สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
เขียนโดย นางแก้ว โพส ๑๓ ธ.ค.๒๕๕๒: ๐๒.๐๐ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๒๕ พ.ค.๒๕๔๙
ธรรมนูญชีวิต VS การร่างรัฐธรรมนูญที่ไร้ชีวิต 75 ปีแห่งสัญญาจองจำการยื้อแย่งอำนาจ (ตอน 2) |
ปรากฏการณ์ประชาพิจารณ์หลอกลวง
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้เคยชี้แจงว่าขบวนการเผด็จการในประเทศไทยมีสองกลุ่มและได้ทำการ
อธิบายถึงเภทภัยอันเกิดจากสองกลุ่มนี้เป็นระยะ ๆ ครั้งนี้ประชาชนจึงพึงทำความเข้าใจว่าขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญภัยต่อเนื่องจาก 2 ขบวนการ
1 ขบวนการลัทธิรัฐธรรมนูญนิยม อันเป็นเผด็จการรัฐสภาสืบทอดผ่านมรดกคณะราษฎร
2 ขบวนการคอมมิวนิสต์
ขณะนี้นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวสายคอมมิวนิสต์กำลังใช้แนวทางรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือเพื่อ
ทำลายรัฐบาลปัจจุบันและใช้นักวิชาการสายรัฐธรรมนูญนิยมเป็นแนวร่วมมุมกลับ ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์การร่างรัฐธรรมนูญคู่ขนานกับรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตามทฤษฎีการดวลอำนาจ (Dual Power) มีการโจมตีข้อด้อยต่างๆ ของการร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ นำโดยองค์การจัดตั้งเช่นครป. ปรากฏการณ์การเร่งตรวจสอบโดยองค์การจัดตั้งอุปโลกต่างๆ ผุดขึ้นมาเป็นระลอกๆ ราวหม้อดินถ่วงน้ำเปิด การเรียกร้องหาสิทธิมนุษยชนโดยนักวิชาการสายคอมมิวนิสต์อย่างอ.ใจ อึ้งภากรณ์ เคลื่อนไหวดาหน้า อย่างเป็นระบบ พยายามปิดล้อมในทุกวิถีทางให้การร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้พังลง
มีการตั้งประเด็นถามถึงรูปแบบการเลือกตั้งว่าจะกระทำได้เร็วขนาดไหน เพียงไร สอดรับกับความพยายามแทรกแซงการเมืองไทยโดยอเมริกันที่เสนอเงื่อนเวลา 4 เดือนสำหรับการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้ทันกับการเลือกตั้ง
เมื่อมีการเรียกร้องการมีส่วนร่วมของประชาชนมากเข้าๆ การสนองตอบของนักรัฐธรรมนูญนิยมผู้ไม่รู้จักหลักการประชาธิปไตยดีพอคือ การเร่งกำหนดรูปแบบ การทำประชาพิจารณ์เพื่อบอกว่านี่คือขั้นตอนของประชาธิปไตยแบบที่ประชาชนมีส่วนร่วม แท้จริงแล้วการทำประชาพิจารณ์ควรเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองในการกำหนดได้มาซึ่งข้อมูลเพื่อนำมาประมวลเป็นหลักวิชาเพื่อนำมาเสนอต่อสภาที่ในการกำหนดนโยบาย แต่เป็นเพราะพรรคการเมืองในประเทศไทยเป็นพรรคการเมืองในประเทศไทยขาดนักวิชาการประจำพรรค จึงเกิดกลายเป็นช่องทางให้เกิดมหกรรม เร่ง ทำประชาพิจารณ์ขึ้นด้วยการใช้งบประมาณแผ่นดินเดินสายออกต่างจังหวัด
จากข้อด้อยเช่นนี้เองนักวิชาการกลุ่มนี้จึงยังไม่รู้ตัวว่ากำลังตกเป็นแนวร่วมมุมกลับของคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยที่หวังจะเห็นการพังพินาศของการร่างรัฐธรรมนูญและรัฐบาลชุดปัจจุบัน
ปรากฏการณ์การทำประชาพิจารณ์โดยรูปแบบและไร้เนื้อหา จึงกลายเป็นการตบตาประชาชนอีกครั้ง ไม่ต่างจากการตบตาว่าประชาธิปไตยคือการกำหนดรูปแบบการเลือกตั้งฉันใดฉันนั้น
