สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
เขียนโดย นางแก้ว โพส ๖ ต.ค.๒๕๕๒: ๐๓.๔๕ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๑๕ เม.ย.๒๕๕๒
การขุดหลุมฝังแนวทางรุนแรง VS การเกิดใหม่ของแนวทางสันติวิธีในขบวนการประชาชน |
พายุฤดูร้อน ฝนตกหนักทุกเย็น น้ำท่วมฉับพลันในกรุงเทพ แผนดาวกระจายในเมืองหลวงของม็อบเสื้อแดงอุบัติขึ้นท่ามกลางการลงโทษของธรรมชาติ เกิดขึ้นก่อนวันที่8เมษายนซึ่งเป็นวันดีเดย์และต่อเนื่องตลอดสัปดาห์ ท่ามกลางการปิดถนนหลายจุดบนท้องถนนในกรุงเทพโดยม็อบนปช.เสื้อแดง การปิดถนนในหลายจุดของม็อบเสื้อแดงตั้งแต่วันที่ 9-10 เมษายนเกิดขึ้นพร้อมๆกับเสียงด่าทอ สาปแช่งของคนเมืองที่ต่างปฏิเสธวิธีการเคลื่อนไหวดังกล่าว ข่าวโทรทัศน์รายงานสภาพความทุลักทุเลของการช่วยเหลือผู้ป่วยในโรงพยาบาลราชวิถีและปฏิกิริยาของทั้งคนป่วยและเจ้าหน้าที่ที่ต่างแสดงความสะเทือนใจต่อการกระทำ ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนต่างแสดงความเห็นผ่านสื่อขอร้องให้คนไทยยุติความวุ่นวายลง การแสดงทัศนะของผู้คนแสดงความอดทนต่อสถานการณ์แบบใช้เหตุผลจนถึงที่สุด คนส่วนใหญ่ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงก้าวล้ำคำว่า เสรีภาพทางการเมือง อย่างสงบสันติ และน่าจะมีวาระซ่อนเร้นแอบแฝง
การฝังประเทศชาติทั้งเป็นด้วยวิธีรุนแรง
นักวิเคราะห์ในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติชี้ชัดลงไปว่ากลุ่มเสื้อแดงกำลังสร้างเงื่อนไขหาเหตุ ป่วนเมือง เพื่อยั่วยุให้เกิดการปราบปรามจากอำนาจรัฐตามทฤษฎีกฎไดเลคติคของลัทธิคอมมิวนิสต์ คือการมีฝ่าย กิริยา และฝ่าย ปฏิกิริยา แต่ก็กลับกลายเป็นการกำหนดยุทธวิธีที่ผิดพลาดแต่ต้นเนื่องจากการปิดถนนจุดแรกที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิก่อความเดือดร้อนให้คนจนในเมืองหลวงมากกว่าใคร เพราะเป็นเส้นทางเดินรถประจำทางสายสำคัญ การกำหนดยุทธวิธีผิดทำให้ม็อบเสื้อแดงเริ่มถูกโดดเดี่ยวจากประชาชนในทันทีทันใด การออกมาแสดงจุดยืนของประชาชนขับไล่การปิดการจราจรที่ถนนสาธรที่บริเวณแยกถนนนราธิวาสราชนครินทร์ คือกรณีศึกษาที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนที่เกิดปรากฏการณ์ ประชาชน โห่ไล่ ม็อบ สะท้อนให้เห็นชัดว่าประชาชนไม่เอาด้วยกับความรุนแรง
เมื่อไม่ประสบความสำเร็จแกนนำเปลี่ยนแผนรุกไปพัทยาในที่ประชุมอาเซียนซึ่งกลายจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการเคลื่อนไหวก่อความไม่สงบ เกิดตัวละครเพิ่มขึ้นจากการจัดฉากใหม่ของกลุ่มคนเสื้อน้ำเงินหลายร้อยนายนำโดยเนวิน ชิดชอบที่ว่ากันว่าระดมกำลังนายตำรวจมาจากอิสานใต้ ยกกำลังมาทั้งโรงพักที่มีการยืนยันกันว่าราคาค่าตัว3,000 บาทต่อหัว ตัวละครสีน้ำเงินน่าจะทำงานภายใต้เงื่อนไขใหม่ เป็นฝ่าย ปฏิกิริยา เร่งสุมไฟให้ร้อนเร็วขึ้นผ่านการรับรู้ของรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีชื่อสุเทพ เทือกสุบรรณ การปะทะระหว่างน้ำเงินกับแดงสร้างเงื่อนไขปลุกเร้าใหม่ให้เสื้อแดง เดือด เร็วขึ้น และเดือดร้อนจัดจนควันพวยพุ่งในทันทีที่ เกิดการลอบยิงคนขับแท็กซี่ม็อบเสื้อแดงสองนาย
ความอ่อนไหวของสถานการณ์ปรากฏตามคาดการณ์จากกรณีลอบยิงแท็กซี่เสื้อแดง การยกระดับการชุมนุมสู่ความรุนแรงเป็นไปตามคาด ขยับขึ้นสู่การก่อการจลาจลย่อยหลังการปะทะกับม็อบสีน้ำเงินของเนวิน ชิดชอบ และเป็นการจุดชนวนให้แม่ทัพน้อยอริสมันต์ พงษ์เรืองรองพาเสื้อแดงทั้งหมดบุกยึดโรงแรมและทำให้การประชุมอาเซียนพังลงอย่างไม่ไว้หน้ารัฐบาลอีกต่อไป และจบลงด้วยกองทัพแดงบุกยึดโรงแรมพร้อมการถ่ายทอดสดแบบทีวีพูลทุกสถานี แม่ทัพน้อยเสื้อแดงยืนแถลงข่าวอย่างองอาจจนเป็นเหตุให้การประชุมผู้นำอาเซียนต้องยุติลง
การขุดหลุมฝังประเทศทั้งเป็นยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป็นสภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแปอย่างถึงที่สุด แกนนำม็อบได้เพิ่มดีกรีการชุมนุมและเปลี่ยนฝูงชนให้เป็นนักอนาธิปไตย Anarchist ไปสำเร็จเรียบร้อย พัฒนาการจากการนำพาฝูงชนการอ้างสิทธิ เสรีภาพ ด้วยเงื่อนไขเฉพาะตน เฉพาะกลุ่ม กลายเป็นการเบียดเบียนไม่เคารพสิทธิผู้อื่น กำลังสะท้อนสภาวธรรมใหม่เฉกเช่นโลกตะวันตกกำลังเผชิญ เมื่อเสรีภาพตามกิเลสเบ่งบาน สันติภาพในใจหดหาย จุดยืนของประเทศชาติขึ้นอยู่กับการขึ้นตรงกับกลุ่มก้อนของพวกตน ทุกคนอ้างสิทธิที่พึงมีในการแสดงออก แต่เสรีภาพชั้นต่ำแบบนี้ พัฒนามาจากวิธีคิดต่อกรกับอำนาจรัฐเผด็จการ และกำลังเป็นเงื่อนไขให้ฝ่ายซ้ายคอมมิวนิสต์ใช้ในการปลุกม็อบอีกครั้งทั่วแผ่นดิน
นี่คือปรากฏการณ์สถานการณ์ปฏิวัติกระแสสูง ในกระแสต่ำการนำทางความคิด อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากอาเพศ10 ประการในประเทศไทย ที่นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเคยอธิบายไว้ในบทความชิ้นหนึ่งว่า 1 ในอาเพศดังกล่าวคือ การที่นักเคลื่อนไหวทำเป็นแต่ม็อบแต่ทำแม็ส(Mass) ไม่เป็น ม็อบที่เคลื่อนไปตามถนนเกิดขึ้นท่ามกลางการปราศรัยปลุกเร้า ตามธรรมชาติของการนำเมื่อปลุกม็อบได้อารมณ์ร่วมเต็มที่ไม่สามารถเอาอารมณ์ม็อบลงได้และเมื่อแกนนำเองไม่สามารถนำทางความคิดได้ จึงต้องพาคนไปใช้กำลังแทน เห็นภาพชัดว่าเส้นโค้งแห่งทางช้างเผือกเชื่อมจากเหลืองมาแดง ก่อกำเนิดจากการชุมนุมของม็อบพันธมิตรฯเสื้อเหลือง193วันมาสู่การชุมนุมของม็อบนปช.เสื้อแดง20 กว่าวันนั้น มีลักษณะที่พอเทียบเคียงกันได้ในเรื่อง อารมณ์ร่วม ของฝูงชน ที่จำต้องเคลื่อนไปตามจังหวะการเต้นชีพจรของม็อบ และอุบัติเหตุย่อมเกิดขึ้นได้หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เล่นเกมสกปรกส่งมือที่สาม มือที่สี่ หรือมือที่ห้าเข้ามาสร้างเงื่อนไข น้ำผึ้งหยดเดียว สร้างสถานการณ์รุนแรงปลุกเร้าม็อบถึงจุดเดือดพร้อมทำลายคู่ตรงข้าม โดยที่ไม่สามารถยับยั้งได้
