บทที่ 4
เปรียบเทียบความเหมือนและความต่าง
(Comparison and Contrast)
พระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์
เมื่อแสดงสุนทรพจน์ในที่ประชุมสมาคมโรตารี่ ณ เมืองมัทราส(Madras)อินเดียตอนใต้ เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๗ ดร.อัมเบดการ์ได้พูดว่า (๓๒)
ในประเทศอินเดียสมัยก่อน ได้เกิดการปะทะกันอย่างหนักระหว่างพระพุทธศาสนาซึ่งมีแนวการสอนปฏิวัติสังคม กับศาสนาพราหมณ์ซี่งพยายามต่อต้าน
มีปัญหาหนึ่งที่ถกเถียงกันมากก็คือ ปัญหาว่า สัจธรรมที่แท้จริงคืออะไร ? ขณะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสยืนยันว่า สัจธรรมที่แท้จริงนั้นเป็นบางสิ่งที่อาจจะสัมผัสได้ด้วยอินทรีย์สัมผัสทั้ง ๑๐(๓๓) อินทรีย์ใดอินทรีย์หนึ่ง แต่พวกพราหมร์กลับกล่าวว่า สัจธรรมที่แท้จริง ได้แก่สิ่งที่พระเวทแสดงไว้
แผนการณ์ล้มพระพุทธศาสนา
ในช่วงเวลาอันเป็นรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราช ซึ่งเป็นพระนัดดาของพระเจ้าจันทรคุปต์ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองมากเรียกว่า ขนาดเบียดเอาศาสนาพราหมณ์หลุดออกไปจากวงจร เรื่องนี้เป็นชนวนกระตุ้นให้พวกพราหมณ์วางแผนปฏิวัติต่อต้านพระพุทธศาสนาเรื่อยมา จบลงด้วยการปลงชนม์เจ้าชายพฤหทารถ เมารยะ(โมริยะ) ผู้เป็นรัชทายาทสืบทอดราชบัลลังก์พระเจ้าอโศก เมื่อจะวิจารณ์ประวัติศาสตร์ฉากนี้ดร.อัมเบดการ์พูดว่า (๓๔)
การปลงพระชนม์เจ้าชายพฤหทารถ เมารยะด้วยน้ำมือของปุษยมิตร โชคร้ายมากที่มักผ่านพวกเราไปอย่างไม่ค่อยได้ตั้งข้อสังเกตกันเท่าไรนัก ไม่ว่าในอัตราใดๆ เรื่องนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควรเลย นักประวัติศาสตร์ถือว่าเป็นเหตุการณ์สามัญระหว่างบุคคลสองคนซึ่งมีมูลเหตุมาจากการวิวาทในเรื่องส่วนตัวกัน เมื่อมองดูผลที่ตามมาเหตุการณ์ครั้งนั้นนับเป็นจุดเปลี่ยนของยุคสมัย ความสำคัญของมันคงจะไม่ดูกันเพียงแค่เป็นการเปลี่ยนราชวงศ์ คือราชวงศ์ศุงคะสืบอำนาจแทนราชวงศ์เมารยะเท่านั้น แต่มันเป็นการปฏิวัติทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่เท่าๆกับการปฏิวัติในฝรั่งเศส ถึงแม้จะมองว่า มันจะไม่ยิ่งใหญ่ กว่า มันก็เป็นการปฏิวัติ การปฏิวัติเลือดซึ่งลงมือโดยพวกพราหมณ์ เพื่อกำจัดอำนาจของกษัตริย์ชาวพุทธ คือการลงมือสังหารเจ้าชายพฤหทารถโดยเงื้อมมือของพราหมณ์ปุศยมิตร
พราหมณ์ที่ชนะพุทธครั้งนั้นมีความต้องการหลายสิ่งหลายอย่างแน่นอน ! รวมทั้งต้องการรื้อฟื้นระบบวรรณะ ๔ ขึ้นมาเป็นกฎเกณฑ์ของแผ่นดิน ความ(ไม่) สมเหตุสมผลนี้ได้ถูกชาวพุทธคัดค้านแล้ว แม้การฆ่าสัตว์บูชายัญที่ชาวพุทธล้มล้างมาแต่ต้น พวกพราหมณ์ก็ต้องการนำกลับมาทำให้ถูกต้องตามกฎหมายของรัฐด้วย ยิ่งกว่านี้สิ่งที่พวกพราหมณ์ประสงค์มากกว่านี้คือ การใช้การปฏิวัติครั้งนั้นล้มล้างอำนาจการปกครองของกษัตริย์ชาวพุทธ ถือได้ว่าพวกเขาได้ละเมิดกฎสำคัญ ๒ ข้อตามหลักนิติ-ธรรมเนียมของแผ่นดิน ซึ่งผู้คนทั่วไปยอมรับร่วมกันว่าศักดิ์สิทธิ์และไม่อาจล่วงละเมิดได้