ในทัศนะของขบวนการประชาธิปไตยซึ่งมิได้ถือรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ ไม่ถือว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เพราะได้นำเสนอไปทุกครั้งแล้วว่าลัทธิรัฐธรรมนูญมิใช่ลัทธิประชาธิปไตย ร่างกี่ครั้งๆ ก็นำสู่หายนะ และครั้งนี้จะเป็นการพังอย่างไม่เป็นท่า หากไม่สร้างประชาธิปไตยตามหลักวิชาและนโยบายให้สำเร็จ
ธรรมนูญชีวิต VS รัฐธรรมนูญที่ไร้ชีวิต
อุดมการณ์การมีชีวิตอยู่ร่วมกันของคนในสังคมสูงสุดก็คือความมั่นคงแห่งชีวิต ความมั่นคงสูงสุดของมนุษย์คือความมั่นคงทางจิตวิญญาณที่สูงกว่าความมั่นคงทางอารมณ์และความรู้สึก ความมั่นคงทางอารมณ์และความรู้สึกสูงกว่าความมั่นคงทางกายภาพที่เกิดจากการได้ครอบครองปัจจัยสี่ทั้งหลาย ส่วนวัฒนธรรมไทยนั้นพัฒนามาจากหลักธรรมและหล่อหลอมด้วยพุทธศาสนาอันเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ วัฒนธรรมดั้งเดิมจึงเป็นตัวกำหนดสังคมไทยที่เป็นสังคมแห่งจิตวิญญาณ
แล้วเจตนารมณ์ของการร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน เข้าถึงความมั่นคงระดับใดในวิถีชีวิตมนุษย์ ? สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม วิถีชีวิตและประวัติศาสตร์ไทยหรือไม่อย่างไร ?
การเลือกมีชีวิตอยู่ร่วมกับเพื่อนมนุษย์ในสังคมใดๆ จำเป็นต้องมีข้อตกลงร่วมกัน เป็นเรื่องของสามัญสำนึกของมนุษย์ในการปรับประยุกต์วิถีชีวิตตนให้สอดคล้องกับผู้ที่จะมาใช้ชีวิตด้วยกัน เฉกเช่นการตกลงมีชีวิตคู่ของสามีภรรยา การปฏิบัติต่อกันและกติกาโดยรวมเป็นการกำหนดขึ้นระหว่างคนสองคน ในครอบครัวหนึ่งๆ ขยายสู่ระดับหมู่บ้าน ระดับชุมชน สู่ระดับประเทศตามจำนวนสมาชิกในสังคมนั้นๆ ข้อตกลงเหล่านี้เราเรียกว่า ธรรมนูญชีวิต คือร่วมใช้ธรรมนูญแห่งชีวิตร่วมกัน ธรรมนูญชีวิตจึงเป็นการกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์และกติกาในการอยู่ร่วมชีวิตกันนั่นเอง
.... คนสมบูรณ์แบบ หรือมนุษย์โดยสมบูรณ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นสมาชิกที่ดีมีคุณค่าอย่างแท้จริงของมนุษยชาติ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนเต็มคน ผู้สามารถนำหมู่ชนและสังคมไปสู่สันติสุขและความสวัสดี....
ในหนังสือ ธรรมนูญชีวิต ท่านปยุตโตอธิบายการกำหนดระบบความสัมพันธ์ของคนในสังคมและกติกาการอยู่ร่วมกันของคนต่างชนิดกันอย่างชาญฉลาด และอ้างถึงหนังสือเล่มนี้ในความหมายที่เรียบง่ายว่าเป็น มาตรฐานชีวิตของชาวพุทธ ไว้อย่างแหลมคมสมกับตำแหน่งปราชญ์แห่งแผ่นดิน
ในภาษานักปฏิวัติคำว่า จัดตั้ง เป็นคำที่ใช้กันทั่วไปในหมู่นักเคลื่อนไหวเพื่อเผยแพร่ลัทธิความเชื่อ ไม่ว่าจะเป็น นักจัดตั้ง แบบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์หรือนักจัดตั้งแบบประชาธิปไตย มีข้อเท็จจริงหนึ่งที่ทุกคนต้องยอมรับคือ การจัดตั้ง ของพระพุทธองค์นั้นมีมาก่อนใคร การจัดตั้งของพระพุทธองค์เกิดขึ้นโดยธรรมชาติผ่านปัญจวัคคีย์และดำรงสืบทอดเป็นสถาบันสงฆ์จวบจนปัจจุบัน และปฏิเสธไม่ได้ว่า ธรรมสภา ของพระสงฆ์มีมาก่อนสภาสว.และ/หรือสภาสว.ที่นำรูปแบบมาจากตะวันตก
ฟังดังนี้อาจทำให้เกิดหลายต่อหลายคำถามผุดขึ้นมา ทำไม่ไม่ใช้วิธีการของปราชญ์ราชบัณฑิตในการทำความเข้าใจปัญหา ? ทำไมนำเอานักกฎหมายมาออกแบบสังคม ? ทำไมไม่ระดมหาปราชญ์ที่เข้าใจชีวิตมนุษย์มาร่วมกันกำหนด มาตรฐาน ของการมีชีวิตร่วมกัน? ทำไมไม่ริเริ่มนำตัวแทนประชาชนมามีส่วนร่วมอย่างจริงจัง ?
