ที่จุดชมวิวผามออีแดงซึ่งเป็นลานกว้างอยู่ด้านหลังของอาคารสำนักงานอุทยานฯ    ศาลาเรือนไทยยังคงจัดวางอยู่ตามที่ได้ดำเนินการไว้   ที่ฝั่งจุดชมวิวนี้สวยงามด้วยธรรมชาติอยู่ในตัว     คนที่ต้องการเดินไปเขาพระวิหารจะเลือกเดินเลียบผาขึ้นไปในทิศตรงกันข้ามเพราะเป็นป่าครึ้มกว่า และสามารถใช้กล้องส่องทางไกลส่องมองเห็นปราสาทพระวิหารได้ในทิศดังกล่าว   ส่วนจุดชมวิวผามออีแดงเป็นจุดชะง่อนผาสุดชายแดนไทย เมื่อมองจากผาลงไปเป็นผืนป่าสีเขียวชอุ่ม เป็นดินแดนฝั่งกัมพูชาทั้งหมดที่โอบล้อมชะง่อนผาอยู่     ที่นี่เองเป็นที่คณะธรรมยาตรายึดเป็น “ฐานปฏิบัติการ”  มีครัวกลางแจ้ง มีห้องนอนกลางแจ้ง  บนแผ่นหินขนาดใหญ่ยักษ์ที่คณะธรรมยาตราใช้เป็นทั้งที่นอนและที่กิน ที่สวดมนต์และที่ประชุมตลอดระยะเวลาที่ปักหลักอยู่ที่ผามออีแดง

                  ความเขียวขจี  และลมภูเขาที่เย็นสดชื่นตลอดเวลาตรงบริเวณจุดชมวิวนั้น  ทำให้คนที่ไปเยือนเพลิดเพลินจนไม่อยากลุกออกจากบริเวณ    สมาชิกคณะธรรมยาตราเริ่มได้มีโอกาสทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวหลังจากการเดินอย่างอ่อนล้ามาตลอดเวลาหลายวัน     ถึงแม้จะเป็นพื้นที่กลางแจ้ง  แต่ร่มไม้ใหญ่รอบๆก็เป็นที่พักหลบแดดได้หลายจุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเชิงผา  ที่ทางอุทยานทำแนวเสาเตี้ยกั้นไว้โดยรอบ  ความอุดมสมบูรณ์ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคือผืนป่า  พร้อมทิวเขา และปุยเมฆสีขาวที่เปลี่ยนรูปทรงตามแรงลมตลอดเวลา  ที่ผามออีแดง ฟ้าอยู่ใกล้มนุษย์และไม่ต้องแหงนคอมองก้อนเมฆเพราะเมฆที่นี่มีทั้งลอยตัวอยู่ในระดับเดียวกับจุดชมวิวและที่ลอยตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า  ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะความชื้นของป่าเบื้องล่างนั่นเอง  หลายต่อหลายครั้งที่คณะธรรมยาตราได้เห็นรุ้งกินน้ำที่ผามออีแดงในระดับสายตาและในเบื้องล่างในระดับที่ต่ำกว่า   จนอาจทำให้ผู้ชมเผลอคิดไปได้ว่ากำลังเป็นเซียน ลอยตัวเหยียบก้อนเมฆชมรุ้งกินน้ำ ทั้งวันทั้งคืน  ความรู้สึกที่ว่าหากจะชมเมฆชมรุ้ง ไม่ต้องแหงนคอแค่เพียงเหลือบตาดูเท่านั้น บรรยากาศของผามออีแดงในช่วงนั้นจึงช่วยทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกผ่อนคลายอย่างอัศจรรย์

