมาไล่เราออก  มากันเป็นกลุ่มๆเลย มาขับออกจากมหาวิทยาลัย  เพราะเราต่อต้านระบบ seniority มาก่อน ตอนนั้นเขาเริ่มป้ายสีให้แล้วว่าเราเป็นคอมมิวนิสต์“  
 
      เหตุการณ์เริ่มบานปลายเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งออกมาชุมนุมประท้วงต่อเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับผู้นำและเกิดการระดมเงินเรี่ยรายกันให้ผู้นำนักศึกษาที่ถูกไล่ออกไปเรียนต่อเมืองต่างประเทศแทน 

         ในช่วงจังหวะนั้นนั่นเองที่นายสุเทพก็ได้รับการติดต่อจากสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของจริง
 
        “ เป็นอาจารย์ใน มหาวิทยาลัยนี่แหละ ที่เมื่อเห็นเรามีปัญหาก็ยื่นมือเข้ามาช่วยชื่ออ.ผสม เพชรจำรัส เคยเป็นเยาวชนที่ไปรัสเซีย อาจารย์ก็ให้นามบัตรมาว่าจะมีคนมาติดต่อเราให้ไปลองคิดดู จริงๆอาจารย์เป็นมานานแล้วแต่ไม่กล้าเปิดตัว ทำหน้าที่เป็นอาจารย์ที่ปรึกษาของนิสิตมาแต่แรก”

         “ ตอนนั้นก็มีทางเลือกอยู่สองทางระหว่างการไปเรียนต่อเมืองนอกกับการเข้าร่วมกับคอมมิวนิสต์ ถูกคนระดับจอมพลถนอมโกหกผิดคำพูดกับเรา  แต่คนธรรมดาสามัญเขากลับมาช่วยเรา” 

         การกระโจนเข้าสู่วิถีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ของพระอาจารย์สุเทพมาจากการถูกกดดัน สภาพความเป็นคนรุ่นใหม่หัวก้าวหน้า   และภาวะผู้นำที่มีอยู่ในตัวทำให้แนวร่วมคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยเปิดโอกาสให้เขาเต็มที่ 
 
        เหตุการณ์ต่อจากนั้น ก็คือการเข้าร่วมขบวนการเคลื่อนไหวทางความคิดของคอมมิวนิสต์ด้วยการเริ่มทำงานในโรงงานอัดน้ำมันพืช  กลายเป็นนักเคลื่อนไหวเต็มตัว  ได้เข้าร่วมประชุมกับนักศึกษาหัวก้าวหน้าจากหลายแห่ง ได้สัมพันธ์กับส.ศิวรักษ์ จากนั้นก็ไปทำงานหนังสือกับอนุช อาภาภิรมย์  เข้าร่วมกิจกรรมแบบพ้นสภาพการเป็นนักศึกษา ได้ทำงานทางความคิดเต็มตัว  

        “ ได้เปรียบก็ตรงที่เราได้ทำทั้งในส่วนที่เปิดและในส่วนที่ปิด” เมื่อกลายเป็นนักเคลื่อนไหวเต็มตัว นายสุเทพก็ได้เขียนหนังสือ และเคลื่อนไหวขับไล่เผด็จการถนอม  มีการประชุมกลุ่มเยาวชนจัดตั้งฝั่งซ้ายโดยเฉพาะในกลุ่มก้าวหน้า และได้รับการยอมรับเป็นสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ยังอยู่ในเมือง

        “ สมัยก่อนมีองค์การสันนิบาตเยาวชนประชาธิปไตยแห่งประเทศไทย (สยช.)  สันติบาลก็รู้ดีว่าเป็นเยาวชนคอมมิวนิสต์  ต่อมาก็กลายเป็น  ยุวชนสยาม มีกลุ่มปริทรรศน์เสวนา ทำหนังสือชื่อชมรมคนรุ่นใหม่ออกมา”

         เหตุการณ์การเมืองภายในประเทศเพิ่มคุกกรุ่น จนกระทั่งเกิดกรณีทุ่งใหญ่นเรศวร ในวันที่ 20-21 มิ.ย. 2516 และบานปลายต่อจนกลายเป็นการรวมตัวกันของนักศึกษาเพื่อโค่นล้มเผด็จการทหาร  ตุลาวิปโยคเกิดขึ้น  การเข่นฆ่าเอาชีวิตนักศึกษาด้วยข้อกล่าวหากระทำการเป็นคอมมิวนิสต์

         นายสุเทพก็เป็นหนึ่งในเยาวชนคนไทยที่ข้าป่าร่วมกับกองทัพปลดแอกมาก่อน ภายใต้ชื่อจัดตั้งใหม่ว่า “สหายสมเดช”     เมื่ออยู่ในป่าสหายสมเดชทำหน้าที่ฝ่ายข่าวประจำอยู่ในสำนัก 61 ในป่าที่สุราษฎร์ธานี ก่อนจะย้ายไปทางเหนืออยู่ที่อำเภอเชียงคำ เข้าประเทศลาวและลงมาอยู่จังหวัดน่าน  รวมเวลาเบ็ดเสร็จทั้งหมด 4 ปี ก่อนที่รัฐบาลจะปฏิบัตินโยบาย 66/23 เพื่อให้สมาชิกพคท.ออกจากป่ามาร่วมพัฒนาชาติ
 
         เมื่อถามถึงจุดหักเหมาสู่การสู่เพศบรรพชิต  ซึ่งเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุดในฐานะนักปฏิวัติสังคมแบบคอมมิวนิสต์ที่เชื่อเรื่องการปฏิวัติทางชนชั้นและเป็นการปฏิวัติรุนแรงและตรงข้ามกับวิถีพุธในเพศบรรพชิตอย่างสิ้นเชิง

         “ ตอนนั้นออกมาจากป่าในฐานะนักพัฒนาชาติไทย ต้องไปรายงานตัวกับสันติบาลเพื่อเข้าเรียนต่อหลังออกจากป่า  แต่ความรู้สึกและประสบการณ์เรามันเกินตรงนั้นไปแล้ว  อีกอย่างหนึ่งก็คือเราเคยถูกไล่ออกมาก่อน  เลยไม่ไปรายงานตัว เกิดทัศนะ challenge ท้าทายขึ้นมาต่อระบบการศึกษา  เลยปฏิเสธการเข้าไปเรียนต่อ”

        “ ตอนเข้าไปอยู่ในป่า เราเป็นนักปฏิวัติอาชีพ ชีวิตความเป็นอยู่เรามันคล้ายพระ เรียบง่าย พูดโกหกไม่เป็น  ไปเยี่ยมแม่ที่บ้านเกิด  แม่อยากให้บวช ก็เลยบวชให้”

         ในช่วงนี้เองที่พระอาจารย์สุเทพตกผลึกอย่างใหญ่หลวงทางความคิดอีกขั้นหนึ่งและนับว่าเป็นจุดหักเหของชีวิต
นักปฏิวัติอย่างใหญ่หลวง
  
         “ พอบวชแล้วเกิดความเห็นสองสามอย่าง คือถ้าไม่ได้บวชจะไม่รู้จักวัฒนธรรมไทยที่แท้จริง  ทำให้เข้าใจว่าทำไมคนไทยยิ้มง่าย ไม่โกรธง่าย ไม่เดือดร้อนง่าย เข้าใจวัฒนธรรมทางจิตวิญญาณ ต่างจากนักปฏิวัติในป่า”

          พระอาจารย์สุเทพในเวลานั้น คือสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์ที่เพิ่งออกมาจากกองทัพแดงคอมมิวนิสต์
ที่มีประสบการณ์เห็นการฆ่าฟันกันระหว่างกองทัพไทยและกองทัพแดงคอมมิวนิสต์   การย้อนรอยในอดีตจึงเป็นการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง 
 
          “แต่ก่อนเราเป็นคนโง่ที่คิดคนละอย่าง  จริงๆแล้วสิ่งมีชีวิตทุกอย่างต้องดับสูญหมดโดยไม่ต้องลงแรงฆ่า ยังไงๆมันก็ต้องตายอยู่แล้ว แล้วไปฆ่ากันตายทำไม  เลยเห็นว่าที่ผ่านมามันเป็นความไม่ฉลาดที่ไปเปลืองสติปัญญาที่ไปเสียเวลาทำอย่างนั้น  ก็มาทำในเรื่องประเทืองปัญญา ทำให้คนรู้แบบที่เรารู้เพิ่มขึ้น” 

          “ บวชในพรรษาแรกก็เปลี่ยนในขั้นต้น พอบวชหลายปีเข้า เริ่มเห็นเพื่อนฝูงที่อยู่ทางโลกเขารวยกัน เราเป็นพระ ก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา มองว่าโชคชะตาของเราตกต่ำ  แต่จู่ๆระหว่างที่เดินอยู่ในกรุงเทพก็คิดได้เองว่าที่เราทำอยู่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก  วันๆหนึ่งเราทำแต่เรื่องสติปัญญา ทำเรื่องจิตวิญญาณ  เกิดความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ มีค่า พลิกจากความรู้สึกด้อยค่ามาเป็นมีค่ามาก “ 
 
         “ คำสอนของพระพุทธเจ้าสอนให้คนมีอิสระเสรีภาพอย่างแท้จริง ให้โอกาสอิสรภาพทางปัญญาอย่างแท้จริง  ที่ไม่ให้ยึดเนื่องจากการมีอุปาทาน  ไม่ว่าจะอยู่ชนชั้นไหน เศรษฐี ยาจก กษัตริย์ มีสาระของความทุกข์เหมือนกัน  ไม่มีสูงไม่มีต่ำ “ 
 
        จากนั้นงานสอนธรรมะในหน้าที่ของพุทธสาวกก็เกิดขึ้น  ทดแทนบทบาทฆราวาสที่คร่ำหวอดอยู่กับความมุ่งหวังปฏิวัติสังคมด้วยอุดมการณ์คอมมิวนิสต์สู่สังคมอุดมคติแบบพุทธแทน  จากนักปฏิวัติคอมมิวนิสต์กลายเป็นนักปฏิวัติทางจิตวิญญาณ

           “ ก า ร ห ยุ ด เ ป็ น สิ่ ง ดี ไม่เคยรู้สึกว่าพ่ายแพ้ และไม่เคยหยุดการปฏิวัติ เพราะเชื่อว่าการช่วยเหลือประชาชนเป็นสิ่งที่ถูกต้อง การที่พรรคคอมมิวนิสต์ยุติการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งดี” พระอาจารย์สุเทพกล่าว เมื่อถามย้อนหลังถึงการออกจากป่ามาสู่เมืองอันเป็นผลมาจากการปฏิบัตินโยบาย 66/23

            “ อาตมาเกิดข้อกังขาขึ้นมากับกระแสคอมมิวนิสต์สากล  การหยุดการเคลื่อนไหวจึงเหมือนการเรียนรู้ สถานการณ์ของโลก ทำให้ได้ทบทวน   การต่อสู้นำไปสู่การปฏิวัติเพื่อให้ได้อำนาจมา แต่เมื่อได้อำนาจมาแล้วจะทำให้เกิดสงบสันติยังไง   เป็นสิ่งสะท้อนเข้ามาในความรู้สึก” 

            “กระแสสากลทำให้เกิดความไม่แน่ใจในลัทธิมาร์กซ์ที่มีอยู่ในประเทศอื่น  แต่สำหรับส่วนตัวแล้วปรัชญาทฤษฎีวิภาษวิธียังถือว่าเป็นเครื่องมือศึกษาชีวิตในเชิงปรัชญาได้ดีที่สุดเครื่องมือหนึ่ง”  พระอาจารย์สุเทพกล่าว

             เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มเสื้อเหลืองและเสื้อแดง  ที่มีอดีตพคท.ทำแนวร่วมเคลื่อนไหวอยู่ คำวิจารณ์ตรงเป้าของพระสุเทพคือ

             “ พวกนี้รากฐานทางทฤษฎีไม่แน่น เขาจับแต่คำพูดฉาบฉวย ไม่ได้จับไปที่กระบวนการปฏิวัติจริง”

             พระอ.สุเทพหรืออดีต “สหายสมเดช” วิจารณ์อย่างไม่อ้อมค้อม   ถึงการเคลื่อนไหวม็อบด้วยวิธีปราศรัยบนเวทีทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง

             “ ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างในเรื่องสติปัญญา ต้องไม่เมาคำพูด จึงจะนำผู้คนได้  เขาทำงานด้วยอารมณ์ ไม่ได้ใช้ปัญญา ไม่มีความรู้มูลฐานเพียงพอ”

             “ สิ่งที่เป็นความจริงบ้านเรามันพูดไม่ได้  ก็เลยพูดบิดไปบิดมา  บ้านใดสังคมใด ไม่สามารถแสวงความจริงอย่างเปิดเผย บ้านนั้นเมืองนั้น ย่อมเข้าสู่กลียุค ขึ้นอยู่กับว่าช้าหรือเร็ว”

            พระอาจารย์สุเทพขยายความต่อว่า มนุษย์สร้างเครื่องมือแรกขึ้นมาคือภาษา เป็นเครื่องมือในการสื่อสาร แต่ในหลักพุทธศาสนา ภาษาคือสัญญา ภาษาไม่ใช่ความจริง  และไม่ใช่ความจริงแท้   แต่ปัญหาในประเทศคือคนที่ศึกษาเข้าไม่ถึงทฤษฎีจริง  และขาดความรู้ขั้นมูลฐานอย่างสิ้นเชิง

            “ ภาษานักคิด นักทฤษฎีอ่านหนังสือมาเยอะ เหมือนเด็กๆ เราก็เคยเป็นเด็กมาก่อน”  พระอาจารย์สุเทพขยายความด้วยการให้แง่คิดต่อและสรุปลงที่ว่า  “ถ้าใช้ภาษาเปลี่ยนใจคนได้จึงจะเป็นประโยชน์จริง”

            การมองปัญหาการเคลื่อนไหวทางการเมืองและแง่คิดที่ได้รับจากพระอาจารย์สุเทพ  ทำให้จินตนาการต่อไปได้ว่าถ้าหากเปลี่ยนเวทีม็อบที่นักเคลื่อนไหวภาษาในทั้งสองเวทีนำมาใช้เปลี่ยนจิตคนด้วยการให้สติในทางสร้างสรร  ด้วยสันติวิธีมิใช่ในทางทำลาย ความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียชีวิตและสูญเสียอวัยวะของทั้งสองเวทีคงไม่บังเกิดขึ้น

             “ กรณีพันธมิตรดึงท่านโพธิรักษ์เข้าไปแนบชิดสถาบันฯก็เพราะสันติอโศกทำเศรษฐกิจพอเพียงอยู่แล้ว”

             พระอาจารย์สุเทพให้แง่คิดในฐานะผู้สังเกตการณ์วงนอก

            “ กรณีหลวงปู่พุทธอิสระกับพันธมิตรก็เหมือนกัน  ถามว่าปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร สะท้อนให้เห็นว่าศาสนาถูกใช้ในฐานะกลไกหรือเป็นเครื่องมือของรัฐ ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเครื่องมือแบบไหน  จากผู้ปฏิบัติที่เลือกฝักเลือกฝ่าย และเนื่องจากพระแยกไม่ออกจากสังคมก็เลยกลายมาเป็นพระฝั่งแดงและพระฝั่งเหลือง  และคนในสังคมเข้าไปอยู่ในสังคมที่เราเอนเอียง”

            “ ทฤษฎีวิภาษวิธีทำให้เห็นความเสื่อมในหมู่คณะ  เสื้อแดงที่พังก็เพราะ ความเย่อหยิ่ง “

            คำวิจารณ์ชัดเจนของอดีตนักเคลื่อนไหวทางโลกที่วันนี้หันมาทางธรรมเต็มตัว ไม่เว้นทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง
แน่นอนว่าตัวละครที่โลดโผนเป็นนักเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่ายในอดีตต่างก็เคยคุ้นกับพระอาจารย์สุเทพมาบ้างไม่มากก็น้อย  ระหว่างปฏิบัติงานข่าวอยู่ในป่า  นักวิชาการ นักเคลื่อนไหว นักคิด หลายต่อหลายคนที่พระอาจารย์สุเทพเมื่อเอยชื่อล้วนแล้วแต่เคยร่วมเข้าป่า ร่วมกับกองทัพแดงมาก่อนทั้งสิ้น
 
           การพูดคุยในวันนั้นต่อเนื่องไปจนถึงการเผยแผ่ข้อมูลบิดเบือนเกี่ยวกับลัทธิคอมมิวนิสต์นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
เมื่อถามถึงเว็บไซท์หนึ่งที่เผยแพร่บทความชิ้นหนึ่งที่ใช้ชื่อ "พุทธวิทยาเพื่อการปฏิวัติ" ที่ว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจากคัมภีร์ไบเบิล  วงสนทนาก็เริ่มสนุกสนานเปลี่ยนบรรยากาศในทันที  เมื่อพระสงฆ์จากวัดปรินายกรูปหนึ่งเข้าร่วมวงสนทนาด้วย  ทุกฝ่ายลงความเห็นว่าคนเผยแพร่มีเจตนาบิดเบือนเพื่อสร้างความสับสนให้กับสังคม เพราะผู้ศึกษาลัทธิมาร์กซ์-เลนินต่างรู้ดีว่าลัทธิคอมมิวนิสต์เกิดขึ้นจากการตีความทางปรัชญาไม่ใช่จากศาสนา
 
           " มันมีส่วนที่เขาทำหน้าที่บิดเบือนโดยตรง คือเขียนอะไรเพื่อบิดเบือนทุกเรื่อง"  พระอาจารย์สุเทพให้แง่คิดพร้อมรอยยิ้ม
 
           อดีตนักการข่าวในป่าปัจจุบัน พัฒนาวิชาสอนกรรมฐานบัวเจ็ดดอก พระอาจารย์สุเทพเดินทางไปสอนกรรมฐานและสิงคโปร์เป็นระยะๆ และมีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ที่สิงคโปร์และปีนังพอๆกับที่ในเมืองไทย

           “ พระพุทธเจ้าคือจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนสัตว์มนุษย์เจริญที่สุดในโลกกว่าสัตว์ใด เพราะทำเองคิดเองได้ “
 
          ในโลกของนักปฏิวัติสันติ  ศาสนาคือการปฏิวัติ ศาสดาคือนักปฏิวัติ คือคำกล่าวของผู้ศึกษาทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างสังคมและการเมืองแบบสันติด้วยพุทธธรรม การเปลี่ยนแปลงสูงสุดของนักปฏิวัติคือการเปลี่ยนแปลงทางจิตวิญญาณซึ่งเป็นสภาวะสูงสุด      

           “แต่สัตว์คนเป็นสัตว์สังคม เพราะฉะนั้นสังคมในอุดมคติจึงเป็นสังคมที่คนเราสามารถรับผิดชอบต่อสังคมได้”
  
             
           พระอาจารย์สุเทพ มีฉายาว่า “ชินวโร” ที่แปลว่าผู้ชนะที่ประเสริฐ  ซึ่งสมแล้วกับความหมายในฐานะนักปฏิวัติ  เพราะชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์มิใช่การแสดงอำนาจหรือการใช้ปัญญาคร่าเอาชีวิตเพื่อนมนุษย์เพื่อสังเวยอุดมการณ์บางอย่างของตนเอง  แต่ชัยชนะที่แท้จริงของมนุษย์คือการชนะตนเอง  ซึ่งเป็นการปฏิวัติทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่และเป็นคุณสมบัติของมนุษย์ผู้เจริญ และเป็นแบบอย่างของผู้ทำความดีในนามของพุทธสาวกทุกผู้ทุกนาม
      
 

 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
 
 
 
 
 อ่านบทความประกอบ...
 
 
 
 

ปฏิวัติสันติ

 
สมัคร ยกเลิก
 
 
Revolutionary Press Agency
Online Journal and News Agency for Peace  :  วารสารและข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
Copyright © 2024 www.rpathailand.com All Rights Reserved.
ทำเว็บ  ออกแบบเว็บ  Web Design  เว็บสำเร็จรูป  เว็บไซต์สำเร็จรูป