แท้จริงแล้วได้มีความพยายามจะทำดังนี้แล้วในรัชสมัยของรัชกาลที่ 7 ที่ทรงมีพระราชดำริให้มีการตั้งสภาปวงชนขึ้นเพื่อทำงานสานต่อกับสภาองคมนตรีแต่เป็นที่น่าเสียดายที่มาถูกขัดขวางเสียก่อน
ตลอดระยะเวลา 75 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจึงตกอยู่ในสภาพศพที่ถูกมัดตราสังข์จิตวิญญาณถูกกักขังด้วยมนตร์สะกดของหมอผีชั้นดีไม่ยอมให้ได้ผุดได้เกิด มิใช่ความเปรียบที่เกินจริงแต่อย่างใดแต่นี่คือภาพสะท้อนสภาพการขัดแย้งอย่างยิ่งที่ประเทศไทยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีวิธีคิดแบบตะวันตกแบบไร้ชีวิตมาถึง 17 ฉบับ กฎหมายที่ใช้บังคับ คุ้มครอง และคุกคามประชาชนในประเทศไทยสวนทางกับวิวัฒนาการทางสังคมอย่างสิ้นเชิงอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะในข้อเท็จจริงสังคมต้องก้าวไปข้างหน้า กฎหมายย่อมต้องมาทีหลัง นั่นคือสัจธรรมคือกฎเกณฑ์
กฎหมายแม่สูงสุด (Supreme Law) และกฎหมายหลัก (Principle Law) โดยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญเป็นแกนนั้นจะต้องสามารถสถาปนาความมั่นคงแห่งชาติได้และความมั่นคงสูงสุดที่กฎหมายรัฐธรรมนูญจะบันดาลให้เกิดได้ก็คือความมั่นคงของมนุษย์ด้วยกัน และความมั่นคงสูงสุดของมนุษย์ในฐานะปัจเจกก็คือความมั่นคงทางจิตวิญญาณนั่นเอง
บุคคลที่จะเข้าถึง กฎเกณฑ์ แห่งจิตวิญญาณมนุษย์ได้ย่อมมิใช่ผู้ศึกษาภูมิปัญญาตะวันตกมา ย่อมต้องเป็นผู้รู้จักรากเหง้า และวัฒนธรรมเดิมของคนไทย เหนืออื่นใดต้องเข้าใจว่าวัฒนธรรมไทยพัฒนามาจากจิตวิญญาณของคนไทย และหากเป็นไปได้ผู้นำทางจิตวิญญาณที่เข้าใจธรรม เข้าถึงธรรม และพร้อมจะร่วมเข้ามากำหนดแนวทางและหลักการที่สมควรแก่เหตุของการสร้างประชาธิปไตยในประเทศไทย
ประชาธิปไตยแบบไทยพัฒนามาจากจิตวิญญาณ
สังคมไทยเป็นสังคมที่มีพื้นฐานมาจากปรัชญาและศาสนาพุทธ เป็นลักษณะพิเศษของสังคมจิตวิญญาณ
การยังประโยชน์ตน และยังประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ตามบทปัจฉิมโอวาทของพระบรมศาสดาในวันเสด็จปรินิพพาน คือประโยคมหาปัญญาของชาวพุทธและเป็นความเชื่อพื้นฐานของสังคมไทยมาโดยตลอด สังคมไทยไม่ได้สอนหรือสั่งสมให้ลุกขึ้นมาปกป้องสิทธิ์ของปัจเจกชน (Individuality) แต่ให้คำนึงถึงส่วนรวมด้วย สังคมไทยจึงมีความยืดหยุ่นสูงและมีความขัดแย้งน้อยกว่า คนไทยนั้นโดยพื้นฐานแล้วถ้าไม่ถึงขั้นถูกกลั่นแกล้งจนถึงที่สุดก็คงไม่ออกมาเรียกร้องหาสิทธิ์อะไร เพราะไม่ใช่คุณสมบัติที่คนไทยถนัดนัก