                หากแต่ในความเป็นจริงก็ไม่น่าเชื่อว่าในท่ามกลางความสวยงามของธรรมชาติอันบริสุทธิ์นี้จะมีอันตรายซ่อนเร้นอยู่   ทั่วบริเวณทางขึ้นเขาพระวิหารเต็มไปด้วยกับระเบิดและข้อเท็จจริงที่ว่าชีวิตหลายชีวิตสังเวยอยู่ในบริเวณนี้มาชั่วหลายร้อยปี    กัมพูชาเป็นประเทศชาติที่น่าสงสารในสายตาชาวโลก  เพราะเผชิญภัยสงครามตลอดระยะเวลาหลายปี    การฆ่าฟันกันในกัมพูชาสร้างความสะเทือนใจให้กับประเทศเพื่อนบ้านและประชาคมโลก  การปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิสต์และแก่งแย่งอำนาจกันระหว่างเขมรสี่ฝ่ายในอดีต   ความพ่ายแพ้ของสถาบันพระมหากษัตริย์กัมพูชาต่อการปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิสต์   ส่งผลต่อการจัดรูปแบบความสัมพันธ์ใหม่ของประเทศเพื่อนบ้านที่มีอาณาเขตติดต่อกันเช่นประเทศไทยที่มีความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นสูงและพระบรมวงศานุวงษ์มาช้านาน   ตลอดจังหวัดชายแดนภาคตะวันออกของประเทศไทยได้กลายเป็นที่พักพิงให้ชาวกัมพูชาในศูนย์อพยพ ตั้งแต่จันทบุรี ปราจีนบุรี สระแก้ว  ชาวกัมพูชาที่มีการศึกษาถูกส่งตัวไปอยู่ประเทศที่เจริญกว่าเช่น อเมริกา และฝรั่งเศส      บทบาทของประเทศไทยในฐานะประเทศเพื่อนบ้านในระหว่างการช่วงชิงอำนาจของคอมมิวนิสต์เขมรนั้น เป็นบทบาทที่ต้องจดจำไว้เพราะเป็นบทบาทของชาติที่มีมนุษยธรรมอย่างยิ่ง ประเทศไทยไม่เคยเอาเปรียบระหว่างที่กัมพูชาอ่อนแอและให้ความเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด   นายพลทหารไทยหลายคนมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการช่วยเหลือคอมมิวนิสต์เขมรแดงในระหว่างนั้น และที่แนวชายแดนนี้เองที่ทหารไทยใช้เป็นเวทีเจรจายุติสงครามจนประสบผลสำเร็จ   

 

                 ท่ามกลางธรรมชาติที่ผามออีแดง  ทำให้ธรรมยาตราได้พิจารณาสัจธรรมหลายข้อถึงความไม่เที่ยง และการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง    กัมพูชาเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชที่มีพระมหากษัตริย์มาเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์   ในทัศนะของเพื่อนบ้านอย่างประเทศไทยที่มองดูความเปลี่ยนแปลงของกัมพูชาอยู่ห่างๆ  สองประเทศมีความคล้ายคลึงกันทางวัฒนธรรมและศาสนาก็จริงแต่มีจุดเปลี่ยนในการสร้างชาติสมัยใหม่ต่างกันลิบลับ  ประเทศไทยมีจุดเปลี่ยนผ่านของการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาในวันที่ 24 มิถุนายน 2475    ส่วนกัมพูชาเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ด้วยการปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิวนิสต์    ประเทศไทยกลายเป็นรัฐกันชน ให้กับอินโดจีนที่ล้วนแล้วแต่เปลี่ยนการปกครองเป็นสังคมนิยมคอมมิวนิสต์กันทั้งสิ้น  ทั้งเวียดนาม ลาว และกัมพูชา    ความหวาดกลัวของภัยคอมมิวนิสต์ของคนไทยทำให้ชนชั้นปกครองหันไปพึ่งพิงแสนยานุภาพของอเมริกาเข้าทำนองขนมผสมน้ำยา คนไทยไม่เคยตระหนักว่าประเทศที่กลัวภัยคอมมิวนิสต์ขึ้นสมองกว่าไทยก็คืออเมริกา ตัวแทนประเทศเสรีนิยม และเนื่องจากอเมริกากลัวคอมมิวนิสต์จีนขึ้นสมอง   ด้วยเหตุนี้ชาติอินโดจีนจึงไม่ได้รับการปลดปล่อยจากชาติล่าเมืองขึ้น  ส่งผลถึงการเมืองระดับภูมิภาคอยู่ในขณะนี้ ประเทศไทยในภาพลักษณ์ของรัฐชาติตัวแทนโลกเสรีนิยมท่ามกลางพี่น้องอินโดจีนที่ถูกปกครองในระบอบสังคมนิยมคอมมิวนิสต์ย่อมมีจุดยืนที่ต่างกัน  

                 ก้อนเมฆที่ลอยตัวอยู่ข้างหน้าเปลี่ยนแปลงรูปทรงตลอดเวลา  ทำให้คนที่ชื่นชอบธรรมชาติต้องคอยเคลื่อนสายตาไปตามกลุ่มเมฆต่างๆ ได้พิจารณาเห็นการเปลี่ยนแปลงนั้นตามไปด้วยในทุกการเคลื่อนไหว ราวกับว่าเบื้องหน้าผืนป่าพยุงนั้นคือโรงมหรสพชั้นดี  จะสู้กับความเปลี่ยนแปลงใดๆจะต้องสู้ด้วยความกล้าเท่านั้น   ความกลัว ความหวาดระแวงไม่เคยให้ประโยชน์ต่อใครแม้ชาติมหาอำนาจเองก็ตาม

                   

                  คืนแห่งความหิวและการถูกปิดล้อมในความมืด

                 วันแรกของการปักธงค่ายพักแรมในสนามของคณะธรรมยาตราก็ได้รับรู้ถึงบรรยากาศไม่เป็นมิตรชัดเจน !   การเริ่มต้นปฏิบัติธรรมด้วยการดูจิตดูใจไม่ให้ถูกกระทบจากการกระทำใดๆของคณะธรรมยาตราเริ่มต้นขึ้นแล้ว

 

             การปักหลักที่บริเวณจุดชมวิวผามออีแดงในวันแรก  ไม่ได้มีการตระเตรียมอุปกรณ์กลางแจ้งมาอาศัยความเป็นผู้อยู่ง่ายแบบนักปฏิบัติธรรมจึงไม่เป็นทุกข์ร้อนกับสภาพกลางแจ้ง ไม่มีหลังคาคลุมแต่มีก้อนเมฆห่มแทน    วันนั้นเริ่มมีเจ้าหน้าที่ตำรวจขึ้นมาป้วนเปี้ยนเฝ้าดูคณะธรรมยาตราเป็นระยะ     เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและกลไกรัฐเริ่มเข้ามาพูดคุยเพราะเริ่มสงสัยว่าเพราะเหตุไรคณะธรรมยาตรายังไม่ยอมกลับกรุงเทพ  หลายคนต่างเวียนกันขึ้นมาเจรจาแบบ “หยั่งเชิง” ก่อน   

                  ฝั่งหน้าผาด้านกัมพูชาคือทิศตะวันออก  ฝั่งตรงข้ามหันมาทางประเทศไทยคือทิศตะวันตก  ช่วงแดดร่มลมตก คณะธรรมยาตราเริ่มปฏิบัติการใช้พลังสันติสู้เป็นครั้งแรกเมื่อสังเกตเห็นว่ามีความเคลื่อนไหวรายรอบอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

                 คณะธรรมยาตราเริ่มต้นการสู้แบบอหิงสา ** ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์โดยใช้ลานหินผืนใหญ่เป็นที่นั่ง หันหน้าไปทางทิศตะวันตกขณะแสงอาทิตย์ในเวลา 5 โมงกว่ากำลังสาดแสงจ้าส่องลงกลุ่มคนใส่ชุดขาวให้สว่างชัดเจนยิ่งขึ้น    ในขณะนั้น พระสงฆ์ที่อยู่ร่วมมีอยู่รูปเดียวคือพระวิจิตร ญาณโสภโณ  มีสมาชิกธรรมยาตราอายุน้อยที่สุดคือเด็กหญิงสุมาลี ทับซ้อนหรือน้องอุ๋ยวัย 8 ปีซึ่งมากับครอบครัวและมีสมาชิกอายุมากที่สุดคือแม่สุพรรณ ในวัย 70 ปี ในคณะมีหญิงและชายรวมกันจำนวนไม่ถึง 20 คน  เจ้าหน้าที่กำลังตั้งท่าจับตาดูคณะฯการเจริญมนต์ภาวนาอย่างไม่คลาดสายตาในคราวนี้  ราวกับจะพยายามรู้ให้ได้ว่าคราวนี้คณะธรรมยาตราจะมาไม้ไหนกันแน่