เสรีภาพของนักอนาธิปไตย Anarchist VS อำนาจรัฐในมือคนส่วนน้อย
การใช้ เสรีภาพทางการเมือง ของกลุ่มเสื้อแดงสะท้อนผ่านการนำของอดีตนักร้องนายอริสมัน พงษ์เรืองรองแม่ทัพน้อยนำบุกโรงแรมรอยัล คลิฟ บีชระหว่างการประชุมอาเซียน จนเป็นเหตุให้การประชุมต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิง สภาพของคลื่นฝูงชนเสื้อแดงฝ่าประตูกระจกโรงแรมและบุกเข้ายึดพื้นที่พร้อมการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนโดยมีแผ่นป้ายประชุมอาเซียนเป็นฉากหลัง ทำให้คนไทยทั้งประเทศรู้สึก ใจหาย นักวิเคราะห์ในขบวนฯตั้งข้อสังเกตว่าแผนการครั้งนี้อาจมีนายทหารระดับสูงร่วมวางหมากอยู่ด้วย และก่อความเสียหายได้ผล ฉีกหน้ารัฐบาล ทำลายความมั่นคง ต่อหน้าประชาคมโลก ได้สมใจนักก่อการที่อยู่หลังฉาก
ความเสียหายครั้งนี้สำคัญมากกว่าหน้าตาของประเทศเพราะผู้นำในภูมิภาคหวังใช้เวทีนี้แก้ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่กำลังรุมเร้า ม็อบเสื้อแดงหวังเพียงแค่ทำลายการประชุม พาประชาชนเข้าไปในโรงแรม ทว่ากลับสร้างความสะเทือนใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ไม่ต่างกับการเห็นบ้านเมืองถูกเผาให้วอดวายไปต่อหน้าต่อตาผ่านการรายงานสดของสื่อทีวี และเป็นไปได้สวยกับทฤษฎีป่วนเมืองสร้างเงื่อนไขให้เกิดการนองเลือดตามทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์
นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติวิเคราะห์ว่ากลุ่มม็อบเสื้อแดงเกิดจากจัดตั้งหลากหลายกลุ่มทั้งกลุ่มแนวร่วมอดีตพคท.ในป่า ที่ต่างรวมตัวกันภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน และยังยึดแนวทางรุนแรงในการเคลื่อนไหว มีการออกจดหมายเวียนโดยอดีตเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยคนสุดท้าย ในฐานะหนึ่งแกนนำระดมมวลชนจัดตั้งฝ่ายซ้ายเข้าร่วม สามารถกล่าวโดยรวมได้ว่าม็อบเสื้อแดงมีลักษณะการรวมตัวเข้มข้นกว่าม็อบเสื้อเหลืองพันธมิตร การ เอาคืน ของทักษิณคือ อาวุธของการเมืองฝ่ายซ้าย และนายกอภิสิทธิ์เผชิญศึกหนักรุมเร้าเพราะรัฐบาลไทยกลายเป็นตัวตลกต่อเวทีนานาชาติ และที่สำคัญสะท้อนความอ่อนแอของรัฐบาลที่ไม่สามารถดำเนินการใดๆได้ นี่ไม่ใช่เกมเล่นตลกทำให้รัฐบาลขายขี้หน้าแต่เป็นเรื่องของการ รักษาความเป็นชาติ ในเวทีโลก ไม่สมควรที่จะใช้เป็นเงื่อนไขของการชุมนุมเรียกร้องปัญหาภายในของชาติตน
เมื่อฝูงชนอ้างการใช้สิทธิเสรีภาพในการเคลื่อนไหว คู่ตรงข้ามคือรัฐบาลประชาธิปัตย์โดยนายกอภิสิทธิ์ก็ใช้อาวุธคู่ตรงข้ามกัน คือ อำนาจรัฐ นายกอภิสิทธิ์แถลงออกทีวีสดจากพัทยาว่ารัฐบาลพร้อมใช้มาตรการทางกฎหมาย ด้วยการประกาศจับอดีตนักร้อง หลังการปะทะกันระหว่างเสื้อแดงและเสื้อน้ำเงินไปแล้ว เวทีเสื้อแดงประกาศสู้ไม่ถอยทันทีทั่วประเทศให้บุกศาลากลางทุกจังหวัด และมวลชนเสื้อแดงพร้อมป่วนเมืองต่อด้วยการรุกบ้านนายกอภิสิทธิ์วันเดียวกัน
ประชาชนที่ไม่เคยใส่ใจกับการเมือง จำต้องถามหาเหตุผลจากภาพข่าวที่ปรากฏในทีวี และในท้ายสุดคนไทยรักสันติก็ต่างแสดงออกคล้ายๆกันว่า ทำเกินไป ม็อบเสื้อแดงกำลังถูกโดดเดี่ยวจากประชาชนอีกครั้งหนึ่ง ประชาชนเริ่มมีอารมณ์ร่วมเห็นใจรัฐบาลโดยปริยาย ดังนั้นปฏิกิริยาต่อเนื่องหลังเกิดเหตุในพัทยาที่ทำให้ประชาชนรุกให้รัฐบาลทำการปราบปรามม็อบเสื้อแดงจึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดเดา ส่งผลให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ได้รับบทบาทพระเอกผู้ถูกรังแกและแกนนำม็อบดาวเทียมทักษิณคือดาวร้ายผู้บงการ ม็อบเสื้อแดงเขียนบทต่อในรุ่งเช้าของอีกวันหนึ่งด้วยการไล่ล่านายกฯไปจนถึงกระทรวงมหาดไทยจนเกิดฉากใหม่ การไล่ทุบรถประจำตำแหน่งนายกฯจนมีผู้ได้รับบาดเจ็บ
นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยฟันธงว่านี่คือการจัดฉากครั้งสำคัญของรัฐบาลประชาธิปัตย์ มีสุเทพ เทือกสุบรรณเป็นผู้วางแผน ทำให้นายกพระเอกและรัฐบาลถูกรังแกต่อหน้ากล้องทีวีคล้ายเรียลลิตี้โชว์ ประชาชนผู้บริโภคข่าวจากสถานีเดียวกันเริ่มคล้อยตามรัฐบาลที่ประกาศก่อนหน้านั้นว่าจะใช้สถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีในการกระจายข่าวสาร ในอีกความหมายหนึ่งคือต่อแต่นี้ไปรัฐจะมีสถานีดังกล่าวเป็นปากกระบอกเสียงต่อตีกลับ และปิดโอกาสคู่ต่อสู้ด้วยการปิดวงจรสถานีดีสเตชั่นของกลุ่มเสื้อแดงไม่ให้โต้ตอบ ด้วยวิธีการเฉกเช่นรัฐบาลเผด็จการอื่นๆ ที่เมื่อถึงเวลา เสรีภาพที่เคยได้ในยามปรกติจะถูกลิดรอนในทันทีที่อาจหาญท้าอำนาจรัฐ
ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไร ? และให้บทเรียนอะไรกับประเทศชาติ ?