นอกจากนี้ยังมีข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ วัฒนธรรมนี้เกิดขึ้นในประเทศอันอุดมถึงพร้อมด้วยโภคทรัพย์ มีทรัพยากรพรั่งพร้อม มิจำเป็นต้องแสวงหาวัตถุเพิ่มเพื่อนำมาซึ่งการปกป้องสิทธิและผลประโยชน์เฉกเช่นประเทศที่มีความ พร่อง ทั้งหลาย ประชาชนจึงแสวงหาความสุขทางใจมากกว่าความสุขทางกาย และพัฒนาสูงสุดถึงขั้นแสวงหาอุดมการณ์สูงสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์มากกว่าการแสวงหาปัจจัยบริโภคพื้นฐาน การพัฒนาสู่ระดับปัญญาสูงสุดของมนุษย์อันเป็นฐานรากต่อความมั่นคงของมนุษย์จึงเกิดขึ้นในดินแดนแถบนี้ มิใช่ในโลกตะวันตก
มรดกทางความคิดนี้สืบสานผ่านสถาบันสงฆ์มาโดยตลอด ดั่งคำปรารภของท่านพุทธทาสภิกขุ ปราชญ์แห่งยุคสมัยอีกท่านหนึ่ง ในหนังสือชื่อ อตัมมยตากับสันติภาพว่า...
ธรรมะเป็นปัจจัยที่ห้าของชีวิต แต่เราสนใจกันเพียงปัจจัยสี่ทางวัตถุ สำหรับร่างกาย ชีวิตที่ขาดปัจจัยที่ห้านั้นเป็นชีวิตที่ตายแล้ว และเป็นความสูญเสียยิ่งไปกว่าการตายทางร่างกายเพราะขาดปัจจัยสี่อย่างที่จะเปรียบกันไม่ได้เลย ความมีชีวิตที่ปราศจากธรรมะนั้น เป็นความทุกข์ของแต่ละคน และจะทำอันตรายแก่กันและกัน จนกระทั่งถึงระดับมิคสัญญีเป็นที่สุด
สัญญานิยม VS ปัญญานิยม....จะออกแบบสังคมอย่างไรหากไม่เข้าใจชีวิตตนเอง
เมื่อไม่รู้จุดมุ่งหมายของการมีชีวิต ไม่รู้จักชีวิตคนอื่นรอบตัวและไม่รู้ระบบความสัมพันธ์ของตัวเองต่อผู้อื่นเลย จึงไม่รู้ว่าจะกำหนดบทบาทตนเองต่อผู้อื่นได้อย่างไร
นี่คือบทเรียนของประเทศไทยต่อทางเลือก 2 วิถีระหว่าง สัญญานิยม หรือ ปัญญานิยม หากผู้ร่างรัฐธรรมนูญเปรียบเสมือนผู้ออกแบบสังคม ร่างวิถีชีวิตให้คนทั้งประเทศ ก็ต้องเป็นผู้รอบรู้ ไม่ใช้สัญญาเดิม แต่ต้องใช้ปัญญาในการทำความเข้าใจปัญหาบ้านเมือง และต้องมีปัญญาอันเอกอุที่จะเข้าใจวิถีแห่งชีวิต รัฐธรรมนูญฉบับนั้นจึงจะศักดิ์สิทธิ์ (สำเร็จประโยชน์)
มิจำเป็นต้องอ้างความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายฉบับใดในโลก หากผู้ออกแบบสังคมนั้นไม่รู้จักรากเหง้าแห่งปัญหาในสังคมตนเองเลย รัฐธรรมนูญที่ถูกต้อง จึงต้องเป็นรัฐธรรมนูญที่มีชีวิต สามารถนำเอาวิถีชีวิตของผู้คนในสังคมใส่ไว้ได้ หาใช่รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายในกระดาษตามทฤษฎีอันแห้งแล้ง ไร้ชีวิตจิตวิญญาณไม่
การออกแบบสังคม คือการกำหนดรูปแบบความสัมพันธ์ที่ลงตัวและมีดุลยภาพ คือการเข้าใจถึง ความจริงแท้ (Reality) ที่ปรากฏอยู่ในสภาวการณ์จริง
1 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน ซึ่งพอทำความเข้าใจได้
2 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับรัฐ เป็นหน้าที่ของรัฐที่จะจัดสรรรูปแบบความสัมพันธ์แบบพ่อกับลูก หรือแบบสมมุติเทพกับมนุษย์ ฯลฯ หรือรัฐเผด็จการกับประชาชนชั้นกรรมาชีพแบบคอมมิวนิสต์
3 ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาติ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างคนกับธรรมชาตินั้นไม่ต้องจัดสรร
เพราะ ธรรมชาติไม่จีรัง มีคำตอบอยู่แล้วตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ
ในบรรดาความสัมพันธ์ทั้งหมด ความสัมพันธ์ข้อที่ 3 สำคัญที่สุด เพราะกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาตินั้น คือกฎเกณฑ์แห่งธรรมนั่นเอง คือกฎเกณฑ์แห่งอนัตตา ในการยกระดับประชาธิปไตยแบบไทยให้สูงส่งขึ้นนั้น จึงต้องทำให้รัฐนำกฎข้อที่ 3 ไปใส่ไว้ในการกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างคนกับรัฐให้สอดคล้องเหมาะสมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ความสัมพันธ์เหล่านี้ เกี่ยวโยง สืบเนื่องโดยมี หลักการอันเป็นความเข้าใจพื้นฐานเดียวกันภายใต้การนำของรัฐที่ทำหน้าที่เขียนกฎหมายบังคับใช้ให้ทำหน้าที่ถูกต้องสอดคล้องเป็นบรรทัดฐานร่วมกัน มิสิทธิตามหลักประชาธิปไตยที่รัฐรับรอง และไม่ขัดกับหลักการประชาธิปไตย
ดุลยภาพที่เกิดจากระบบความสัมพันธ์ที่สอดคล้องอันเกิดจากเสรีภาพพื้นฐาน
เมื่อยกระดับประชาธิปไตยแบบไทยให้สูงขึ้นด้วยกฎแห่งธรรมดังที่อธิบายข้างต้น ก็มาสู่ขั้นตอนการกำหนดความสัมพันธ์ของ อำนาจการปกครอง หรืออำนาจรัฐ (State Power) ที่ใช้ในการปกครองผ่านกลไกรัฐตามหลักนิติธรรม
มีคำถามต่อว่าการกำหนดหลักเสรีภาพบุคคล มีความขัดแย้งกับข้อบังคับใช้ตามกฎหมายต่างๆหรือไม่
แน่นอนว่าเสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์คือเสรีภาพที่ทำตามกิเลสของมนุษย์ ส่วนเสรีภาพที่รัฐจัดสรรให้นั้นสร้างความสมดุลให้กับผู้ถือครองในฐานะปัจเจกชนหรือไม่นั้นเป็นอีกประเด็นหนึ่ง ดังนั้นประเด็นหลักจึงอยู่ที่ว่า
กฎหมายจะได้รับการออกแบบมาอย่างไรจึงจะทำให้เสรีภาพนั้นๆ ไม่ถูกลิดรอนไป ตัวอย่างของสังคมอิสลาม กับสังคมตะวันตก ความหย่อนตึงของ เสรีภาพของปัจเจกบุคคลย่อมมีไม่เท่ากันเพราะมีกฎวัฒนธรรมพื้นฐานต่างกัน ตัวอย่างข้อขัดแย้งนี้เห็นได้ชัดในกรณีข้อขัดแย้งในประเทศฝรั่งเศสที่ทำให้หญิงมุสลิมออกมาประท้วงการห้ามใช้ผ้าคลุมศรีษะระกว่างประกอบอาชีพการงานหรือในบางสถานศึกษา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่ากฎหมายที่ใช้บังคับไม่ยอมรับกฎวัฒนธรรมของเชื้อชาติอื่น
ประเทศไทยเองเสรีภาพตามหลักประชาธิปไตยปัจจุบันเป็นเสรีภาพที่มีเงื่อนไขไม่บริบูรณ์เพราะอำนาจรัฐใช้ผ่านคนส่วนน้อยของสังคม เหตุเพราะอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยมิได้เป็นของคนส่วนใหญ่ในสังคม การกำหนดกติกาต่างๆจึงเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองเฉพาะกลุ่ม และเป็นเหตุปัจจัยการขัดแย้งมิรู้จบของการร่างรัฐธรรมนูญในครั้งนี้ เสรีภาพของคนรวยมีมากกว่าคนจนเพราะเป็นสังคมที่ทำให้คนรวยมีสิทธิพิเศษมากกว่า ในสังคมที่ใช้วัตถุนำ
