ตอนที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามา มีคนกล่าวกันว่า จอมพลป.พิบูลสงคราม ขายชาติ แต่ตอนที่ทหารแขกเข้ามาใครเป็นคน ขายชาติ ยังถกเถียงกันอยู่
คำว่า ขายชาติ ผมไม่ได้ใช้ขึ้นเองนะครับ แต่ผมได้ยินได้ฟังคนอื่นเขาพูดกัน ผมเองไม่ต้องการจะใช้คำว่า ขายชาติ ต่อคนไทยคนใดคนหนึ่งเลย แต่ถ้าการมีทหารต่างชาติอยู่เต็มบ้านเต็มเมืองในประเทศเรา เกิดจากการขายชาติของคนใดคนหนึ่งแล้ว ทหารญี่ปุ่นอยู่หรือทหารแขกอยู่ ก็ย่อมเป็นการขายชาติอย่างเดียวกัน ดังนี้จึงจะยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหาว่าขายชาติ ถ้าถือว่าทหารญี่ปุ่นอยู่ขายชาติ แต่ทหารแขกอยู่ไม่ขายชาติ ก็ย่อมไม่ยุติธรรม
เมื่อทหารญี่ปุ่นอยู่ ร้ายแรงแก่คนไทยอย่างไร พูดไม่หวาดไหว ผมเองก็เห็นกับตามาเยอะแยะ เช่นขึ้นรถไฟคนไทยต้องยืนเบียดกันไปตลอดทาง ทั้งๆที่ ที่นั่งว่างทั้งโบกี้ แต่ทหารญี่ปุ่นยึดไว้คนละที่ บางคนนอนหลับปี๋ บางคนนั่งเฉยๆโดยมีที่ว่างอยู่ แต่ไม่ยอมให้คนไทยนั่ง ผมเคนโยนกล้วยให้เชลยศึกฝรั่งตัวแดงๆนุ่งกางเกงชั้นในตัวเดียวยืนอยู่ที่ชานชาลาสถานีรถไฟเป็นแถว พอทหารญี่ปุ่นเห็นก็พุ่งเข้าไปตบหน้าเชลย และแย่งกล้วยหวีนั้นขว้างไปเสีย มีเหตุการณ์ครั้งหนึ่งสะเทือนไปทั่วประเทศ คือพระรูปหนึ่งเข้ามาขอซื้อนาฬิกาข้อมือจากเชลยฝรั่งที่บ้านโป่ง พอทหารญี่ปุ่นเห็นก็ปรี่เข้าไปตบหน้าพระ และจับตัวจะพาไปเข้าค่าย ชาวบ้านโป่งซึ่งมุงดูอยู่ก็เข้าแย่งเอาตัวพระรูปนั้นไป ตำรวจไทยและสารวัตรทหารไทยเข้าช่วยคนไทย เกิดยิงกับทหารญี่ปุ่นตายไปฝ่ายละหลายสิบศพ ตอนนั้นถ้าญี่ปุ่นไม่ยอมต่อฝ่ายไทย ไทยคงจะต้องทำสงครามกับญี่ปุ่นเป็นแน่ เพราะทหารและประชาชนทั่วประเทศไม่ยอมแน่แล้ว เมื่อเห็นฝ่าย(รัฐบาลจอมพลป.) เอาจริง ญี่ปุ่นจำยอมรับผิดและไม่ต้องรบกัน
ส่วนทหารแขกก็ไม่เบากว่าทหารญี่ปุ่น บางกรณีร้ายกว่า โดยเฉพาะชอบฉุดคร่าข่มขืนผู้หญิงตามบ้านนอก มีเรื่องหนึ่งที่ผมทราบจากเพื่อนว่า ชาวบ้านดารารุมกันตีทหารแขกตายหลายคนเพราะไปฉุดคร่าลูกสาวชาวบ้าน และขอให้ถามคนที่เป็นทหารรุ่นนั้นดู เขาจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าอยากยิงทหารแขกให้ตายหมด เพราะพวกนี้กักขฬะมากและเห็นไทยเป็นเมืองขึ้น และแสดงอำนาจบาตรใหญ่โดยอ้างหน้าที่ปลดอาวุธทหารญี่ปุ่น แต่ผู้บังคับบัญชาใจเย็นกว่า พลทหาร จึงห้ามไว้ มิฉะนั้นทหารแขกอาจถูกทหารไทยยิงตายเป็นเบือทีเดียว ผมเองเกิดทะเลาะกับหัวหน้ากองฝึกหัดครูก็ด้วยทหารแขกนี่แหละ ตอนนั้นผมย้ายจากร.ร.สวนกุหลาบไปอยู่ ร.ร.ฝึกหัดครูประถมพระนคร วังจันทรเกษมแล้ว ทำหน้าที่อาจารย์ผู้ปกครอง หัวหน้ากองคนนั้นเคยเข้าข้างอักษะเต็มตัว พอสัมพันธมิตรชนะ คงอยากจะประจบผู้ชนะ วันหนึ่งขณะนักเรียนกำลังนอนพักหลังอาหารกลางวัน หัวหน้ากองมาหาผม บอกว่าให้ปลุกนักเรียนและนำไปทำความสะอาดตึกที่วังสุนันทาเพื่อให้ทหารอังกฤษ (ที่แท้คือทหารแขก) เข้าพัก ผมบอกว่านักเรียนกำลังนอนไม่ควรปลุก และจะเอานักเรียนฝึกหัดครุซึ่งเป็นนักเรียนโตๆแล้วไปทำความสะอาดตึกให้ทหารแขกไม่เหมาะ หัวหน้ากองโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง จึงเดินปรี่ไปสั่นกระดิ่งลั่นปลุกนักเรียนเอง นักเรียนแตกตื่นออกกันมากลางสนาม หัวหน้ากองจึงบอกกับผมว่า ให้สั่งนักเรียนเข้าแถวพาไปทำความสะอาดตึก ผมบอกว่าไม่สั่ง (เพราะเกลียดทหารแขกพอๆกับเกลียดทหารญี่ปุ่นและรู้สึกว่าหัวหน้ากองทำไม่ถูก) ให้ท่านหัวหน้ากองสั่งเอง หัวหน้ากองยิ่งโกรธและตวาดเอากับผมว่า คุณขัดคำสั่งผมรึ ผมบอกว่าไม่ขัดคำสั่ง ขอให้เขียนคำสั่งมา ผมจะปฏิบัติตามเดี๋ยวนี้ หัวหน้ากองกระทืบเท้าเดินกลับไป แล้วก็ไม่เห็นเขียนคำสั่งมาให้ผมเลย เรื่องนี้ทั้งนักเรียนและครูเชียร์ผมกันใหญ่ เพราะไม่ชอบหัวหน้ากองคนนั้นอยู่แล้วที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่เสมอ และนักเรียนก็ยิ่งชอบใจที่ไม่ต้องไปทำความสะอาดตึกให้ทหารแขกเพราะพวกเขาเกลียดทหารแขกเหมือนๆผม นี่คือเรื่องทหารแขกเข้ามาอยู่เมืองไทยที่ทำให้ผมต้องทะเลาะกับหัวหน้ากอง
เรื่องทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในเมืองไทยก็ดี เรื่องทหารแขกเข้ามาอยู่เมืองไทยก็ดี คือสภาพการณ์ที่ทำให้ประเทศไทยต้องทำการปฏิวัติประชาชาติ (National Revolution) และขณะนั้นประเทศไทยปกครองโดย คณะราษฎร หน้าที่ปฏิวัติประชาชาติจึงตกเป็นคณะราษฎรโดยเฉพาะด้วยเหตุที่คณะราษฎรถือว่าคณะตนเป็นคณะปฏิวัติประชาธิปไตยหรือคณะอภิวัฒน์ประชาธิปไตย เราจึงมาดูกันว่าคณะราษฎรทำการปฏิวัติประชาชาติอย่างไร
เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า คณะราษฎรนั้นตั้งขึ้นมาเพื่อจะทำการปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution) ซึ่งในระยะหลังๆ อาจารย์ปรีดีเรียกว่า การอภิวัฒน์ประชาธิปไตย ดังสุนทรพจน์ของท่านในงาน กึ่งศตวรรษประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2525 ซึ่งท่านได้ให้หัวเรื่องสุนทรพจน์ของท่านว่า คณะราษฎรกับการอภิวัฒน์ประชาธิปไตย 24 มิถุนายน
การปฏิวัติประชาธิปไตยหรือการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยนั้น มี 2 ด้าน ด้านหนึ่งคือการสถาปนาอธิปไตยของประชาชน (Popular Sovereignty) อีกด้านหนึ่งคือการสถาปนาอธิปไตยของประชาชาติ (National Sovereignty)
การสถาปนาอธิปไตยของประชาชนเรียกว่า การปฏิวัติประชาธิปไตย (Democratic Revolution)
ประเทศเผด็จการที่มีอธิปไตยของประชาชาติแล้ว (เป็นเอกราชแล้ว) ไม่ต้องสถาปนาอธิปไตยของประชาชาติ จึงมีแต่การสถาปนาอธิปไตยของประชาชนด้านเดียว มีแต่การปฏิวัติประชาธิปไตยในอังกฤษ ศตวรรษที่ 17 ภายใต้การนำของ โอลิเวอร์ ครอมเวล การปฏิวัติประชาธิปไตยในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 16-19 ภายใต้การนำของเบสเบียร์ มาราต์ ตัวตอง เป็นต้น
แต่ประเทศที่ยังไม่มีอธิปไตยของประชาชาติ (ยังไม่เป็นเอกราช) ต้องสถาปนาอธิปไตยของประชาชาติคู่ขนานคู่ขนานไปกับการสถาปนาอธิปไตยของประชาชน เช่นการปฏิวัติประชาธิปไตยของงอเมริกาศตวรรษที่ 18 ภายใต้การนำของจอร์จ วอชิงตัน ยังผลให้ได้ประกาศอิสรภาพ (The Declaration of Independence) จากอังกฤษ ขณะเดียวกันก็กระชับอธิปไตยของประชาชนให้เข้มแข็งขึ้นด้วย การปฏิวัติประชาธิปไตยในอเมริกาจึงมี 2 ด้าน คือด้านปฏิวัติประชาชาติและด้านปฏิวัติประชาธิปไตย รวมกันเรียกว่า การปฏิวัติประชาธิปไตยประชาชาติ หรือการปฏิวัติประชาธิปไตยแห่งชาติ (National Democratic Revolution) แต่คนไทยมักเรียกผิดเป็นปฏิวัติประชาชาติประชาธิปไตยไป