                 เมื่อแสงอาทิตย์สุดท้ายลับขอบฟ้าลง   คณะธรรมยาตราไม่มีโอกาสได้ลงไปซื้อหาอาหารรับประทานอย่างที่ตั้งใจไว้  เจ้าหน้าที่ตำรวจทหารเดินมาบอกว่าลงไปไม่ได้แล้วเพราะว่าม็อบชาวบ้านปิดล้อมไว้หมด   เจ้าหน้าที่กล่าวเตือนว่าลักษณะไม่น่าไว้ใจเพราะบางคนที่เป็นคนหนุ่มดื่มเหล้าเมายามาก่อนหน้า      ในช่วงเวลานั้น เจ้าหน้าที่อุทยานยังไม่ได้ติดตั้งไฟฟ้าให้  บริเวณนั้นจึงมืดสนิทมองไม่เห็นหน้าว่าใครเป็นใคร   ขณะนั่งกระจุกรวมตัวกันอยู่ที่ลานหินขนาดยักษ์   ในความมืดนั่นเองที่คณะธรรมยาตราต้องต้อนรับผู้มาเยือนในความมืดสลับกันระหว่างเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารนอกเครื่องแบบที่ต่างผลัดกันมาเจรจาให้เปลี่ยนใจลงไปจากบริเวณผามออีแดงโดยอ้างความปลอดภัยไว้เป็นเหตุผลสำคัญ 

                 เสียงม็อบชาวบ้านดังขึ้นเรื่อยๆ ราวกับปิดล้อมทางออกทุกทาง ที่มาของเสียงชัดเจนว่าพวกเขารายล้อมอยู่ในด้านล่างบริเวณถนนหน้าที่ทำการอุทยาน  ตำรวจและทหารแจ้งว่าได้ทำหน้าที่กันไม่ให้ม็อบคนใดคนหนึ่งขึ้นมาได้   เสียงดนตรี ระเบ็งเซ็งแซ่ดังขึ้นเรื่อยๆ การด่าทอ ขับไล่ชัดขึ้น  ในระหว่างนั้นก็เกิดการปรากฏตัวของนักล็อบบี้ฝ่ายรัฐขึ้นที่เวียนกันขึ้นมาขอคุยกับอ.สมาน ด้วยหลักจิตวิทยาที่ฝึกมาอย่างดี  หลังการพูดคุยกับคนที่หนึ่งมาสู่คนที่สอง การพูดคุยในความมืดไม่เห็นหน้าตาเจ้าหน้าที่นอกจากน้ำเสียง  อาศัยแสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูปของสมาชิกคณะฯ จึงพอได้เห็นหน้าตาเจ้าหน้าที่ชั่ววินาที   หลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ได้ไม่นาน ก็ประเมินสถานการณ์ได้ว่าคณะธรรมยาตรากลายเป็นจำเลยต่อชาวบ้านที่ได้รับการปลุกมาอย่างดี  และเจ้าหน้าที่รัฐกำลังเล่นบทปกป้องประชาชน ด้วยการขอให้ลงไปจากบริเวณเพื่อความปลอดภัย

 

                   บริเวณที่คณะฯปักหลักอยู่ด้านฝั่งตะวันออกคือบริเวณสุดแนวผา คือสุดดินที่คณะธรรมยาตราถอยหนีไปไหนได้อีก  หากม็อบจะบุกขึ้นมาทำร้าย  ในคืนเดือนมืด แม้แนวสุมทุมพุ่มไม้ก็ต้องระวังงูเงี้ยวเขี้ยวขอ    ลมชายเขายังโชยไปมาและไม่มีวี่แววว่าฝนจะตก  หัวหน้าอุทยานแจ้งบอกว่ากำลังให้เจ้าหน้าที่ติดตั้งไฟฟ้าให้คณะสองจุดเพื่อเดินมาห้องน้ำและอีกจุดหนึ่งที่ “บ้านอธิปไตย” 

                   เวลาผ่านไปกว่าสองชั่วโมงในความมืดที่มีการเจรจาเป็นระยะๆ  จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่มาแจ้งว่าตัวแทนร้านค้าต้องการยื่นหนังสือให้แก่คณะฯ    แต่งตัวแทนไปรับที่บริเวณอาคารด้านหน้าที่ทำการ  ตัวแทนคณะบางส่วนร่วมเดินไปกับอ.สมานที่มีเจ้าหน้าที่พาไป  สถานที่พบปะอยู่ด้านหน้าอาคารสำนักงาน  ตัวแทนกลุ่มร้านค้ายื่นหนังสือมีมาด้วยกันสามคน  เริ่มต้นเจรจาได้สักครู่ อารมณ์ก็ลดลงจากท่าทีเป็นมิตรของอ.สมาน  พวกเขาบ่นเรื่องการทำมาหากิน และการขาดรายได้   สังเกตเห็นว่ารายรอบมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบหลายคน และชาวบ้านที่ขึ้นมารุมฟังมีกลิ่นเหล้าโชยติดมาด้วย    ตัวแทนกล่าวว่าร้านค้าต้องการคำตอบในสัปดาห์ถัดไปจากคณะธรรมยาตราโดยเสนอให้เป็นการประชุมร่วมกันอีกรอบหนึ่ง   เมื่อได้ข้อตกลงตามนั้น  ตำรวจก็กันตัวพวกเขาออกไป  ทั้งๆที่คณะฯประสงค์จะพูดคุยใกล้ชิดกว่านี้ แต่ก็ถูกกันออกมา

 

                  มีคนใช้ประโยชน์จากชาวบ้านเจ้าของร้านค้าเพื่อต่อต้านคณะธรรมยาตรา  และจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากผู้เสียผลประโยชน์ในบริเวณนี้  เจ้าหน้าที่ทหารพรานแจ้งว่ามีกลุ่มวัยรุ่นขึ้นมาด้วยและส่งภาษาเขมร  ท่าทางไม่น่าไว้ใจ และบอกว่าให้ระมัดระวัง

                  คณะฯมีความชำนาญเรื่องการต่อสู้อหิงสา ** ภาคสนามกับตำรวจมามากต่อมาก  จนสามารถคาดการณ์ได้ว่า การกะเกณฑ์ชาวบ้านมาเป็นเรื่องธรรมดาที่รัฐเผด็จการนิยมทำ  เหตุการณ์แบบนี้จะไปถือโทษโกรธเคืองชาวบ้านไม่ได้เลยเพราะว่าถ้าไม่ถูกว่าจ้างมาก็เป็นกลุ่มที่เสียผลประโยชน์จากการค้าขายจริงและย่อมมีความโกรธเป็นของธรรมดา

                  การปรากฏตัวของนักล็อบบี้ฝ่ายรัฐและเจ้าของร้านค้าประท้วง สะท้อนการเมืองเผด็จการเล่นงานคนไทย นี่คือการเผชิญหน้าของตัวแทนรัฐเผด็จการผ่านม็อบชาวบ้านภูมิซรอลซึ่งเป็นเกมที่ฝ่ายรัฐที่เล่นบทกุมอำนาจถนัดทำมากที่สุด    ชาวบ้านภูมิซรอล ชาวบ้านต้นสนคือหนึ่งในเครื่องมือที่เข้ามาต่อสู้กับคณะธรรมยาตรานับแต่นั้นมา

                 แต่การยื่นข้อเสนอของตัวแทนร้านค้าจบลงด้วยการเจรจาและข้อเสนอการประชุมจากชาวบ้าน  บรรยากาศของความไม่เป็นมิตรได้ถูกจุดขึ้นแล้ว  และธรรมยาตราได้ตกเป็นจำเลยด้วยข้อกล่าวหาเกินจริงว่าเข้ามาทำลายการท่องเที่ยวและการค้าชายแดนไทยกัมพูชา   นี่คือการเริ่มต้นของการสร้างความกดดันและเหตุการณ์คืนระทึกก็จบลงด้วยดีไปอีกหนึ่งคืน  

            ล่าสุดเมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณเชิงเขาพระวิหาร ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษบรรยากาศเงียบเหงา ประตูเหล็กที่ตั้งบนทางเดินไปยังเขาพระวิหารถูกกัมพูชานำกุญแจมาล็อคอย่างแน่นหนา ไม่ยอมให้นักท่องเที่ยวชาวไทยและกัมพูชา เดินทางผ่านไป-มาเด็ดขาด นอกจากนี้มีทหารกัมพูชาหลายร้อยคนถืออาวุธครบมือยืนตรึงกำลังโดยรอบ

            อ้างกลัวผู้ไม่ประสงค์ดีเข้าไปก่อเหตุ

             ชาวศรีษะเกษปักหลักทวงแผ่นดิน

            ทั้งนี้ นายสมานประสานเข้ายื่นหนังสือเรียกร้องทวงคืนเข้าพระวิหารกับนายรั๋วะ เฮง ประธานช่องพระวิหารของกัมพูชา และให้อพยพชาวกัมพูชาที่รุกล้ำเข้ามาตั้งชุมชนในเขตไทยบริเวณเชิงเขาพระวิหารออกไป แต่นายรั๋วะปฏิเสธจึงต้องยื่นหนังสือผ่านพ.อ.เวิน จำปาสา หัวหน้าประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชาแทน นายสมานกล่าวด้วยว่าจะชุมนุมจนกว่าจะทวงเขาพระวิหารคืนมาได้ โดยตั้งศูนย์ประสานงานทวงคืนเขาพระวิหาร ที่อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหารด้วย

             ภาคีโคราชจี้ทหารแสดงจุดยืน

             พล.อ.ปฐมพงษ์ส่งหนังสือถึงป๋า

              "บัวแก้ว"สั่งกองทัพปิดปาก

               เด็กบิ๊กจิ๋วห่วงปัญหาบานปลาย

               นักวิชาการจวกยับไม่คิดก่อนทำ

              ขณะเดียวกัน มีความเห็นจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญในเรื่องดังกล่าว ที่ออกมาตำหนิการดำเนินการของรัฐบาล เริ่มจากม.ร.ว.อคิน รพีพัฒน์ นักวิชาการอาวุโส ในฐานะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ (กวช.) กล่าวว่ารัฐบาลไม่คิดก่อนทำ ทั้งที่ควรยึดจุดยืนของไทยที่มีท่าทีประท้วงคำตัดสินของศาลโลกเมื่อปี 2505 พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงกระแสข่าวผลประโยชน์ทับซ้อนเรื่องธุรกิจน้ำมันที่เกาะกงของกัมพูชา และไม่ทราบว่ารมว.ต่างประเทศของไทยไปยอมรับข้อตกลงของกัมพูชามากน้อยแค่ไหน จะถอนเรื่องได้หรือไม่ หากปราสาทเขาพระวิหารถูกประกาศเป็นมรดกโลกแล้ว พื้นที่โดยรอบจะมีปัญหาทันที โดยเฉพาะเรื่องความมั่นคง จึงเรียกร้องให้คนไทยลุกขึ้นยืนยันการเป็นเจ้าของดินแดนต่อประชาคมโลก พื้นที่รอบเขาพระวิหารไม่ใช่พื้นที่ทับซ้อนเป็นของไทย และเราต้องเสนอขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารร่วมกับกัมพูชา

               ซัดนพดลแค่ทำงานพีอาร์

               พันธมิตรฯบุกศาลปค.ค้านมติครม.

               ส่วนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแสดงท่าทีในเรื่องดังกล่าว โดยนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรฯแถลงว่า วันที่ 24 มิถุนายน เวลา 10.00 น. ตัวแทนพันธมิตรฯ จะเดินทางไปยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติ ครม. เมื่อวันที่ 17 มิถุนายนที่เห็นชอบอนุมัติให้นายนพดลลงนามในหนังสือยืนยันและสนับสนุนกัมพูชา ให้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ซึ่งเป็นการขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 190 ท้ายคำร้องจะขอให้ศาลเปิดไต่สวนฉุกเฉินคุ้มครอง เพื่อไม่ให้กัมพูชานำข้อตกลงร่วมดังกล่าวไปอ้างในการยื่นจดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกด้วย ”

 

                  ผลต่อเนื่องในวันถัดไปของวันที่ 24 มิถุนายน  2551 นภดล ปัทมะลาก็ลาออกจากการเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ   วันที่ 24 กลายเป็นวันอาถรรพ์ไปแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นวันที่คณะราษฎรเปลี่ยนแปลงการปกครองด้วยการยึดอำนาจพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๗ ยังเป็นวันสำคัญที่รมต.ต่างประเทศ ลาออกจากตำแหน่ง อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอีกด้วย

 

 

                   ยิ่งผลระดับนโยบายเกิดขึ้นมากเพียงใด  การทำงานของคณะธรรมยาตราก็ยากยิ่งขึ้นเท่านั้น 

                  คณะธรรมยาตรากำลังจะพบศึกหนักยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หลังการก่อผลสะเทือนประสบความสำเร็จในระดับผู้กุมนโยบาย    ความไม่เป็นมิตรของชาวบ้านภูมิซรอลอันเกิดจากการยุยุงปลุกปั่นโดยเจ้าหน้าที่รัฐ ทำให้คณะธรรมยาตราต้องทำงานหนักขึ้นเป็นลำดับซึ่งจะกล่าวถึงในตอนต่อไป