ในคติพุทธเสรีภาพพื้นฐานตามกิเลสแบบตะวันตกมิใช่อุคมคติสูงสุด แต่เป็นเสรีภาพทางจิตวิญญาณที่ปราศจากกิเลส ดังวรรคทองของท่านพุทธทาสภิกขุที่แสดงธรรมเรื่องอตัมมยตาและสันติภาพไว้ว่า
..... เรามีเสรีภาพที่แท้จริง คือเสรีภาพภายใน ไม่ใช่เสรีภาพภายนอก เสรีภาพภายในคือกิเลสไม่เบียดเบียน ไม่ย่ำยี ไม่ครอบงำเรา เรามีเสรีภาพภายในจิต ไม่เป็นทาสของกิเลส ไม่อยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จิตใจไม่เป็นทาสของกิเลสเรียกว่ามีเสรีภาพภายใน
การกำหนดดุลยภาพจึงต้องทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่าง อำนาจอธิปไตยปวงชน และ เสรีภาพบุคคล ให้ถ่องแท้เสียก่อน เสรีภาพจะบริบูรณ์หรือไม่บริบูรณ์ขึ้นอยู่กับระดับความก้าวหน้าของคนในสังคม หากผู้คนก้าวหน้าทางจิตวิญญาณมากกว่าความต้องการทางกิเลส ความต้องการกฎหมายมาบังคับใช้ผ่านกลไกอำนาจรัฐย่อมน้อยลง เพราะกติกาการกำหนดกฎหมายย่อมเปลี่ยนรูปแปลงร่างไปตามเจตคติของคนในสังคม และดุลยภาพของสังคมในแต่ละสังคมก็จะเกิดขึ้นในระดับชั้นที่ต่างกันในแต่ละยุคสมัย รัฐธรรมนูญที่จะร่างขึ้นมาจึงเป็นสิ่งที่มนุษย์ค้นพบ (Discovery) สภาวะธรรมของสังคมจากการประมวลทางปัญญาแต่ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา (Creation) จากสัญญาโดยไม่รู้การเชื่อมโยงของสรรพสิ่ง
แน่นอนว่าหากมนุษย์ในสังคมนั้นๆค้นพบสิ่งที่สูงขึ้นกว่าเสรีภาพพื้นฐานตามกิเลสไปสู่การค้นพบเสรีภาพทางด้านจิตใจ สู่ความก้าวหน้าแบบใหม่ กฎหมายอาจมีความจำเป็นน้อยลงถึงน้อยที่สุดต่อการบังคับใช้ ทั้งนี้และทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าสังคมนั้นพัฒนาไปทางวัตถุภายนอกหรือจิตใจภายใน ซึ่งกล่าวโดยสรุปได้ว่าเสรีภาพของบุคคลจะบริบูรณ์หรือไม่อย่างไรขึ้นอยู่กับระดับความก้าวหน้าของคนในสังคมนั้นๆ นั่นเอง ตัวอย่างเช่นเสรีภาพทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ย่อมแตกต่างจากเสรีภาพของหญิงมุสลิมในประเทศฝรั่งเศสเป็นต้น
นักธรรม จะเข้าใจสภาวะที่ไม่จีรังยั่งยืนของสรรพสิ่งอันเป็นหลักอนัตตาแห่งธรรมฉันใด
นักวิทยาศาสตร์สังคม จึงจะเข้าใจกติกาตามกฎเกณฑ์นี้แล้วหยิบจับนำมาใช้ได้ฉันนั้น
นักปฏิวัติสังคม จึงจะเข้าใจว่าจะเปลี่ยนแปลงสู่ระบอบใหม่อย่างไรตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมนั้นๆ
แล้วนักกฎหมาย...เข้าใจความเชื่อมโยงของปรากฏการณ์ทางสังคมปัจจุบันเพียงไร ?