นี่คือบทเรียนสำคัญของผู้อ้างว่าต้องการ ประชาธิปไตย ทุกคน ได้เรียนรู้ว่าในกรณีนี้เสรีภาพของบุคคลไม่สมดุลกับอำนาจอธิปไตยของปวงชน เสรีภาพมากกลายเป็นอนาธิปไตย เสรีภาพน้อยเป็นเผด็จการ เนื่องจากประชาชนเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการ คุ้นเคยอยู่แต่เพียงเสรีภาพน้อยๆ คนไม่รู้จักใช้เสรีภาพในสภาวะอนาธิปไตย เมื่อใช้อำนาจเกินขอบเขต จึงเกิดสภาพตามที่ปรากฎ
นักวิเคราะห์ในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกล่าวว่าความผิดพลาดของม็อบเสื้อแดงคือการไม่ยึดแนวทางสันติจริงแต่แรก กิจกรรมปิดถนนกลายเป็นการป่วนเมือง จึงถูกปฏิเสธจากประชาชนและจะถูกโดดเดี่ยวจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศในที่สุดเพราะประชาชนไม่ต้องการความรุนแรง ส่วนความผิดพลาดของรัฐบาลประชาธิปัตย์ในครั้งนี้คือเลือกใช้มาตรการทางกฎหมายเพียงอย่างเดียวซึ่งไม่ใช่ทางออกที่ถูกต้องทั้งหมด นักวิเคราะห์กล่าวว่ารัฐบาลควรใช้มาตรการทางการเมืองนำ และใช้มาตรการทางกฎหมายเป็นรอง เขาชี้ให้เห็นว่านี่คือลักษณะของพรรคประชาธิปัตย์ที่นิยม อ้างกฎหมาย ภายใต้ท่วงทำนองสุขุมกลับซ่อนความรุนแรงแบบเผด็จการไว้เต็มที่ หากรัฐบาลใช้มาตรการการเมืองเป็นหลัก และมีมาตรการทางกฎหมายและมาตรการทางการทหารเป็นองค์ประกอบการแก้ปัญหาม็อบเสื้อแดงอาจนำไปสู่ สภาวธรรมใหม่ ของประเทศชาติที่ดีกว่านี้
คัมภีร์ประชาชน
ดังที่กล่าวในตอนก่อนว่ารูปธรรมของเผด็จการคือม็อบ ม็อบคือปรากฏการณ์และเผด็จการคือธาตุแท้ ในตอนนี้มีคำอธิบายเพิ่มเติมขึ้นมาอีกคือ รูปธรรมของการใช้อำนาจอธิปไตยคือกฎหมาย และรูปธรรมของเสรีภาพก็คือการเคลื่อนไหว หรือกล่าวจนถึงที่สุดได้ว่า พระราชกำหนด(พรก.) ฉุกเฉินของรัฐบาลคือการใช้อำนาจรัฐบังคับมิให้เกิดการเคลื่อนไหวของนปช.เสื้อแดง ทั้งสองอันคือองค์ประกอบ 2 ใน 5 หลักสำคัญของหลักการประชาธิปไตยทั้ง 5 คืออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ความเสมอภาค เสรีภาพบุคคลบริบูรณ์ หลักนิติธรรมและท้ายสุดการเลือกตั้ง และการสร้างสังคมประชาธิปไตยจำเป็นต้องสร้างดุลยภาพของหลักการทั้ง 5 ให้เสมอกันให้ได้เสียก่อน จึงจะเรียกได้ว่าเป็น ระบอบประชาธิปไตย หากดุลยภาพไม่บังเกิด ก็ยังเท่ากับว่าระบอบที่มีอยู่ยังคงเป็นเผด็จการอยู่ (อ่านเพิ่มเติม.....)
หลักความสัมพันธ์ของอำนาจอธิปไตยกับการใช้เสรีภาพบุคคลนั้นคือบาทฐานสำคัญของการสร้างประชาธิปไตยให้เกิด ในรัฐเผด็จการ การบังคับใช้ทางกฎหมายมีความเข้มข้นและมีลักษณะลิดรอนสิทธิเสรีภาพของบุคคลสูงกว่า ในกรณีนี้อำนาจที่นายกอภิสิทธิ์ใช้แทนอาญาแผ่นดินในการปราบม็อบถือว่าเป็นอำนาจ (ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า) ที่เกิดจากการยอมรับของคนทั้งแผ่นดิน เรียกว่า อำนาจอธิปไตยของปวงชน คือปวงชนเป็นใหญ่และปวงชนมอบอำนาจนั้นให้กับรัฐบาลเพื่อใช้อำนาจผ่านกลไกรัฐ แต่เนื่องจากระบอบที่มีอยู่เป็นระบอบที่เกิดจากอำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อยหรือผู้ปกครองที่มิได้มีลักษณะเป็นตัวแทนของประชาชนจริงหรือระบอบเผด็จการรัฐสภา ที่กำลังดำเนินถึงความเสื่อม ผุกร่อนและไร้ประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด และนับว่าเป็นความโชคร้ายของคนหนุ่มเช่นนายกฯอภิสิทธิ์ที่ขึ้นมาปกครองในยามที่ความผุกร่อนของอธิปไตยตนส่วนน้อยกำลังเสื่อมเต็มที่ ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเสนอแนวทางการแก้ปัญหาให้ถูกต้องด้วยการทำให้อำนาจอธิปไตยของปวงชนมีความสมดุลกับเสรีภาพของบุคคล และวิธีการสร้างความสมดุลนี้ทำได้ประการเดียวคือด้วยการ สร้างประชาธิปไตย นั่นเอง
รูปของอำนาจอธิปไตยปวงชนคือการใช้กฎหมายของรัฐบาล ซึ่งกำลังสู้อยู่กับรูปการใช้เสรีภาพแบบสุดโต่งของกลุ่มเสื้อแดง กำลังสะท้อนความไม่สมดุลของหลักการทั้ง 5 แต่เนื่องจากระบอบที่มีอยู่มิใช่ระบอบประชาธิปไตยแต่เป็นระบอบเผด็จการ การใช้เสรีภาพจึงล้นขอบ ถ้าหากอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน การใช้เสรีภาพจะไม่เกินความพอดีขนาดนี้เนื่องจากมีระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแล้ว ดังนั้นวิกฤตประเทศไทยในครั้งนี้จึงเป็นวิกฤตปัญหา ระบอบ อย่างแท้จริง
เมื่อเห็นตรงกันว่าปัญหาที่เผชิญอยู่ในประเทศไทยขณะนี้คือปัญหา ระบอบ ไม่ใช่ปัญหา บุคคล ไม่ใช่ปัญหานายกอภิสิทธิ์พูดภาษาอังกฤษเก่งกว่าทักษิณ หรือนายกอภิสิทธิ์หนุ่มกว่า มีภูมิหลังที่สมบูรณ์กว่า ไม่ใช่การแก้ปัญหาด้วยการเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดระหว่างเหลืองหรือแดง แต่เป็นการชี้ให้เห็นหลักการแก้ปัญหาที่ เหตุ ของปัญหาเพื่อนำสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง การแก้ปัญหาครั้งนี้ ต้องแก้ที่ระบอบอย่างแท้จริง คือทำด้วยวิธีการใดๆก็ได้ให้เป็นประชาธิปไตยแบบที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนใหญ่ เพื่อยุติปัญหาการแย่งชิงอำนาจของคนสองกลุ่มลงให้สำเร็จ
นี่คือสิ่งที่ประชาชนคนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ ต่อแต่นี้ไป หากทุกฝ่ายยังร่ำร้องเรียกหาประชาธิปไตยกันอย่างไม่หยุดหย่อน ประชาชนจำเป็นต้องมีคัมภีร์ประชาชนเป็นหลักคิดเพื่อเสริมความรู้กันต่อไป
Red Shirt Rebel or Red Shirt Anarchist ?
โดยข้อเท็จจริงสถานการณ์ก่อนการปราบม็อบนั้นประเทศไทยตกอยู่สถานการณ์ เกียร์ว่าง ของสภาวการณ์ไร้การปกครอง เนื่องจากผู้ปกครองไม่สามารถปกครองได้และประชาชนไม่ยอมให้ปกครอง ซึ่งสะท้อนอยู่ในปรากฎการณ์ม็อบเสื้อแดงที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการใดๆได้ เท่ากับว่าเกิดสภาพ ไม่มีรัฐบาล ขึ้นจริง ดังนั้นไม่ว่าประชาชนจะดำเนินการอย่างไรก็จึงถือว่าไม่ผิด นี่คือลักษณะของอนาธิปไตยหรือ Anarchy หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีรัฐบาลที่ปกครองไม่ได้ ก็เหมือนไม่มีนั่นเอง
ดังนั้นรุ่งเช้าของวันที่ 13 เมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ไทย รัฐบาลได้ใช้มาตรการทางทหารปราบม็อบที่บริเวณแยกสามเหลี่ยมดินแดงเป็นจุดแรก กองเชียร์เสื้อเหลืองและฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ การก่อการสร้างความรุนแรง ของกลุ่มเสื้อแดง ต่างพอใจการปราบปรามและเห็นว่านี่คือความพ่ายแพ้ของเสื้อแดง แต่สำหรับนักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกลับเห็นตรงข้าม การมอบตัวของแกนนำวีระ มุสิกพงษ์ กำลังแสดง ภาวะผู้นำ ของเขา และการให้จับกุมคือมาตรการการรุกทางการเมืองวิธีการหนึ่งเพื่อ ปลุกม็อบแดง ให้ทั่วแผ่นดินเพื่อเป็นการรุกฆาตอีกครั้งนั่นเอง
นักวิเคราะห์ในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติแสดงความมั่นใจว่ากระแสการก่อการจะปรากฏหลังจากนี้ต่อไป และจะขยายผลจากในเมืองสู่นอกเมือง จากเมืองหลวงสู่ต่างจังหวัด จากก่อการเล็กๆสู่กองโจร เพิ่มดีกรีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ จากเสื้อแดงผู้จงรักภักดีเป็นกบฏแผ่นดินอย่างถาวร นักวิเคราะห์กล่าวว่าในแง่ของการลงทุนทักษิณได้กำไรเต็มที่จากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา เขาได้ใจคนที่รักและติดตามเขา และรู้ว่ากำลังมีมากเท่าไร พร้อมขยับสู้ได้ และได้กระชับการจัดตั้ง รวมศูนย์ใหม่ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะต้องเหนียวแน่นขึ้นอย่างเป็นไปเอง
ประเด็นสำคัญที่ต้องชี้ให้เห็นคือหากข้อกล่าวหาของเสื้อแดงหนักหนาสาหัสสากรรจ์ถึงขั้นเป็น กบฏ ก็จะทำให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรได้ประโยชน์ในการใช้กฎหมายลี้ภัยทางการเมืองอยู่ต่างประเทศต่อไป การต้องข้อหาทางการเมืองย่อมมีศักดิ์ศรีภาคภูมิกว่าการต้องข้อหา ปล้นแผ่นดิน เป็นแน่ เป็นผู้ลี้ภัยทางการเมืองย่อมสะดวกง่ายดายกว่าการตกเป็นผู้ ฉ้อราษฎร์บังหลวง ซึ่งเป็นเหตุผลเฉพาะหน้า การพาดหัวข่าวว่า กบฏแดง ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอย่างต่อเนื่องจึงเป็นสิ่งที่ฝ่ายแดงคาดหวังให้เกิด แกนนำจัดตั้งเสื้อแดงสามารถเปิดเกมใหม่จากจลาจลย่อยสู่สงครามกลางเมืองหรือสงครามกองโจรต่อไป และแน่นอนสีแดงของกองทัพแดง กำลังจะกลายเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เปิดฉากสงครามในขั้นตอนที่2ต่อไป อย่างไม่ต้องคาดเดา
เป็นไปตามคาด การขยายผลต่อเนื่องเกิดทันทีทันใด ในวันเดียวกัน จากการปิดถนนของกลุ่มแท็กซี่ และรถสามล้อเครื่อง จำนวน 200 คัน พร้อมการชุมนุมย่อยของคนอีกประมาณ 300 คน ที่เริ่มจุดประกายการยกระดับต่อด้วย การปฏิเสธทหารคล้ายคลึงกับสถานการณ์พฤษภาทมิฬ เกิดการกล่าวหา ทหารฆ่าประชาชน เนื่องจากทหารได้กลายเป็นตัวแทนอำนาจรัฐที่จะต้องทำตามหน้าที่รักษาความมั่นคงแห่งรัฐด้วยการออกมาห้ำหั่นกับ กองทัพแดง ต่อไป
แกนนำม็อบแดงประกาศว่าการถูกจับไม่ใช่การยอมแพ้ นี่ไม่ใช่การพ่ายแพ้ ขั้นตอนการต่อสู้ใหม่กำลังจะเกิดขึ้น และเป็นไปได้ว่าการต่อสู้แบบขบวนการใต้ดินในที่ลับกำลังจะถูกนำมาใช้สู่ขั้นตอนสงครามกลางเมืองใหม่
แก้ปัญหาที่ระบอบมิใช่ที่ภาพลักษณ์ผู้นำ
หลังการปราบม็อบนับแต่เช้าของวันที่13 จนถึงวันต่อมา ในช่วงบ่ายของวันที่ 14 รัฐบาลประชาธิปัตย์ ก็เร่งกู้ภาพลักษณ์นายกฯด้วยการออกโพลจากสถาบันการศึกษาหนึ่ง ชี้นำสังคมต่อว่าภาพลักษณ์นายกฯมิได้เสียหาย โดยมีสื่อช่วยกระจายข่าว แต่ข้อเท็จจริงคือประชาชนไม่ได้สนใจว่าภาพลักษณ์นายกฯจะดูน่าเชื่อถือหรือถูกทำลายไปแล้วกับเหตุการณ์ทั้งหมด แต่ประชาชนใส่ใจกับความเสียหายทั้งหมดที่ประเทศชาติได้รับมากกว่าการให้ความสนใจหน้าตานายกฯและความอับอายระดับโลกจากการยุติการประชุมอาเซียนที่ผ่านมา รัฐบาลควรออกมาแถลงการณ์เพื่อทำการปกป้องสถาบันฯเบื้องสูงว่าขณะนี้สถาบันฯทรงดำรงอยู่อย่างปลอดภัยและได้มีการถวายการอารักขาอย่างเข้มงวดมากกว่าการพูดถึงแต่ความปลอดภัยและภาพลักษณ์ของรัฐบาลเอง
สื่อมวลชนต่างพยายามสรรหา ผู้รู้ จากนักวิชาการหลายสายแสดงทัศนะ ซ้ำซาก วนเวียนกันว่าถ้าเช่นนั้นแล้วทางออกประเทศไทยอยู่ที่ไหน นักวิชาการเริ่มส่ายหัวกับข้อเสนอ ยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ พวกเขาเพิ่งเห็นชัดว่ายุบสภาเลือกตั้ง ปกครอง รัฐประหาร เลือกตั้ง ยุบสภา คือวงจรอุบาทว์ ครบวงจรหนึ่งครั้ง และไม่มีใครต้องการ การกระทำซ้ำ ในรอบที่นับไม่ถ้วนอีกต่อไป ทว่านักวิชาการในระบบก็ยังมิได้เสนออะไรใหม่อยู่นั่นเอง
มีเพียงขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเท่านั้นที่ได้ชี้ให้เห็นการแก้ปัญหาที่ระบอบ ซึ่งเป็นปัญหา
โครงสร้างอำนาจ มาโดยตลอด และชี้ให้เห็นว่าสืบเนื่องจากโครงสร้างอำนาจบิดเบือน จึงทำให้เกิดสภาวะอนาธิปไตย (Anarchy) ที่มิใช่ประชาธิปไตยและไม่ใช่ปัญหาตัวบุคคล ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติจึงได้เสนอทางออกอย่างต่อเนื่องเรื่อง รัฐบาลแห่งชาติ หรือ รัฐบาลเฉพาะกาล ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาระบอบ ผ่าน นโยบายแห่งชาติ 66/23 ซึ่งประกอบด้วย นโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้า เป็นมรรควิธี ใช้หลักการ การสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ตามหลักการประชาธิปไตย 5 หลักอย่างเป็นรูปธรรม
นโยบายเร่งด่วนเฉพาะหน้านั้นปรากฏอยู่ในนโยบาย 66/23 ซึ่งเป็นนโยบายปราบปรามคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างสันติวิธี หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่านโยบายปราบมิจฉาทิฎฐิ หรือนโยบายแห่งชาติที่ออกมาเฉพาะกาลแก้ปัญหาวิกฤต หรือนโยบายปฏิวัตินำสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงด้วยการเปลี่ยนระบอบปรับโครงสร้างอำนาจใหม่ หรือเป็นนโยบาย ปฏิวัติประชาธิปไตย ด้วยการถ่ายโอนอำนาจจากมือคนส่วนน้อยมาสู่คนส่วนใหญ่ของประเทศหรือที่เรียกว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน นั่นเอง
อย่างไรก็ดีในอดีตนักทฤษฎีประสบอุปสรรคสำคัญในการเสนอแนวทางเนื่องจากนักวิชาการสายรัฐศาสตร์
ในประเทศไทยอธิบายโต้แย้งว่า อำนาจอธิปไตยของปวงชนไม่มีอยู่จริง พวกเขาใช้การแก้ปัญหาด้วยการแก้กฎหมายในรัฐธรรมนูญแทน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเข้าใจผิดว่าระบอบที่มีอยู่เป็นระบอบประชาธิปไตย จนทำให้เกิดลัทธิบูชารัฐธรรมนูญขึ้นในประเทศไทย ที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่าปัญหาที่แท้จริงคือประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย มีแต่ระบอบเผด็จการสองรูประหว่างระบอบเผด็จการรัฐประหารของทหารและระบอบเผด็จการรัฐสภาของพลเรือนแต่เพียงเท่านั้น
การขุดหลุมฝังตัวเองของรัฐบาลประชาธิปัตย์
มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า การถ่ายทอดสด การบุกโรงแรมของกองทัพเสื้อแดง ต่อเนื่องยาวนานจนเกือบจะเหมือนการจัดฉาก ภาพการทำลายการประชุมสะท้อนว่า ประเทศชาติหมดสิ้นแล้วซึ่ง สถาบันชาติ จนไม่อาจไปยืนเคียงข้างชาติอื่นบนเวทีนานาชาติได้ กระนั้นประชาชนผู้รักชาติแสดงความเป็นห่วงชาติ จึงแสดงความเป็นห่วงรัฐบาลซึ่งเป็นตัวแทนชาติในการจัดประชุม แต่รัฐบาลมัวแต่ห่วงตัวรัฐบาลเองจึงไม่รักษาชาติ ด้วยการปล่อยให้เกิดฉากกองทัพแดงบุกโรงแรม ทำลายการประชุมอาเซียนลงท่ามกลางการรายงานข่าวไปทั่วโลก
เพราะสิ่งที่รัฐบาลต้องการก็คือทำให้สถานการณ์การบุกโรงแรมของม็อบเสื้อแดงกลายเป็นการสร้างความชอบธรรมให้รัฐบาลในทันทีที่ประชาชน เทใจให้ เพื่อดำเนินการปราบปรามม็อบแดงที่วางแผนไว้แต่แรกเท่านั้น !!
ภาพข่าวรุมทุบรถนายกอภิสิทธิ์ในวันที่11 เมษายนที่ชลบุรีคือการจัดฉากแรก ตามต่อด้วยฉากกระทรวงมหาดไทยทีหลัง การใช้รถเบ๊นซ์กันกระสุนเคลื่อนไปมาราวกับล่อกลุ่มเสื้อแดงเหมือนการต้อนเข้ามาเพื่อสร้างฉากการทุบทำลายรถ กระนั้นปรากฏการณ์เช่นนี้ก็ไม่สามารถตบตาสื่อมวลชนได้ ดังบทวิเคราะห์ในสกู๊ปหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ 16 เมษายนว่ากระทรวงมหาดไทยได้รับแจ้งก่อนหน้ากว่าหนึ่งชั่วโมงให้สื่อมวลชนรับทราบและเป็นระยะเวลาพอเพียงต่อการเตรียมการของเสื้อแดง ซึ่งนับว่า เป็นจุดล่อแหลม รอเป็นเป้านิ่ง ให้กับกลุ่มม็อบเสื้อแดงเสมือนว่าไม่เจตนา การสะท้อนของสื่อมวลชนที่อยู่ในเหตุการณ์ภาคสนามยืนยันว่าฉากทุบทำลายรถคือการจัดฉากครั้งสำคัญเพื่อนำสู่การปราบปรามด้วยอาวุธนั่นเอง หรือเป็นการวางกับดัก วางค่ายกลไว้เรียบร้อยแล้ว
การขุดหลุมฝังชาติของประชาธิปัตย์ยิ่งลงระดับลึกยิ่งขึ้น ทั้งๆที่ขบวนฯได้พยายามเสนอว่าการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธีนั้นรัฐบาลควรให้โอกาสการขยายเสรีภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ การประกาศพรก.ฉุกเฉินพร้อมกับการตัดสัญญาณดี สเตชั่นยิ่งก่อให้เกิดกระแสการต่อต้านยิ่งขึ้นไปอีก ไม่ต่างจากการเอาน้ำไปราดน้ำมันที่ไฟกำลังลุกโพลงให้โหมกระพือขึ้นอีก และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไปอย่างรวดเร็วหลังเหตุการณ์จลาจลย่อยรัฐบาลกลับไม่มีทีท่าว่ารัฐบาลจะแสดงจุดยืนปกป้องสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูน
เช้าของวันที่ 13 หลังการสลายม็อบในจุดแรก ก็เกิดการ รุกต่อสถาบันฯ ขึ้นในทันทีโดยนายสุชน ชาลีเครือ ที่ได้ทำการยื่นถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯเพื่อให้ทรงยุติความรุนแรงด้วยการแทรกแซงการทำงานทั้งๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ พร้อมกันนั้นทักษิณ ชินวัตรยังรุกต่อด้วยการให้ข่าวในต่างประเทศต่ออีกว่า สถาบันฯเท่านั้นที่จะยุติความรุนแรงได้ ซึ่งนับว่าเป็นการรุกให้สถาบันฯโดยตรงอย่างรวดเร็ว จะเห็นว่าไม่มีสื่อใดหยิบประเด็นการโจมตีพลเอกเปรมซึ่งเป็นมูลเหตุแรกมาวิเคราะห์ข่าวอีกต่อไป หน้าจอทีวีกลายเป็นพื้นที่แสดงวาทะของโฆษกรัฐบาลและโฆษกกองทัพบกชี้แจงข้อกล่าวหาที่เกิดจากม็อบเสื้อแดงตลอดทั้งวัน ไม่มีการแถลงการณ์ใดๆแสดงความสุจริตใจของรัฐบาลในการปกป้องราชบัลลังก์ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน รัฐบาลประชาธิปัตย์ได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าห่วงสถานภาพนายกฯมากกว่า สถาบันชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์
การปกป้องตัวเองด้วยการเลือกเสนอข้อมูลบางอย่าง กลบฝังขอมูลบางอย่าง สะท้อนความเป็นเผด็จการในวิธีคิดและการดำเนินการของพรรคเผด็จการรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย การขุดหลุมฝังตัวเองด้วยวิถีเผด็จการยังดำเนินต่อไป ลึกยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ในขณะเดียวกันการออกมาแถลงการณ์ข่าวต่อเนื่องของนายกรัฐมนตรีสลับกับรองนายกฝ่ายความมั่นคงไปจนถึงโฆษกรัฐบาลว่าเกิดการคลี่คลายความตึงเครียดลงได้แล้ว และรัฐกำลังจะนำประเทศสูภาวะปรกติได้ต่อแต่นี้ไปเป็นเพียงการเข้าใจเอาเองของรัฐ ข้อเท็จจริงคือรัฐยังจำเป็นต้องประกาศขยายวันหยุดเพิ่มต่ออีกสองวันคือวันที่ 16-17เมษายน สะท้อนภาพชัดเจนว่าเหตุการณ์ยังไม่ปรกติพอ และการประกาศสู้ไม่ถอยของกบฎแดงคือการเริ่มต้นขั้นตอนใหม่ของการประกาศสงครามขั้นต่อไปหลังสงกรานต์นั่นเอง
อาเพศนักวิชาการ
มีผู้กล่าวหาว่านักวิเคราะห์ในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติอธิบายเอนเอียงไปทางม็อบเสื้อแดงมากจนเกินไปในเรื่องการใช้เสรีภาพ ข้อเท็จจริงคือคำอธิบายของขบวนฯคือคำอธิบายตาม หลักการ หากแต่การนำไปพินิจพิจารณาพิเคราะห์ใคร่ครวญต่อการตัดสินใจของการเคลื่อนไหวของแต่ละกลุ่มนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของกลุ่มบุคคลนั้นๆ
การประเมินว่ากลุ่มคนเสื้อแดงที่เข้าร่วมกับการชุมนุมครั้งนี้เป็นกลุ่มคนจากต่างจังหวัดเข้าทำนองคนชนบทล้อมเมืองเพื่อโค่นล้มการปกครองที่ชนชั้นกลางและคนในเมืองหลวงสร้างขึ้นมานั้น เป็นการประเมินที่ผิดอย่างสิ้นเชิง การเข้าร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงนั้นมิได้มีเพียงมวลชนในชนบทเท่านั้นเนื่องจากการเข้าร่วมกระทำได้หลายวิธี การวิเคราะห์โดยดร.ชัยวัฒน์ สถาอานันท์นักสันติวิธีจากสถาบันพระปกเกล้าฯจึงเป็นการสะท้อนปรากฏการณ์ที่ผิดจากความเป็นจริง แท้จริงแล้วชนชั้นปัญญาชนเสื้อแดงที่ชื่นชมทักษิณ ชินวัตรและ ทักษิโณมิค นั้นมีอยู่จริง และคนกลุ่มนี้ก็จัดอยู่ในกลุ่มชนชั้นกลาง การวิเคราะห์ข่าวของนักสันติวิธีท่านนี้มีส่วนชี้นำสื่อต่างประเทศให้วิเคราะห์ข่าวออกมาคล้ายคลึงกันดังปรากฏอยู่ในบทวิเคราะห์ของสำนักข่าวเอเอฟพีเป็นต้น สิ่งที่ดร.ชัยวัฒน์สะท้อนนั้น เป็นเพียงปรากฏการณ์ ไม่ใช่ธาตุแท้ เป็นกรณีศึกษาอาเพศหนึ่งในสิบประการของสังคมไทยตรงที่นักวิชาการสะท้อนได้แค่ปรากฏการณ์ไม่สามารถสะท้อนธาตุแท้จริงของปรากฏการณ์ได้
แท้จริงแล้วทฤษฎีชนบทล้อมเมืองคือแนวคิดของการปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิสต์ ที่มุ่งปฏิวัติผ่านชนชั้นกรรมาชีพ ทว่าข้อเท็จจริงคือกรณีม็อบเสื้อแดงมิได้มีแค่ชนบทเท่านั้น แต่มีกลุ่มชนชั้นกลางที่ต้องการ ทักษิโณมิค อีกจำนวนมากในสังคม และที่สำคัญกลุ่มชนชั้นกลางที่เอาใจช่วยแต่ยังไม่ได้เข้าร่วมก็ยังมีอยู่จำนวนไม่น้อย พร้อมๆกับการสนับสนุนด้านอื่นๆ และเนื่องจากการสะท้อนของสื่อมวลชนเป็นการสะท้อนปรากฏการณ์ ศัพท์ที่ใช้จึงเป็นการสะท้อนแค่ปรากฏการณ์เช่น การจลาจล chaos กบฏเสื้อแดง red shirt rebel มีขบวนการประชาธิปไตยเท่านั้นเรียกคนกลุ่มนี้ว่า นักอนาธิปไตย หรือ Anarchist ใน สภาวะอนาธิปไตย หรือ Anarchy ซึ่งเป็นการสะท้อน ธาตุแท้ของปรากฏการณ์ ว่านี่คือปัญหาระบอบ ดังนั้นกลุ่มเสื้อแดงจึงมิได้กบฏต่อใครหรือราชบัลลังก์ตามที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการพยายามพาดหัวข่าว แต่เขาคือผู้ก่อการท่ามกลางสภาพไร้ประชาธิปไตยในประเทศไทย หรือที่เรียกว่าสภาวะอนาธิปไตยนั่นเอง
ทักษิณ ชินวัตรจึงมิได้เป็นหัวหน้ากบฏ เขาจึงไม่สามารถลี้ภัยทางการเมืองได้ และกลุ่มเสื้อแดงก็มิได้ก่อการกบฎแต่พวกเขาปฏิเสธการปกครองของรัฐบาลชุดปัจจุบัน คือปฏิเสธผู้ปกครอง พวกเขาผิดพลาดก็ตรงที่ พวกเขาไม่รู้ว่าเสรีภาพที่ใช้อยู่ขณะนี้คือ เสรีภาพของอนาธิปไตย ไม่ใช่ เสรีภาพของประชาธิปไตย พวกเขาจึงตกอยู่ในสถานการณ์ ยุให้รำ ทำผิดเพิ่มขึ้น โดยรัฐเผด็จการและถูกปราบปรามด้วยวิถีเผด็จการรุนแรงเช่นกัน
การหักล้าง
การโค่นล้มซึ่งกันและกัน ของสองขั้วอำนาจ เป็นการโค่นล้มของเผด็จการสองกลุ่มและเป็นการโค่นล้มที่นำสู่ความรุนแรง แต่การหักล้างทางความคิดเป็นหน้าที่ของขบวนการประชาธิปไตยและฝ่ายปฏิวัติสันติทั้งหมดต่อแนวทางรุนแรง การหักล้างด้วยวิธีคิดย่อมแตกต่างจากการโค่นล้ม ขบวนฯให้ ธรรมาวุธ ในการต่อสู้ของทุกฝ่าย คำอธิบายต่อปรากฏการณ์ในครั้งนี้จึงเปรียบเสมือนการชี้แจงข้อเท็จจริงเพื่อเอาภาพลวงตาออกไป ให้ถ่องแท้ในความจริงหลายระดับ (อ่านเพิ่มเติมบทความ......) การหักล้างทางความคิดเห็นมิใช่การถือหางเข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด การหักล้างทางความคิดคืองานวิชาการที่ต้องสะท้อนภาพความสัมพันธ์ภายในให้ปรากฏต่อสายตาประชาชน และการหักล้างที่สำคัญที่สุดคือ การสะท้อนความจริงทุกระดับในเบื้องต้นด้วยการสะท้อนธาตุแท้ของแต่ละปรากฏการณ์
ขบวนปฏิวัติสันติยื่นข้อเสนอให้ใช้สันติวิธีในการจัดการม็อบเสื้อแดง มีรูปธรรมคือให้ขยายเสรีภาพทางการเมือง แต่การแก้ปัญหาทางการเมืองของรัฐบาลอภิสิทธิ์มิได้เป็นเช่นนั้น การใช้กำลังทหารติดอาวุธสะท้อนวิธีคิดว่า รัฐบาลไม่ประสงค์จะใช้แนวทางสันติ แต่ต้องการใช้อาวุธปราบปรามแทน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะอ้างว่านั่นคือมาตรการทางกฎหมายก็ตาม
อาวุธคือสัญลักษณ์ของความรุนแรง การใช้อาวุธ ไม่ว่าจะยิงขึ้นฟ้า หรือยิงพื้นที่ราบ คือการใช้ความรุนแรงทั้งสิ้น สมาน ศรีงาม เลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกล่าว
การแก้ปัญหาประเทศชาติด้วยวิธีรุนแรงคือการพังสลาย การแก้ปัญหาประเทศไทยต้องใช้สันติวิธีเท่านั้น สมาน ศรีงามกล่าวว่าในอดีตนโยบาย 66/23 ใช้วิธีการเจรจาและยุติการใช้อาวุธอย่างสิ้นเชิง ไม่กระทำการแม้แต่จะนำอาวุธมาเพื่อข่มขู่ให้เกิดความกลัว นักวิเคราะห์ในขบวนฯแสดงทัศนะว่าการใช้เสียงศาสตราวุธข่มขู่ ไม่ใช่วิธีการปราบม็อบแต่กลับเป็นการปลุกม็อบมากกว่า และมีท่าทีไม่ต่างจากการถือแส้ฟาดลงบนพื้นก่อนลงมือหวดให้เจ็บนั่นเอง
การสัประยุทธ์ในครั้งนี้ มีแกนนำม็อบเป็นนายทุนใหญ่ มีชัยชนะเป็นเดิมพัน มีมวลชนจัดตั้งฝ่ายซ้ายรากหญ้ารวมอยู่ในหลายจัดตั้ง ในทันทีที่รัฐบาลทำการปราบปรามรัฐบาลก็ได้กลายเป็นทรราชย์ปราบประชาชนในทันทีเช่นกัน เส้นแบ่งระหว่างรัฐบาลทรราชย์และรัฐบาลปรกติการมีเพียงเบาบาง หากพิสูจน์ได้ว่ารัฐมีส่วนในการกระทำให้เกิดการตายของประชาชนคนไทยแม้เพียงคนเดียว นายกฯอภิสิทธิ์ก็ได้ถือว่าเป็นนายกมือเปื้อนเลือดไปเรียบร้อยแล้ว การพาดหัวข่าวสะใจต้องอารมณ์ของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการว่าแกนนำที่มอบตัวกลายเป็นกบฎในฐานะนักโทษการเมืองนั้นไม่ถือว่าถูกต้องเสียทีเดียว เรื่องนี้นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแสดงทัศนะว่า
ในระบอบประชาธิปไตยไม่มีนักโทษ นักโทษการเมืองคือสัญลักษณ์ของระบอบการเมืองเผด็จการเพราะนักโทษการเมืองคือคู่ต่อสู้กับผู้ใช้อำนาจของระบอบนั้น
ในข้อเท็จจริงคือประชาชนต้องการเสรีภาพ ต้องการการเปลี่ยนแปลง โดยมีรูปธรรมคือการที่ประชาชนได้ทำตามความต้องการของประชาชนเอง โดยมีประชาชนเป็นผู้ผลักดัน มีผู้แทนของประชาชน ใช้หลักการของประชาชน ประชาชนจึงต้องพึ่งตัวเอง เรียกร้องการปฏิวัติ เนื่องจากประชาชนไม่มีอำนาจ อำนาจรัฐอยู่ที่รัฐ วิธีแก้ปัญหาที่ถูกต้องของการเปลี่ยนแปลงระบอบจึงอยู่ที่ การถ่ายโอนอำนาจ ถ้าสามารถโอนอำนาจอธิปไตยจากสภาปัจจุบันมาสู่สภาที่ประกอบด้วยตัวแทนของประชาชน มีองค์การประชาชนรองรับ ก็จะเกิดขั้นตอนใหม่ ที่ประชาชนปกครองตนเอง ม็อบเสื้อแดงก็จะหลุดพ้นไปจากสภาพเสรีภาพเกินอธิปไตยในระบอบเผด็จการ ไปสู่เสรีภาพของบุคคลบริบูรณ์ภายใต้อำนาจอธิปไตยของปวงชน ตามหลักการประชาธิปไตย 5 อย่างที่ถ่วงดุล ค้ำกันเอาไว้นั่นเอง
ดุลยภาพของเสรีภาพกับอำนาจอธิปไตยในระบอบประชาธิปไตย
การปกครองคือการใช้อำนาจรัฐ และอำนาจรัฐคือ อำนาจอธิปไตย แต่เนื่องจากระบอบที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นระบอบเผด็จการรัฐสภาที่อำนาจอธิปไตยเป็นของคนส่วนน้อย การดำรงอยู่ของอำนาจของคนส่วนน้อยในรอบ 76 ปีกำลังถึงการเสื่อมอย่างถึงที่สุด อุปมาดั่งรถยนต์เก่าที่เครื่องยนต์ไร้ประสิทธิภาพ และรัฐบาลอภิสิทธิ์เข้ามาใช้อำนาจนี้ตอนที่เสื่อมแล้ว ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงไม่สามารถจัดการกับม็อบนี้ได้ สะท้อนว่ารัฐบาลอ่อนแอไม่สามารถปกครองได้แล้ว เท่ากับว่ามีรัฐบาลก็เหมือนไม่มี หรืออีกนัยหนึ่งคือสภาวะอนาธิปไตยหรือAnarchy ที่แปลว่าความไม่มีรัฐบาลนั่นเอง
ตัวอย่างสภาวะอนาธิปไตยที่เห็นได้ชัด เช่นช่วงเปลี่ยนผ่านอำนาจระยะก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง หรือช่วง14 ตุลาที่จอมพลถนอมหนีออกไปนอกประเทศ จนทำให้การปกครองขาดช่วง
นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกล่าวว่าสถานการณ์ของประเทศไทยในช่วงก่อนการปราบม็อบก็มีลักษณะเป็นอนาธิปไตยเช่นกัน เพราะรัฐบาลมิได้ดำเนินการใดๆกับปรากฏการณ์ม็อบ ด้วยการ ใส่เกียร์ว่าง นิ่งดูดาย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเหตุว่า การเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างด้านบนคือชนชั้นปกครองไม่สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงกับโครงสร้างด้านล่างของผู้ถูกปกครอง จึงเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรง เมื่อประชาชนก้าวหน้าขึ้นกว่าเดิม ตามสังคมสื่อสารที่พัฒนาไม่หยุดยั้งไปตามระบบเศรษฐกิจทุนนิยมเสรีแบบใหม่ การเรียกร้องสู่การเปลี่ยนแปลงจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นไปเอง ไม่ต่างจากการปกครองเด็กต่างวัยที่ย่อมต้องให้เสรีภาพที่ต่างกัน การให้เสรีภาพเด็กเล็กกับเด็กโต ย่อมมีเงื่อนไขต่างกันตามสภาพการเจริญเติบโตของเด็ก
ดังที่กล่าวมาในตอนต้นของบทความว่าเรื่องลักษณะการใช้เสรีภาพบุคคลทางการเมืองมีความสัมพันธ์
กับ ระบอบ โดยตรง ในระบอบที่ต่างกัน การใช้เสรีภาพย่อมต่างกัน การใช้เสรีภาพทางการเมืองเป็นสมการผกผันกับการใช้อำนาจรัฐผ่านการใช้มาตรการทางกฎหมาย การที่ผู้กุมอำนาจรัฐให้เสรีภาพบุคคล พอประมาณ คือการให้อำนาจอธิปไตยจากรัฐกลับคืนสู่มวลชนระดับหนึ่ง หากปิดกั้นโอกาส โดยใช้วิธีการที่เรียกกันในภาษาของกลุ่มคนใส่สูทว่า มาตรการทางกฎหมาย มาบังคับใช้ ในบางสถานการณ์ก็เท่ากับเป็นเผด็จการลักษณะหนึ่ง เผด็จการแบบเบาๆก็ให้แสดงออกระดับหนึ่งเผด็จการอย่างหนักแบบฟาสซิสต์ก็ตัดสิทธิ์การแสดงออก หากไม่เชื่อฟังก็จับกุมคุมขัง โดยไม่ต้องไต่สวน เป็นต้น
การขยายเสรีภาพบุคคลทางการเมืองจึงเป็นการขยายอำนาจอธิปไตยไปด้วย ถ้าหากอำนาจยังถูกจำกัดอยู่ในมือคนส่วนน้อย การขยายเสรีภาพย่อมเป็นไปไม่ได้ สภาพที่ปรากฏคือรัฐบาลปัจจุบันมีอำนาจอธิปไตยที่อ่อนแอเพราะความเสื่อมตามกาลเวลา มิใช่อำนาจเบ็ดเสร็จที่เคยมี ดังจะเห็นได้จากการขึ้นสู่การบริหารของรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ต้องแลกกับการเข้าร่วมใช้อำนาจกับเนวิน ชิดชอบ สะท้อนว่าอำนาจในมือคนส่วนน้อยครั้งนี้อ่อนแอและอยู่ในสภาพคลอนแคลนอย่างยิ่ง
เมื่อถึงกาลเสื่อม สัจธรรมก็ปรากฏ เพราะสรรพสิ่งย่อมโน้มหาสัจธรรม แต่ผู้ปกครองกลับอยู่ห่างสัจธรรมไม่เข้าใจว่าระบอบที่มีอยู่เสื่อมโทรมลงเต็มที ผู้ปกครองไม่รู้เรื่องการสร้างประชาธิปไตยเหมือนกัน จึงใช้วิธีการเดิม ส่วนประชาชนเองด้วยความไม่รู้ก็ใช้เสรีภาพแบบเดิม แต่ในสภาพความเป็นจริงโครงสร้างอำนาจประชาชนเพิ่มขึ้นเพราะเกิดจากอำนาจการต่อรองที่มีมากขึ้นซึ่งสะสมเพิ่มพูนขึ้นจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองริมถนน พัฒนาการของขบวนการประชาชนเข้มแข็งจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง นักทฤษฎีของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติชี้ให้เห็นว่าการออกมาต่อสู้ริมถนนเป็นการ exercise เสรีภาพของบุคคลทางการเมืองเพื่อนำมาสู่การใช้อำนาจอธิปไตยที่อยู่ในมือรัฐนั่นเอง
การต่อสู้ของประชาชนจึงเป็นการสู้กับระบอบเผด็จการ และโดยข้อเท็จจริงผู้ปกครองในระบอบเผด็จการเก่าคร่ำคร่าจึงเปรียบเสมือนรถที่ไม่สามารถเร่งเครื่องได้อย่างมีประสิทธิภาพทำให้ประชาชนลงมือขับไล่ระบอบเผด็จการทักษิณลง เพราะไม่สอดคล้องกับสภาวะความต้องการของประเทศชาติ รัฐบาลประชาธิปัตย์เองเมื่อขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้พยายามใช้อำนาจรัฐเพื่อจัดการกับม็อบเสื้อแดงก็ไม่สามารถใช้อำนาจผ่านกฎหมายในสภาพปรกติ จึงต้องไปใช้เครื่องมือใหม่คืออำนาจพิเศษแทน นั่นก็คือพรก.ฉุกเฉินนั่นเอง
พรก.ฉุกเฉินสะท้อนว่ารัฐบาลปกครองไม่ได้ เพราะพรก.นั้นสามารถดำเนินการลัดขั้นตอนโดยไม่ต้องผ่านอำนาจศาล จึงต้องใช้พรก.ฉุกเฉินแทนอำนาจปรกติ เปรียบเสมือนรัฐบาลได้ใช้อำนาจพิเศษแทนอำนาจปรกติหรืออาจกล่าวได้ว่ามีอาวุธพิเศษที่ให้อำนาจมากกว่าเดิมในการจัดการ สามารถสั่งตรงเพื่อจัดการกับม็อบได้ทันท่วงที
และนี่คือปรากฏการณ์ใหม่ของการใช้อำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยมาทำลายเสรีภาพบุคคลของคนทั้งแผ่นดิน จึงได้มีกลุ่มเรียกร้องรัฐบาลอภิสิทธิ์ยกเลิกพรก.นี้เสีย แต่ก็กลับพบว่ารัฐบาลไม่ยินยอมเลิก และมีแนวโน้มว่าจะเริ่มเผด็จการหนักขึ้น สะท้อนให้เห็นว่ารัฐอ่อนแอถึงขนาดว่าถ้าไม่มีพรก.ฉุกเฉินให้อำนาจพิเศษรัฐบาลนี้จะดำรงอยู่ไม่ได้ อุปมาดั่งรถเก่าไร้ประสิทธิภาพ ที่ต้องใช้กำลังเสริมเพิ่มขึ้น เมื่อสวมใส่อุปกรณ์พิเศษให้ทรงพลังแล้วกลับถอดออกไม่ได้ อำนาจแบบนี้จึงยังดำรงอยู่ต่อไป
วิธีการเดียวที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือการโอนอำนาจจากคนส่วนน้อยไปสู่คนส่วนมากผ่านสภาของประชาชนส่วนใหญ่หรือ สภาปวงชน ในอดีตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7
หากเปลี่ยนถ่ายโอนอำนาจสำเร็จ ก็เท่ากับว่าได้เปลี่ยนระบอบแล้ว คือเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยของคนส่วนน้อยมาสู่อำนาจอธิปไตยของคนส่วนใหญ่ สภาดังกล่าวจึงมีลักษณะไม่ต่างจาก สภาปฏิวัติ หรือกล่าวจนถึงที่สุดคือ สภาปฏิวัติคือรูปธรรมของอำนาจอธิปไตยของปวงชน นั่นเอง !!
(อ่านต่อตอนหน้า)
|