Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
ธรรมะประชาธิปไตย "กงล้อแห่งธรรมแก้กงกำการเมือง"
พระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร
ผู้อำนวยการสถาบันธรรมะประชาธิปไตย
สำนักสื่อปฏิวัติ : Revolutionary Press Agency (RPA)
๒๗ ก.ย.๒๕๕๒
  
 
  
บทที่๓
พระสงฆ์ในบทบาทผู้นำสันติวิธีสู่การสร้างประชาธิปไตย
 
  
  
               อ้างปรารภเหตุจากการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่วันที่ ๘ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ จนถึงวันที่ ๑๕ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒ ณ บริเวณรอบทำเนียบรัฐบาล ได้มีสื่อมวลชนลงตีพิมพ์ภาพข่าวว่ามีพระภิกษุสงฆ์เข้าร่วมการชุมนุมประมาณ ๑๐ รูป และมีการขึ้นปราศรัยบนเวทีการชุมนุมโดยภิกษุสงฆ์บางรูป อีกทั้งมีข่าวออกมาว่าพระภิกษุสงฆ์บางรูปไล่ทุบรถในกระทรวงมหาดไทยด้วยและพระเดินถือป้ายเรียกร้อง “ประชาธิปไตย Democracy“ ดังเช่น หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์เอ็กไซท์ฉบับวันที่ ๑๕-๑๖ เมษายน ๒๕๕๒ พาดหัวว่า “เสื่อม! พระนำม็อบ สำนักพุทธขอหลักฐานเสนอต้นสังกัดดำเนินการเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง กรณีพระบางรูปเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดง ถึงขั้นไล่ทุบรถในกระทรวงมหาดไทย...” และเป็นเหตุให้ฝ่ายผู้บริหารระบอบเผด็จการรัฐฉวยโอกาสเสนอให้มีการแก้ไข พระราชบัญญัติคณะสงฆ์มาตรา ๒๙ โดยให้อำนาจกับผู้อำนวยการเขตและนายอำเภอสามารถจับสึกพระสงฆ์ที่กระทำผิดในคดีอาญาได้โดยไม่ผ่านการพิจารณาตามหลักนิติธรรมของ ๓ ศาลและการพิจารณาการลงโทษตามพระวินัยของพระพุทธศาสนา

               ข้อเท็จจริงตามหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันที่ ๑๓ เมษายน ว่า “คณะสงฆ์สวดให้พรที่ชุมนุม...เมื่อ ๑๗.๐๐ น.ของวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๒ ได้มีคณะสงฆ์จำนวน ๕๐ รูป เดินทางมาประกอบพิธีสงฆ์สวดอิติปิโส ๙ จบ เพื่อเตือนสติกำลังทหารตำรวจที่บริเวณทำเนียบรัฐบาล จากนั้นได้สวดชัยมงคลคาถา และ ประพรมน้ำมนต์ให้แกนนำและผู้ชุมนุม รวมทั้งได้มีการอัญเชิญรูปหล่อสมเด็จพระนเรศวรหลั่งน้ำทักษิโณทกรุ่นกู้ชาติกู้แผ่นดินขึ้นประดิษฐานบนเวทีปราศรัย”

               และตามหนังสือพิมพ์ไทยรัฐฉบับวันที่ ๑๔ เมษายนว่า “ มส.ขอปิดปากพระร่วมม็อบ...ส่วนกรณีที่มีพระสงฆ์ซึ่งไปร่วมชุมนุมกับกุ่มคนเสื้อแดง กระทรวงมหาดไทย และวิ่งไปทุบรถคณะติดตามนายกรัฐมนตรี รวมถึงกรณีมีพระสงฆ์กลุ่มหนึ่งไปขึ้นเวทีของกลุ่มคนเสื้อแดงที่บริเวณทำเนียบรัฐบาลนั้น พระธรรมกิตติเมธี โฆษกมหาเถรสมาคมกล่าวไม่ขอแสดงความคิดเห็นในตอนนี้ เพราะขณะนี้สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงกำลังรุนแรงขึ้น หากพูดอะไรออกไปเกรงว่าจะไปทำให้สถานการณ์แย่ลงได้ ส่วนนายอำนาจ บัวศิริ ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม ม.ส. กล่าวว่า พระที่ไปทุบรถไม่แน่ใจว่าจะเป็นพระจริงหรือไม่ อาจเป็นคนที่เข้าร่วมชุมนุมแล้วแต่งกายเป็นพระ เพื่อต้องการสร้างสถานการณ์ให้เห็นว่าการชุมนุมครั้งนี้มีพระสงฆ์เข้าร่วมด้วยก็ได้ อย่างไรก็ตาม ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา สำนักเลขาฯ มหาเถรสมาคมคงจะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบในขณะนี้ลำบาก คงต้องรอให้สถานการณ์การชุมนุมคลี่คลายลงก่อน ส่วนกรณีที่มีพระขึ้นเวทีของกลุ่มคนเสื้อแดงนั้น เท่าที่เห็นมีการประพรมน้ำมนต์ ซึ่งคงจะเป็นการนิมนต์ไปเพื่อสร้างขวัญกำลังใจมากกว่า...”

               ตามข้อเท็จจริงดังกล่าว สภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ รัฐสภาวนาราม สถาบันธรรมะประชาธิปไตย ขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ จึงขอเสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังต่อไปนี้

              ๑. ม็อบกับพระ เป็นปรากฏการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นานมานี้ ในอดีตประเทศไทยไม่มีม็อบ และต่อมามีม็อบแต่ไม่มีพระ แต่ปัจจุบันมีม็อบต้องมีพระ ปรากฏการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และเกิดจากอะไร?
 
              ม็อบ หรือการชุมนุมใหญ่ เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ และเกิดจากระบอบเผด็จการเท่านั้น ถ้ามีระบอบประชาธิปไตยก็จะไม่มีม็อบ ดังนั้น ม็อบจึงเป็นปรากฏการณ์ของระบอบเผด็จการอันเป็นธาตุแท้ ระบอบเผด็จการจะทำให้เกิดการจำกัดตัดสิทธิลิดรอนเสรีภาพทางความคิดและเสรีภาพทางการเมือง จึงเกิดความไม่พอใจ เกิดการต่อสู้เพื่อเสรีภาพ ความเสมอภาค หลักนิติธรรมและการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยบริสุทธิ์ยุติธรรมและเรียกร้องระบอบประชาธิปไตย คือ อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน เกิดการขูดรีดเอารัดเอาเปรียบทางเศรษฐกิจจนเกิดความยากจน เป็นหนี้สินเดือดร้อนอดอยาก จึงเกิดการต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาความยากจน เกิดการมอมเมาทางวัฒนธรรมที่ต่ำทรามและเกิดความเน่าเฟะวิปริตของสังคม ศาสนาพุทธถูกบดบังและกลบฝังมิให้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องเผยโฉมออกมาให้เต็มดวงได้ จึงเกิดการต่อสู้รวมตัวกันของประชนชนในรูปของ “ม็อบ” (Mob) หรือฝูงชนที่มีการปลุกเร้าอารมณ์ร่วมเข้ามาต่อสู้เรียกร้องกับรัฐบาล ให้แก้ปัญหาดังกล่าวแต่แก้ปัญหาไม่ได้ จึงทำการขับไล่รัฐบาล พระภิกษุสงฆ์ซึ่งได้รับผลกระทบและพระภิกษุก็มีเมตตาช่วยเหลือประชาชนที่มีความสัมพันธ์ทางสังคมตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา พระภิกษุจึงลุกขึ้นมาช่วยญาติโยมเข้าร่วมกับม็อบอย่างบริสุทธิ์ใจและปรารถนาดียิ่ง ซึ่งจะเหมือนกับเงื่อนไขที่ทำให้เกิดนิกายมหายานในประเทศที่ปัญหาสังคมหรือปัญหาประชาชนยังแก้ไม่ตก พระจึงต้องประยุกต์ศาสนาพุทธให้สอดคล้องกับเงื่อนไขของสังคมและเงื่อนไขของประชาชน จึงเข้าช่วยประชาชนให้แก้ปัญหาทางสังคมให้ได้เสียก่อนแล้วจึงปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นของตนเองต่อไป ดังนั้น นิกายมหายานจึงมีลักษณะช่วยเหลือสังคมหรือเข้ากับสังคมมาก  (Socialized) แต่แตกต่างกับนิกายเถรวาทหรือหินยานที่นำเอาพระพุทธศาสนาจากชมพูทวีปไปเผยแผ่ให้แก่ประเทศที่แก้ปัญหาสังคมหรือปัญหาประชาชนดีแล้ว พร้อมจะสนับสนุนเกื้อกูลอุปัฏฐากพระเจ้าพระสงฆ์ให้ปฏิบัติเพื่อบรรลุนิพพานได้อย่างไม่มีปัญหาสังคมกีดขวาง ซึ่งนิกายเถรวาทก็สอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศที่แก้ปัญหาสังคมตกไปแล้ว เพราะพระกับประชาชนมีความสัมพันธ์กันแบบ “เป็นเงื่อนไขซึ่งกันและกัน” ไม่อาจจะเป็นเอกเทศจากกันได้ ตามสัมพันธภาพแบบพุทธะที่พระพุทธเจ้ากำหนดไว้อย่างดีที่สุดแล้ว

              ดังนั้น เมื่อประชาชนเดือดร้อนทั้งด้านการเมือง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคมวัฒนธรรม พระภิกษุที่มีความสัมพันธ์กับประชาชนจึงเข้าช่วยเหลือประชาชน แต่เนี่องจากพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นนิกายหินยาน(เถรวาท) ซึ่งสอดคล้องอย่างที่สุดกับลักษณะสังคมไทยในอดีตที่อุดมสมบูรณ์ วิธีคิดของพระและประชาชนโดยเฉพาะผู้ปกครองจึงเป็นแบบไม่ต้องเกี่ยวข้องหรือช่วยเหลือประชาชนด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม-วัฒนธรรมมุ่งนิพพานประการเดียว จึงไม่คุ้นชินกับการเกี่ยวข้องและช่วยเหลือประชาชน ยังคงใช้วิธีคิดเดิมแม้เงื่อนไขหรือบริบทสังคมจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากมายก็ตาม จึงมุ่งนิพพานอย่างเดียวไม่เกี่ยวกับการเมืองหรือสังคมซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่เมื่อประชาชนและสังคมมีปัญหาจึงไม่สามารถปฏิบัติศีลธรรมตามหลักของพระพุทธศาสนาได้ อีกทั้งพระภิกษุก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาของประชาชนและปัญหาของสังคมที่เน่าเฟะ ดังเช่น สถานการณ์ปัจจุบันซึ่งจะโทษพระสงฆ์ไม่ได้ จะต้องโทษสังคมหรือระบอบเผด็จการ ยกตัวอย่างที่โทษผิด คือ รัฐบาลอภิสิทธิ์กำลังจะแก้พ.ร.บ.คณะสงฆ์เพื่อเพิ่มอำนาจให้แก่ ผู้อำนวยการเขตหรือนายอำเภอให้มีอำนาจลงโทษจับสึกพระสงฆ์ได้เป็นอาทิ

             ประชาชนในรูปของม็อบ ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อแก้ปัญหาอย่างไม่มีวิชชา คือไม่มีความรู้ว่า “ปัญหาของประชาชน เช่น การกดขี่เสรีภาพ ความยากจน การมอมเมาด้วยวัฒนธรรมต่ำทรามและการครอบงำด้วยสังคมที่เน่าเฟะเกิดจากระบอบเผด็จการ” แต่เข้าใจง่ายๆ ตามที่มองเห็นธรรมดาคือ เข้าใจว่ารัฐบาลหรือบุคคลหรือนายกรัฐมนตรีคือปัญหาจึงลุกขึ้นมาขับไล่รัฐบาลหรือเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี จึงเกิดม็อบต่อสู้ขับไล่รัฐบาล พระภิกษุก็เห็นใจประชาชนเข้าช่วยประชาชน ซึ่งพระก็ไม่มีวิชาทางการเมือง เพราะถูกระบอบเผด็จการกดขี่กีดกันพระไม่ให้ศึกษาวิชาการเมืองหรือวิชาประชาธิปไตย จึงเกิดปรากฏการณ์ม็อบกับพระขึ้น

             การต่อสู้เป็นม็อบขับไล่รัฐบาลนั้นไม่สามารถจะแก้ปัญหาได้เพราะไม่มีความรู้ประชาธิปไตย พระก็ช่วยม็อบด้วยความเมตตาและเจตนาดี จึงไม่มีความผิดตามพุทธพจน์ว่า “เจตนาหํ ภิกขเวกมฺมํ วทามิ”  แปลว่า “กรรมชี้เจตนา” แต่ถ้าม็อบมีความรู้ประชาธิปไตยไม่ขับไล่รัฐบาลแต่หันมาเปลี่ยนระบอบจากระบอบเผด็จการ รัฐสภามาเป็นระบอบประชาธิปไตย ม็อบก็จะยกระดับเป็น “มวลชนประชาธิปไตย” (แม็ส-Mass) เข้าผลักดันช่วยเหลือรัฐบาลสร้างประชาธิปไตยแก้ไขปัญหาชาติพระภิกษุช่วยโปรดนักการเมืองให้ละกิเลสตัณหาและให้ความรู้ประชาธิปไตยแก่นักการเมืองก็จะทำให้นักการเมืองสร้างประชาธิปไตยแก้ปัญหาชาติและประชาชนได้สำเร็จ คือ ประชาชนก็ไม่ต้องไปทำม็อบอีกต่อไป และพระภิกษุก็ไม่ต้องเข้าไปช่วยม็อบอีกต่อไป

              ๒. พระกับนักการเมือง

             พระภิกษุไทยนิกายเถรวาทหรือหินยานซึ่งเหมาะสมสอดคล้องอย่างยิ่งกับประเทศไทยที่เป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ในน้ำมีปลานามีข้าว มีพระมหากษัตริย์ที่ดียิ่ง จึงทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองที่สุด สามารถรักษาแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาไว้ได้ตลอดมา  แต่เมื่อเกิดปัญหาสังคมที่วิกฤตแก้ไม่ตกในปัจจุบัน ก็ไม่ต้องเปลี่ยนจากนิกายเถรวาทไปเป็นนิกายมหายาน เพียงแต่พระภิกษุไทยนิกายเถรวาทยึดถือตามอุดมการของพระพุทธศาสนาคือ “จรถ ภิกขเว จาริกํ จรมโน พหุชนหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกมฺปายะ – ภิกษุทั้งหลายจงจาริกไปเพื่อประโยชน์แห่งมหาชน เพื่อความสุขแห่งมหาชนและเพื่ออนุเคราะห์โลก” จึงประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองเพื่อช่วยประชาชนและประเทศชาติ คือนำเอาอริยสัจ ๔ มาประสานเข้ากับสถานการณ์ของประชาชน (ความยากจน) คือ...

  ทุกข์   คือ  ความยากจนของประชาชน
  สมุทัย  คือ   ตัณหาของนักการเมือง
  นิโรธ  คือ   ละตัณหา วางตัณหา พ้นตัณหา ไม่อาลัยในตัณหาของนักการเมือง
  มรรค  คือ  เห็นถูก คิดถูก พูดถูก ทำถูก เลี้ยงชีพถูก เพียรถูก สติถูก สมาธิถูก
 

             เมื่อประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองดังกล่าวข้างต้นนี้แล้ว จะเห็นว่าความยากจนของประชาชนเกิดจากตัณหาของนักการเมือง เพราะนักการเมืองมีตัณหามากรักษาระบอบเผด็จการรัฐสภาไว้เพื่อรักษาอำนาจอธิปไตยไว้ในกำมือและรักษาผลประโยชน์ให้ตนเองแต่ถ่ายเดี่ยว  คือเห็นแก่ตัวไม่เห็นแก่ส่วนรวม อันเป็นจุดยืนเห็นแก่ตัว ไม่มีจุดยืนเห็นแก่ผลประโยชน์ส่วนรวมหรือบรรลุโมกษธรรมเป็นอริยบุคคลระดับใดระดับหนึ่ง เช่น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี เป็นต้น นักการเมืองมีตัณหามากจึงบริหารระบอบเผด็จการรัฐสภา หรือ ปกครองประเทศด้วยระบอบนี้จึงเกิดความอดอยากยากจนต่อประชาชนคนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่กลับสร้างความร่ำรวยให้แก่คนส่วนน้อยที่ถืออำนาจอยู่โดยนักการเมืองมีความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิว่า “ระบอบเผด็จการรัฐสภาเป็นระบอบประชาธิปไตย” ถ้านักการเมืองปฏิบัติโมกษธรรม ละตัณหา วางตัณหา พ้นตัณหา ไม่อาลัยในตัณหาตามมรรคมีองค์ ๘ แล้ว ละลดความทะยานอยากต่ออำนาจและผลประโยชน์ อัตตา ตัวตน เบาบางลง จะเกิดปัญญามองเห็นความจริงโดยความช่วยเหลือของพระภิกษุว่าระบอบปัจจุบันคือระบอบเผด็จการซึ่งถ้านักการเมืองใช้ปกครองประเทศที่ทำให้ประชาชนยากจนและเป็นต้นเหตุของปัญหาชาติต่างๆ แล้วรู้ว่าระบอบประชาธิปไตยจะทำให้เกิดความมั่งคั่งแห่งชาติ (Nation Wealth) ที่จะทำให้ประชาชนมีความอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งร่ำรวยตามไปด้วย เกิดความเจริญรุ่งเรืองแก่ประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนอย่างยั่งยืนตลอดไป เมื่อนักการเมืองละตัณหาและรู้ประชาธิปไตยโดยความช่วยเหลือของพระภิกษุแล้ว ก็จะลงมือใช้อำนาจรัฐสร้างประชาธิปไตย คือ ยกเลิกระบอบเผด็จการรัฐสภา สถาปนาระบอบประชาธิปไตย จะแก้ปัญหาชาติและประชาชนได้ในท้ายที่สุด

              นี่คือบทบาทของพระภิกษุที่ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาโดยนำเอาโมกษธรรมมาประสานเข้ากับการเมืองคือ นำเอาอริยสัจ ๔ มาประสานเข้ากับสถานการณ์ของประชาชนคือความทุกข์ยากอดอยากยากจน เพื่อช่วยเหลือประชาชนประเทศชาติตามอุดมการของพระพุทธศาสนาตามบทบาทของพระภิกษุที่ถูกต้องในนิกายเถรวาท คือ

  ๒.๑ พระภิกษุปฏิบัติให้เข้าถึงโมกษธรรมสักระดับหนึ่ง และเรียนรู้ประชาธิปไตยตามแนวทางประชาธิปไตย ของพระมหากษัตริย์ รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗
  ๒.๒ พระภิกษุช่วยนักการเมืองให้ปฏิบัติโมกษธรรมละตัณหาตามมรรคมีองค์ ๘ ประการ
  ๒.๓ พระภิกษุช่วยให้ความรู้ประชาธิปไตยแก่นักการเมืองที่ละตัณหาปัญญาระดับหนึ่งแล้ว
             นี่คือบทบาทของพระภิกษุสงฆ์ตามนิกายเถรวาทของพระพุทธศาสนา เพราะพระภิกษุต้องเข้าถึงโมกษธรรมและประชาธิปไตยด้วยตนเองก่อน แล้วจึงนำเอาโมกษธรรมและประชาธิปไตยนั้นมาโปรดนักการเมือง เมื่อนักการเมืองบรรลุโมกษธรรมและรู้ประชาธิปไตยแล้วจึงลงมือสร้างประชาธิปไตยให้แล้วเสร็จต่อไป ส่วนม็อบนั้นพระภิกษุก็ช่วยโปรดให้ความรู้และปฏินัติธรรมะประชาธิปไตยยกระดับขึ้นเป็นมวลชนประชาธิปไตยหรือ มวลชนธรรมะประชาธิปไตย มวลชนที่ยกระดับจากม็อบก็จะไม่ขับไล่รัฐบาลอีกต่อไป แต่จะกลับมาช่วยเป็นพลังผลักดันการสร้างประชาธิปไตยให้แก่รัฐบาลจนกว่าจะแล้วเสร็จ นอกจากนั้นก็จะ เป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กคอยปกป้องรัฐบาลที่กำลังสร้างประชาธิปไตยไม่ให้ถูกทำลาย

                   ๓. ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระพุทธศาสนาจะเผยโฉมออกมมาเต็มดวง

              ถ้าพระภิกษุสงฆ์ได้ประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองโดยช่วยนักการเมืองให้ปฏิบัติโมกษธรรมละตัณหาตามมรรคมีองค์ ๘ ประการในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ และ ช่วยให้ความรู้ประชาธิปไตยแก่นักการเมืองในฐานะผู้นำทางความคิด จะทำให้นักการเมืองสร้างประชาธิปไตยสำเร็จภายใต้การช่วยเหลือผลักดันของมวลชนประชาธิปไตย ระบอบเผด็จการรัฐสภาจะไม่สามารถบดบังและกดทับพระพุทธศาสนาได้อีกต่อไป และระบอบประชาธิปไตยก็จะช่วยส่งเสริมให้ความบริสุทธิ์ผุดผ่องของพระพุทธศาสนาได้เผยโฉมออกมาเต็มดวง ประเทศไทยจะไม่เป็นเพียงจะ “เรืองอำนาจแห่งปวงชน” เท่านั้นแต่จะ “เรืองอำนาจแห่งธรรม” ด้วยอันเป็นความเรืองรองที่สดใสบริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างแท้จริง
 ดังนั้น จะต้องสนับสนุนส่งเสริมให้พระภิกษุสงฆ์มีการแสดงออกในบทบาทที่ถูกต้องคือประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง ตามอุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา คือ สนับสนุนส่งเสริมให้พระภิกษุปฏิบัติโมกษธรรมให้บรรลุได้หลายระดับหรืออย่างน้อยสักระดับหนึ่งเช่น โสดาบัน อริยบุคคลเบื้องต้น แล้วสนับสนุนส่งเสริมให้พระภิกษุช่วยนักการเมืองให้ละตัณหา และสนับสนุนส่งเสริมพระภิกษุได้ช่วยสอนประชาธิปไตยให้แก่นักการเมืองและประชาชน

              ๔. พระพุทธศาสนาสร้างประชาธิปไตยคือเงื่อนไขนำโลกและจักรวาล

             มีผู้นำทางความคิดของไทยได้กล่าวไว้ว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นวิทยาศาสตร์อย่างยิ่งและยังเหนือกว่าวิทยาศาสตร์อีกหลายชั้นอีกด้วย” เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งอนัตตาซึ่งเป็นอสังขตธรรม อันเป็นบ่อเกิดของสังขตธรรม นั่นคือความมีเกิดจากความไม่มี อสังขตธรรมคือศูนย์หรือสูญสังขตธรรมคือ ๑ ๒ ๓ เกิดมาจากสูญ ๐ คือถ้าไม่มี ๐ จะเกิด ๑ ๒ ๓ ฯลฯ ได้อย่างไร ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของสุดยอดของนักวิทยาศาสตร์โลกคือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ว่า “ศาสนาแห่งอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งจักรวาล ศาสนาซึ่งตั้งอยู่บนประสบการณ์ซึ่งปฏิเสธความเชื่อไร้เหตุผลหากมีศาสนาใดศาสนาหนึ่งที่พอจะรับมือกับความต้องการทางวิทยาศาสตร์ได้ละก็ ศาสนานั้นคือศาสนาพุทธ” (The religion of the future will be a cosmic religion. The religion which is based on experience which refuses dogmatism. If there is any religion that would cope with scientific needs it will be Buddhism.)

              พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้นำสูงสุดของโลกทางจิตวิญญาณ (Spiritual World) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เป็นผู้นำสูงสุดของโลกทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ (Natural World) และนักทฤษฎีประชาธิปไตยหลายคนเป็นผู้นำสูงสุดของโลกทางสังคม (Social World)

              สัมพันธภาพระหว่าง ๓ โลก คือ โลกวิทยาศาสตร์ขึ้นต่อโลก สังคมและโลกสังคมขึ้นต่อโลกจิตวิญญาณ คือขึ้นต่อ “อนัตตา” ตามพุทธภาษิตว่า “สพฺเพ ธมฺมา อนัตตา” และ “ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน ธรรมทั้งหลายสำเร็จด้วยใจ” (มโนปุพฺพํ คมา ธมฺมา มโนเสฎฺฐา มโนมยา) นั่นคือทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นต่อ “ประชาธิปไตย” และประชาธิปไตยขึ้นต่อ “อนัตตา”

            การสร้างประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติประชาธิปไตยในโลกที่ผ่านมาล้วนแต่ใช้ความรุนแรงเกือบทั้งสิ้น ซึ่งในทางโลกจิตวิญญาณก็คือ “อัตตา” นั่นเอง ฉะนั้นจึงได้ “ประชาธิปไตยแบบอัตตา” แต่สำหรับในประเทศไทยพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ รัชกาลที่ ๖ และรัชกาลที่ ๗ ทรงสร้างประชาธิปไตยด้วยอนัตตาหรืออย่างสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรม จึงดีงามเป็นอย่างยิ่งตลอดมา แต่เกิดการปฏิวัติรุนแรงขึ้นเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ จึงเกิดปัญหาชาติและปัญหาประชาชนตลอดมาถึง ๗๗ ปี

              ดังนั้น เพื่อแก้ปัญหาชาติให้สำเร็จ จะต้องทำให้ ๓ โลกสัมพันธ์กันตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ คือ มีลักษณะตามทฤษฎีสัมพันธภาพ (Relativity Theory)  ประสานกับลัทธิประชาธิปไตย(Democracy)  ประสานกับอนัตตาแห่งศาสนาพุทธ (Buddhism) คือ เคลื่อนไหวอย่างเป็นวิทยาศาสตร์มีใช่จิตนิยมแบบเพ้อฝันเพื่อสร้างประชาธิปไตยแบบสันติวิธีตามหลักพุทธอหิงสาธรรมโดยการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง อันเป็น “ทฤษฎีสัมพันธภาพ ๓ มิติ (โลก)” จะเกิดผลเป็น “มนุษยปฏิวัติ” (Human Revolution) เหนือกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยหรือการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ที่มาในอดีตของโลก จะเกิดประชาธิปไตยแบบฉบับคือ ธรรมะประชาธิปไตยแบบอนัตตา

              เป็นครั้งแรกในโลก (Novelty) เมื่อนั้นพระพุทธศาสนาจะปฏิวัติโลกเป็น “พุทธาภิวัฒน์” หรือ โลกาภิวัตน์ด้วยธรรมะในพระพุทธศาสนานำพาหมู่มวลมนุษยชาติเปลี่ยนผ่านจากยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ขึ้นสู่ยุคหลังประวัติศาสตร์สมัยใหม่ (Post Modern History) อันเป็นโลกแห่งสันติภาพโลกถาวร (Lasting World Peace) โลกแห่งพุทธอหิงสาธรรมอย่างแท้จริง  ประเทศไทยจะกลายเป็นเมืองศูนย์กลางพระพุทธศาสนาโลกที่จะนำโลกได้อย่างแท้จริง

               ๕. ส่วนบทบาทของพระภิกษุสงฆ์หรือชาวพุทธบางรูปบางคนบางคณะบางกลุ่มที่เคลื่อนไหว

               ในรูปของม็อบหรือฝูงชนนั้น มิใช่เป็นความผิดของพระภิกษุหรือชาวพุทธดังกล่าวแต่อย่างใด แต่เป็นความผิดของระบอบเผด็จการรัฐสภานั่นคือ “ระบอบเลว คนดี” ดังเช่น น้ำไหลคดเคี้ยวไปตามลำคลอง คนก็ไหลไปตามครรลองของระบอบ หรือกล่าวอย่างถึงที่สุด “พระท่านมีเจตนาดี แต่ไม่มีวิชชาความรู้จึงพาไปเป็นม็อบ” ดังเช่น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบบทบาทอันเป็นเอกของความเห็นหรือทิฏฐิ (ทฤษฎี-Theory) เป็นพระองค์แรกในโลก เพราะพระองค์ทรงเดินตามความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิของลัทธิพราหมณ์มาก่อนถึง ๖ ปี  พระองค์จึงมีเงื่อนไขให้รู้ภายหลังว่า “นั่นคือความเห็นผิด” (มิจฉาทิฏฐิ) ปฏิบัติมาแล้วไม่บรรลุความสำเร็จ ประสบความล้มเหลวมีแต่โทษ พระองค์จึงละทิ้งมิจฉาทิฏฐิของลัทธิพราหมณ์แล้วจึงมีเงื่อนไขนำไปสู่ความเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิภายหลัง

               ดังนั้น พระภิกษุที่ไปร่วมกับม็อบ ทั้งม็อบเสื้อแดงหรือม็อบเสื้อเหลืองก็เป็นสาเหตุให้ได้ยกระดับพัฒนาจากมิจฉาทิฏฐิขึ้นสู่สัมมาทิฏฐิ ด้วยการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมืองตามอุดมการของพระพุทธศาสนาและตามรอยพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น เพราะทุกคนเกิดมาพร้อมกับความไม่รู้ด้วยกันทุกคน มารู้ได้ภายหลังทุกคน แต่บางคนอาจไม่รู้ไปจนตายก็มีและอาจจะมีมากเสียด้วย ซึ่งก็ต้องให้อภัย ดังเช่น คนทั่วไปหรือองคุลีมาลย์ หรือเทวทัศน์เป็นต้น

               การแก้ปัญหานั้นจะต้องอนุวัติปฏิบัติธรรมตามแบบอย่างพระพุทธเจ้าคือ จะต้องประกอบด้วยความเมตตาและปัญญาอันชอบ คือแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์นั่นเอง เมื่อพระท่านยังไม่รู้วิชาการเมือง แต่ท่านมีเจตนาดีมีเมตตาต่อประชาชน ควรแก้ที่อวิชชาหรือมิจฉาทิฏฐิออกไป แต่ส่งเสริมรักษาเจตนาดีของท่านไว้ ด้วยการประสานโมกษธรรมเข้ากับการเมือง เช่นเดียวกับประชาชนที่เป็นม็อบหรือฝูงชนเผด็จการ ก็ยกระดับขึ้นสู่มวลชนธรรมะประชาธิปไตยด้วยการให้ความรู้ธรรมะและประชาธิปไตย แล้วลงมือปฏิบัติโมกษธรรมกับสร้างประชาธิปไตยไปอย่างเป็นเอกภาพกัน พุทธศาสนาก็จะนำประชาชนในประเทศและนำประชาชาติในโลกสมกันความเป็นศาสนาแห่งสากลจักรวาล (Cosmic Religion) นั่นเอง
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
เรียบเรียงจาก แถลงการณ์ สภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ รัฐสภาวนาราม สถาบันธรรมะประชาธิปไตย
ขบวนการศาสนาเพื่อมนุษยชาติ เรื่อง “บทบาทพระสงฆ์ภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐสภาและภารกิจสร้างประชาธิปไตยอย่างสันติวิธีตามวิถึแห่งพุทธอหิงสาธรรม รักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์”
วันที่ ๒๐ เมษายน ๒๕๕๒
  

 
 
 
 
  
 
 
 
 

  
 
 
 



Webboard is offline.