นักการเมืองประเทศไทยเล่า...(ละไว้ในฐานที่เข้าใจ)
พระบิดาของประชาธิปไตย สมเด็จพระปิยมหาราชทรงทำการปฏิวัติสันติสู่การพัฒนาประชาธิปไตยจากภายใน เป็นการรื้อโครงสร้างสังคมใหม่ กำจัดระบบความสัมพันธ์จากนายทาสกับลูกทาส ต่างๆ มาสู่ระบบความสัมพันธ์ใหม่ในฐานะราษฎร ที่มีศักดิ์ศรีการเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน สร้างเสรีภาพพื้นฐานของมนุษย์คือการมีศักดิ์และสิทธิ์และสถานภาพทางสังคมใหม่ ตามหลักเสรีภาพบุคคลและยกเลิกกฎหมายทาสอย่างสิ้นเชิง เป็นการปรับฐานชีวิตราษฎรสู่ดุลยภาพครั้งแรกของประเทศไทย
ปรับอินทรีย์ 5 สู่พละ 5 หลักการปฏิบัติประชาธิปไตยให้ปรากฏเป็นจริง
เมื่อเข้าใจหลักเสรีภาพทางจิตวิญญาณและกฎแห่งธรรมแล้ว จึงจะค่อยปรับทำความเข้าใจเรื่อง พละ 5 เพื่อก้าวสู่การพัฒนาทางความคิดตามหลักการประชาธิปไตย 5 หลัก คือหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน หลักเสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ หลักความเสมอภาค หลักนิติธรรมและท้ายสุดการเลือกตั้ง
อินทรีย์ทั้ง 5 นี้ อธิบายตามหลักพุทธธรรมว่าเป็นคุณสมบัติของผู้ถึงธรรมในระดับหนึ่ง นับว่าเป็นบุคคลที่มีพละกำลังแก่กล้าพอ พร้อมที่จะก้าวไปสู่การลุธรรมในขั้นที่สูงขึ้น หากเปรียบการพัฒนาสภาวธรรมของการปกครองดังอินทรีย์ 5 เพื่อผลักดันสู่การบรรลุธรรม ในบรรดาหลักการทั้ง 5 ข้อนี้ข้อสำคัญที่ต้องมีก่อนอื่นใด คือ
1 อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ซึ่งเปรียบเหมือนสติเป็นจั่วอยู่ตรงกลาง
2. หลักเสรีภาพบุคคลบริบูรณ์และหลักนิติธรรมอยู่คู่กัน ซ้ายขวาเปรียบดั่งปัญญาและศรัทธา
ปัญญามากไปทำให้ถือตน ศรัทธามากไปก็ลุ่มหลง เสรีภาพของบุคคลมากไปก็ทำให้ละเมิดกฎ กฎหมายมีข้อบังคับมากไปก็ ลิดรอนพลังสร้างสรรของประชาชน
3 หลักความเสมอภาคและการเลือกตั้งอยู่คู่กัน เปรียบเหมือนสมาธิกับวิริยะ
การเข้าใจซึ่งสัมพันธภาพของหลักการทั้ง 5 เป็นการเข้าใจพื้นฐานของหลักประชาธิปไตย ด้วยการปรับอินทรีย์ทั้ง 5 ให้เสมอกัน เป็นการปรับฐานทางความคิดให้มั่นคงแข็งแรง เกิดพลังที่จะบรรลุธรรม เป็นขั้นตอนของการสร้างดุลยภาพสู่การพัฒนาอีกขั้นหนึ่ง โดยต้องมีสติ หรืออำนาจอธิปไตยของปวงชนอยู่แกนกลางเป็นหลักแรก หากไม่สามารถค้นหาสติพบ ก็เปรียบดั่งประชาชนไม่มีอำนาจ ไม่มีที่มาและไม่มีที่ไป ไม่สามารถปรับฐานรากให้แข็งแรงมั่นคงเหมาะควรแก่การงานชั้นสูงต่อไปได้
แล้วรัฐธรรมนูญที่กำลังร่างกันอยู่นี้จะไปอยู่ตรงไหน ?
จะเห็นว่าในขั้นตอนนี้ รัฐธรรมนูญไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุด แต่จัดอยู่ในหลักนิติธรรม ที่สามารถกระจายแตกย่อยแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปได้อีก เมื่อสติทำงานเต็มที่แล้ว เมื่อเสรีภาพบุคคลค่อยๆเกิดขึ้นตามครรลอง
(อ่านต่อตอนหน้า)
|