กฎข้อแรกก็คือ พราหมณ์ได้ทำบาป เพราะเขาหันมาจับอาวุธ(ประหัตประหารผู้อื่น) และ
กฎข้อที่สองก็คือ พราหมณ์ได้ล่วงละเมิดในพระวรกายของกษัตริย์ซึ่งถือว่าศักดิ์สิทธิ์ (ใครแตะต้องมิได้) และการปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ด้วย ซึ่งถือว่าเป็นบาปหนัก
พวกพราหมณ์ผู้ได้ชัยชนะเหล่านั้นต้องการหาข้อความในคัมภีร์พระเวทอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งถือว่าเป็นข้ออ้างอิงที่ไม่รู้จักผิดพลาดมาสนับสนุนเชิงเหตุผลต่อการล่วงละเมิดนิติ-ธรรมเนียม
ปฏิบัติของตน
ลักษณะเด่นของคัมภีร์มนูสมฤติไม่เพียงแต่ยืนยันว่า ระบบจตุรวรรณะเป็นกฎเกณฑ์ของแผ่นดิน และการฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎกมายเท่านั้น แต่คัมภีร์นี้ไปไกลขนาดตราไว้ว่า เมื่อไรพวกพราหมณ์สามารถใช้ศาสตราวุธอย่างถูกต้อง และเมื่อไรพวกเขาสามารถสังหารกษัตริย์ได้อย่างไม่ผิดบทบัญญัติ ในกรณีนี้ มนูสมฤติได้พูดถึงสิ่งที่คัมภีร์สมฤติอื่นๆก่อนหน้านี้ไม่ได้พูดถึงมาก่อนเลย นี้เป็นข้อความที่เบี่ยงเบนสมบูรณ์แบบ เป็นเรื่องใหม่จริงๆ ทำไมมนูสมฤติจึงทำสิ่งนี้ ? คำตอบก็มีเพียงว่า เพื่อสนับสนุนการทำการปฏิวัติของปุษยมิตรให้เข้มแข็งขึ้นโดยการเสนอหลักเหตุผลทางปรัชญามาสนับสนุนปฏิสัมพันธ์กันระหว่างปุษยมิตรกับทฤษฎีใหม่ที่เสนอโดยมนู (สมฤติ) นั้น แสดงให้เห็นว่า มนูสมฤติเกิดขึ้นช่วงเวลาหลังจากปีพ.ศ.๗๒๘ (ค.ศ. ๑๘๕) ซึ่งเป็นเวลาไม่ห่างจากที่ท่านศาสตราจารย์บูห์เลอร์(Buhler) ได้ประมาณการไว้มากนัก
พราหมณ์ฆ่าโค-กินเนื้อโค
พวกพราหมณ์ได้บังคับให้เลิกการฆ่าโค อย่างไรเล่า พวกพราหมณ์จึงได้กลายมาเป็นผู้อนุรักษ์โค ? ทั้งนี้ก็เพื่อจะลดความสำคัญของภิกษุสงฆ์ลงให้ได้ ต่อกรณีนี้ ดร.อัมเบดการ์ได้ชี้แจงไว้อย่างแจ่มแจ้งเมื่ออภิปรายถึงทฤษฎีการเกิดขึ้นของพวกจัณฑาล ท่านได้พูดไว้ดังนี้
การต่อสู้กันอย่างรุนแรงระหว่างพระพุทธศาสนากับศาสนาพราหมณ์-ฮินดูเป็นข้อเท็จจริงที่พอมองเห็นได้ในประวัติศาสตร์ของอินเดีย ถ้าเรายังไม่เข้าใจความข้อนี้แล้วก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะอธิบายลักษณะเฉพาะของศาสนาฮินดูได้ชัดเจน น่าเสียดายที่นักประวัติศาสตร์อินเดียหลงประเด็นสำคัญของการต่อสู้กันระหว่างศาสนาทั้งสองนี้เกือบหมด พวกเขาทราบแต่เพียงว่า มีศาสนาพราหมณ์อยู่ก่อน(พระพุทธศาสนา) เท่านั้น ดูเหมือนพวกเขาจะมิได้ใส่ใจถึงประเด็นการต่อสู้ซึ่งพระพุทธศาสนาและศาสนาฮินดูต้องเผชิญหน้ากันเพื่อครอบครองความเป็นใหญ่ในอินเดีย การต่อสู้กันซึ่งกินเวลายาวนานถึง ๔๐๐ ปีนั้น ได้ทิ้งร่องรอยลึกๆหลายประการไว้ในศาสนา สังคมและการเมืองของอินเดียปัจจุบัน
๓๒ Dr.Ambedkar, Life and Mission by Dhanajaya Keer,Bombay 1954.p.350
๓๓ อินทรีย์ภายใน ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และอินทรีย์ภายนอก ๕ คือรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส :ผู้ถอดความ
๓๔ The Untouchable, Who were they ? By Dr.Ambedkar,p.147