การปฏิวัติประชาชาตินั้น ไม่ใช่ว่าจะทำแต่เฉพาะในประเทศเมืองขึ้นเท่านั้น ประเทศที่เป็นเอกราชแล้วแต่ยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องมีส่วนแห่งการปฏิวัติประชาชาติด้วย
ประเทศไทยในขณะที่ทำการปฏิวัติประชาธิปไตยเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 นั้น เป็นประเทศเอกราชแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์ โดยเฉพาะคือต่างประเทศยังมีสิทธิถอนคดีจากศาลไทย โดยกำหนดไว้ในสนธิสัญญาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่าต่างประเทศจะหมดสิทธิถอนคดีจากศาลไทย ภายหลังที่ประเทศไทยมีประมวลกฎหมายครบถ้วนเป็นเวลา 5 ปี ฉะนั้นหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง คณะราษฎรจึงได้เร่งรัดร่างประมวลกฎหมายที่ยังเหลืออยู่และสามารถประกาศใช้ประมวลตลอดจนวิธีพิจารณาความครบถ้วน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2477 ซึ่งตามกำหนดในสนธิสัญญาประเทศต่างๆ จะหมดสิทธิถอนคดีจากศาลไทยในวันที่ 1 ตุลาคม 2482
แต่รัฐบาลคณะราษฎร โดยอาจารย์ปรีดี ได้เจรจากับประเทศต่างๆ ขอให้เห็นใจไทยและสิทธิถอนคดีก่อนกำหนดในสนธิสัญญา ยังผลให้ประเทศต่างๆยอมสละสิทธิตามลำดับ และสละหมดทุกประเทศเมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม 2481 หมายความว่าประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์ ตั้งแต่วันนั้น(เอกราชหมายความถึงเอกราชทางการเมือง) นี่คือส่วนสำคัญของการปฏิวัติประชาชาติครั้งแรกของคระราษฎร
แต่ในขณะที่คณะราษฎรทำการปฏิวัติประชาชาติเสร็จ คณะราษฎรก็ได้ทำลายการปฏิวัติประชาธิปไตยเสร็จไปแล้วเหมือนกัน คือหลังจากคณะราษฎรสถาปนาอำนาจอธิปไตยของประชาชาติขึ้นได้เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 แล้วไม่นาน คณะราษฎรก็ค่อยๆเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยของประชาชน ไปเป็นอำนาจอธิปไตยของชนส่วนน้อย คือค่อยๆเปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการ และได้เปลี่ยนระบอบประชาธิปไตยเป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาอย่างเป็นทางการด้วยการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2475
โดยระบุในช่วงนี้คือ การปฏิวัติประชาธิปไตยหรือการอภิวัฒน์ประชาธิปไตยของคณะราษฎร ประสบความสำเร็จในด้านการปฏิวัติประชาชาติ คือทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศเอกราชสมบูรณ์ แต่ประสบความล้มเหลวในด้านการปฏิวัติประชาธิปไตย คือแทนที่จะสถาปนาระบอบประชาธิปไตย กลับกลายเป็นการเปลี่ยนระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภา พร้อมกับค่อยๆเพิ่มลักษณะของระบอบเผด็จการทหารขึ้นเป็นสำคัญ จนถึงเมื่อหลวงพิบูลสงครามขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทนพระยาพหลพยุหเสนาการปกครองของประเทศไทยก็เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาควบทหาร