แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำ ก็ไม่อาจจะสร้างสันติภาพขึ้นในโลก
สันติภาพมีไม่ได้เพราะการคุมกำเนิดสำเร็จ
มีผู้ลั่นวาจาไว้เช่นนั้น และอีกหลากหลายประโยคของผู้ยอมแพ้ต่อชะตากรรมและการแสวงหาการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี แต่ประเทศไทยได้ใช้แนวทางสันติวิธีตามนโยบาย 66/23 มานับแต่ปี 2523 เพื่อสยบสงครามกับกองทัพแดงของคอมมิวนิสต์ มาจนสำเร็จแล้วในขั้นตอนแรกเมื่อปี 2525 โดยทหารแห่งกองทัพไทยและเหลือขั้นตอนที่สองที่ยังต้องดำเนินการต่อให้สำเร็จ คือการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ระบุชัดในเอกสารคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 66 ออกในวันที่ 23 ของเดือนเมษายนในปีพ.ศ.2523 ที่ลงนามโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ
นับแต่สังคมม็อบอุบัติขึ้นในปลายปีพ.ศ.2548 จนถึง พ.ศ. 2552 นับเป็นเวลา ต่อเนื่องล่วงเข้าปีที่สี่ของการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคนต่างความคิดเห็น มีที่มาจากความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยต่างกัน และขบวนการแนวร่วมที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนมวลชนสองสีให้ปะทะกัน ผลร้ายของนโยบาย 66/23 ที่ยังค้างคาอยู่อีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติภารกิจก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแล
มาบัดนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สะท้อนความรุนแรงของการเผชิญหน้าระหว่างฝูงชนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงภายใต้ระบอบประชาธิปัตย์ ผนวกกับปัญหาการสูญเสียชีวิตและการลอบคร่าเอาชีวิตประชาชนรายวันที่รุมเร้าหนักขึ้นทุกวันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศที่กำลังบั่นทอนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยอย่างถึงที่สุด
เป็นที่น่าสังเกตว่าการกำหนดการเคลื่อนไหววันที่ 19 กันยายนเพื่อต่อต้านครบรอบ 3 ปี รัฐประหารคมช.โดยคนเสื้อแดง ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีโดยแกนนำพันธมิตรเสื้อเหลือง ที่หลังจากได้รับการส่งสัญญาณก็เลือกเคลื่อนไหวไปเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษในวันเดียวกัน โดยรูปการทั่วไปคือการแย่งชิงการนำ คนเสื้อแดง แต่ในสายตานักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยมองเห็นแต่แรกว่า นี่คือปรากฏการณ์ แยกกันเดินรวมกันตี ของแกนนำใส่เสื้อต่างสีแต่มียุทธวิธีเดียวกันคือ สร้างเงื่อนไข ป่วน สังคมต่อไป
ผมเคยบอกมานานแล้วว่าในที่สุดเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจะมารวมกันเพื่อเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกัน คือการปฏิวัติรุนแรง สมาน ศรีงาม เลขาธิการขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกล่าว เขาบอกว่าการเคลื่อนไหวในอดีตทำให้ขบวนการประชาธิปไตยรู้ว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยมีใครบ้าง และการส่งทอดมายังคนรุ่นใหม่ ทำโดยวิธีการใดบ้าง
ปีที่แล้ว 2551..ก่อนการปะทะเลือดสาด ระหว่างม็อบพันธมิตรและม็อบชาวบ้านภูมิซรอล ภาพนี้ถ่ายขึ้นในช่วงเช้าในวันที่ม็อบพันธมิตรมาถึงแต่เช้าตรู่ ม็อบชาวบ้านมาสกัดกลางถนนก่อนนายวีระ สมความคิดแกนนำจะมาถึง |
เงื่อนไขสงครามกลางเมืองสู่สงครามประชาชาติ
ในปี 2549 ระหว่างที่เหตุการณ์เริ่มบานปลายขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างพูดถึงการสร้างเงื่อนไข สงครามกลางเมือง (Civil War) ในปี 2552 คำอธิบายต่อปรากฏการณ์นี้เปลี่ยนไปอีกขั้นตอนนหนึ่งเมื่อแกนนำเสื้อเหลืองประกาศการเคลื่อนไหวไปเขาพระวิหารอย่างไร้ที่มาที่ไป ในปี 2552 พันธมิตรกำลังจะพาประเทศชาติไปสู่สงครามประชาชาติ (National War) หนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก การประโคมข่าวสู่การเคลื่อนขบวนพันธมิตรฯจากกรุงเทพสู่ศรีสะเกษจึงเป็นการเคลื่อนไปสู่แนวทางทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ชาติแนวร่วมดังกล่าวคือชาติคอมมิวนิสต์ในอุษาคเนย์ทั้งสามคือ เขมร ลาว และ เวียดนาม อันจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่หวังใช้วิธีการ Uprising ไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา และไม่มีวันเป็นสันติอหิงสาจริง สิ่งที่ปรากฎเห็นชัดในวันนี้คือ การเคลื่อนของแกนนำเหลืองและแดงสะท้อนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนอยู่ภายใต้ทฤษฎี Uprising ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกัน อยู่ภายใต้การนำของผู้ฝักใฝ่ทฤษฎีโค่นล้ม โครงสร้างสังคมทุกสังคมอันเดียวกัน ไม่ใช่สันติทั้งคู่ นักเคลื่อนไหวทั้งกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อเหลือง ล้วนแล้วแต่เคยร่วมเวทีเรียกร้องอันเดียวกันมาก่อน ยกตัวอย่างเช่น หมอเหวง โตจิราการ และนายสมศักดิ์ โกไศยสุขเป็นต้น
ผู้ฝักใฝ่การโค่นล้มโครงสร้างสังคมหยั่งรากสังคมตนเองไม่ลึกพอ ในท่ามกลางสภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแป ต่างทำหน้าที่เปิดโปงทุกชนชั้นทางสังคมอย่างถ้วนหน้า กลุ่มเหลืองเปิดโปงส่วนหนึ่ง กลุ่มแดงเปิดโปงอีกส่วนหนึ่ง อุปมาดั่งยืนเปลือยกายให้ต่างชาติดูว่าสังคมนี้เป็นได้เพียงแค่นี้เท่านั้นเอง ทุกชนชั้นต่างมีข้อเสีย ผู้ใหญ่แห่งแผ่นดินหนีเอาตัวรอด ไม่สามารถรับผิดชอบบ้านเมืองยามวิกฤตได้
แท้จริงแล้ว.......สงครามเป็นรูปการต่อสู้สูงสุดของมนุษย์ที่เกิดจากความขัดแย้งถึงขีดสุด ในรูปของการต่อสู้นั้นๆ ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องมีความเสมอกัน มีแรงปะทะอัดแน่นรุนแรงไม่ต่างจากไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบ
เท้าความย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2508 ที่ประเทศไทยมีพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า วันเสียงปืนแตก โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์รบกับกองทัพรัฐบาลแต่ก็ยังไม่ใช่สงครามกลางเมือง เพราะในขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่ได้ตั้งกองทัพ เป็นเพียงแค่กองโจร ในปี 2512 พรรคคอมมิวนิสต์ได้ก่อตั้งกองทัพขึ้นเป็นผลสำเร็จ เรียกกันว่ากองทัพแดงหรือกองทัพปลดแอกประชาชน และได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลจนกระทั่งเกิดนโยบาย 66/23 ขึ้นในปี 2523 และสามารถต่อสู้เอาชนะสงครามปฏิวัติคอมมิวนิสต์จนได้รับชัยชนะในปี 2525 เป็นอันว่ากองทัพคอมมิวนิสต์ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามถูกทำให้สลายตัวไปแล้ว
ตามทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์นั้น แก้วสามประการที่จะทำให้การปฏิวัติสำเร็จคือ 1.พรรค 2.แนวร่วมและ 3.อาวุธและกองกำลัง อย่างไรก็ดีชัยชนะของกองทัพไทยในสมัยนั้นเป็นชัยชนะต่อ กองทัพคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ต่อ พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์อีกทั้งยุทธวิธีแนวร่วมยังคงอยู่จวบจนปัจจุบัน
เมื่อไม่มีกองทัพ คอมมิวนิสต์หันมาใช้ยุทธวิธี แนวร่วม ในปัจจุบัน เป็นกลไกในการสร้างความแตกแยกตามทฤษฎีแนวร่วมอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และนายทุนซึ่งเป็นศัตรูกัน มีการหลอกใช้แนวร่วมให้เป็นประโยชน์สูงสุด แนวร่วมชั้นสูงมักเป็นชนชั้นปกครอง ชนชั้นนายทุน และในยุคไอทีข่าวสารเช่นนี้แนวร่วมที่คอมมิวนิสต์ให้ความสำคัญมากก็คือเจ้าของกิจการสื่อ อาทิ หนังสือพิมพ์ต่างๆ สงครามกลางเมืองจริงๆจึงยังไม่เกิดแต่กลับมี สงครามสื่อ เกิดขึ้นในประเทศไทยแทน ด้วยการใช้สื่อในทุกมิติเพื่อแสดงจุดยืนของตนและตอบโต้กันไม่จบสิ้น แต่การตอบโต้นั้นกลับไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาชาติได้ทันท่วงทีเนื่องจากสันติภาพภายในยังไม่เกิดขึ้นกับผู้ตอบโต้แต่ละฝ่าย
อตัมมยตากับสันติภาพ
สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าสันติภาพยังอยู่ห่างไกลหัวใจผู้นำหัวใจนักรบทั้งหลาย !!! หากผู้นำแต่ละส่วนนำสันติภาพมาสู่จิตใจตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นดร.ทักษิณ ชินวัตร หรือใครก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในระดับต่อไปก็จะเกิดขึ้น ทั้งทหาร ตำรวจ นักเคลื่อนไหวสังคม ฯลฯ ทัศนะของชาวพุทธย่อมนิยมสันติมากกว่าสงครามแน่นอน ในเรื่องอตัมมยตากับสันติภาพ ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าอตัมมยตาคือมูลเหตุอันแท้จริงของสันติภาพ อตัมมยตามีที่ใด ก็มีสันติภาพที่นั่น สันติภาพมีมูลเหตุมาจากการที่กิเลสไม่อาละวาด ไม่รังควาน เพราะอตัมมยตาคือการไม่เอาด้วยกับกิเลสนั่นเอง ดังวรรคทองในหนังสือที่ท่านพุทธทาสได้แสดงธรรมไว้ว่า
อตัมมยตาช่วยเลื่อนชั้นของสันติภาพได้ สันติภาพของคนโง่ก็แบบหนึ่ง สันติภาพของคนที่โง่น้อยหน่อยก็อีกแบบหนึ่ง สันติภาพของคนที่ไม่โง่อีกแบบหนึ่ง สันติภาพของคนฉลาดก็แบบหนึ่ง สันติภาพของคนที่ฉลาดที่สุดก็อีกแบบหนึ่ง.....
...หัวใจของอตัมมยตา ความสำคัญของอตัมมยตาและสมรรถนะของอตัมมยตา เราต้องรู้จักมันให้ดี เราจึงจะนำมาใช้ประโยชน์ให้สำเร็จ ....
กล่าวโดยสรุปได้ว่าอตัมมยตามีในปัจเจกบุคคลแล้วเกิดสงบสันติในใจได้ฉันใด อตัมมยตาที่มีในสังคมในประเทศชาติย่อมทำให้สังคมนั้นประเทศนั้นสงบสันติได้ฉันนั้น
สำหรับข้อเสนอแนวทาง สันติปฏิวัติ ซึ่งเป็นรูปธรรมของสันติภาพถาวรแบบอตัมมยตาก็คือนโยบาย66/23 ที่ได้รับการคิดค้นมาแล้วอย่างดี นโยบายที่จะสอดรับกับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างดียิ่งยวดที่กองทัพสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยตรง และเป็นนโยบายที่ยึดหลักสันติธรรม ในการดำเนินการ
คำสั่งของนโยบาย 66/23 มีเนื้อหาครอบคลุมอยู่ทั้งหมด ทุกหน่วยของสังคมต้องมองผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก พระอ.ถวิล สุทธจิตโต หนึ่งในพระวิทยากรอบรมเจ้าหน้าที่กอรมน.กองทัพภาคที่ 2 กล่าว
คำสั่งนี้เป็นประวัติศาสตร์ของสังคม เป็นคำสั่งที่นำสันติภาพมาสู่ประเทศ จะต้องนำเอาสันติภาพมาสู่สังคม ขณะนี้เขาแบ่งกองทัพแล้วก็ยังมองไม่เห็น เขาใช้ทุกวิธีสลายทุกพลังที่เป็นพลังหลักของประเทศ พระอาจารย์ถวิลกล่าว
แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากอยู่ในสังคมของคนฉลาดในการแก้ปัญหา และต้องการสันติภาพของคนฉลาด ย่อมต้องการผู้ปกครองที่ฉลาด และย่อมต้องการสังคมแห่งภราดรภาพที่นำความสุขเกษมมาสู่ประชาชนด้วยความฉลาด ดังนั้นสังคมจึงต้องการอตัมมยตาแบบคนฉลาดและฉลาดที่สุดดังที่ท่านพุทธทาสว่าไว้
อาตมาอยากให้คุณทักษิณทำสมาธิดูว่าเพราะกิเลสตัวไหนทำให้เขาเข้าประเทศไม่ได้ คนที่ปรารถนาดีต่ออดีตนายกฯทักษิณต้องนั่งลงศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าหากจะพากันเข้ามาแก้ปัญหาด้วยสำนึกที่แท้จริงแล้ว เขาต้องเลิกใช้แรงงานทำม็อบแบบณัฐวุฒิ เขาต้องได้นักสิทธิมนุษยชนของจริง คือคนที่เคารพในมนุษย์จริงๆ พระถวิลเสริม
กลุ่มก้อนพลังหลัก
.... ความแตกสามัคคี คือ เงื่อนไขของความพ่ายแพ้ แต่ความสามัคคี คือ เงื่อนไขของชัยชนะ แม้นเรามีทุกอย่างพร้อมแล้วแต่ขาดความสามัคคีก็ไม่มีทางได้รับชัยชนะ ถ้าพิจารณาในด้านนี้ ความสามัคคี คือ เงื่อนไขชี้ขาดแห่งชัยชนะ
พลังก้าวหน้าทั้งมวลทั่วโลกจะต้องสามัคคีกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังประชาธิปไตย หรือ พลังสังคมนิยม หรือ ชาตินิยม จึงจะมีพลังมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาล สามารถต่อสู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ถ้าปราศจากพลังผลักดันของมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาล จะไม่บังเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปในทิศทางที่ก้าวหน้าที่สุด นอกจากนั้น พลังมวลชนยังเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก คอยปกป้องภารกิจการเปลี่ยนแปลงมิให้ถูกทำลาย และ คอยพิทักษ์ปกป้องประเทศชาติ ไว้ตลอดไป
บางส่วนจากสาร การสร้างความสามัคคีแห่งชาติ โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธหนึ่งในผู้หนุนให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ปฏิบัตินโยบาย 66/23มาก่อน โดยมีอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรปราชญ์คนสำคัญผู้สืบทอดแนวทางสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 เป็นผู้ร่าง ในปีนี้บทบาทของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธปรากฏอีกครั้งหนึ่งในท่ามกลางความปั่นป่วน หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าแต่ละครั้งของการสื่อสารโดยพลเอกชวลิต มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่หรือไม่เพราะที่ผ่านมาความบกพร่องผิดพลาดของพลเอกชวลิตต่างปรากฏให้เห็นถ้วนหน้ากัน หลังการสละเข้าสู่เพศบรรพชิตบวชเรียนในวัยกว่า 70 ปี สารของพลเอกชวลิต ในคราวนี้ กลับเต็มไปด้วย การตกผลึกทางความคิด อย่างใหญ่หลวง
ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้จริง และกลายเป็นพลังมวลชนอันทรงพลังสูงสุดได้ จะต้องมีเงื่อนไขเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เงื่อนไขปัจจัยที่ดีที่สุด คือ การเมือง เงื่อนไขการเมืองที่สามัคคีมวลชนที่ก้าวหน้าได้นับแสนนับล้าน คือ การกอบกู้ชาติบ้านเมืองและการโค่นล้มระบอบเผด็จการสร้างประชาธิปไตย ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นมีได้ในช่วงประวัติศาสตร์หนึ่งเท่านั้น กลับล่มสลายลงในเวลาต่อมาในปัจจุบัน ไม่เหมือนกับพลังประชาธิปไตยที่ชนะเผด็จการได้ทุกรูปแบบ
ประเทศไทยในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ไม่มีเงื่อนไขเอกราช เพราะไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก จึงเหลือแค่เพียงเงื่อนไขเดียว คือ ปัญหาประชาธิปไตย เป็นเงื่อนไขแห่งความสามัคคี ที่จะก่อให้เกิดมวลชนประชาธิปไตยที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่เป็นพลังแห่งสันติอหิงสา "
การปกครองเฉพาะกาล
คืนอำนาจให้พระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ แล้วค่อยๆพัฒนากันไป
พระอาจารย์ถวิล สุทธจิตโตในฐานะที่เคยศึกษาทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์และทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตยกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงร่างรัฐธรรมนูญไว้ให้ประชาชน และทรงถูกแย่งชิงอำนาจไปโดยคณะราษฎรโดยที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย พระอาจารย์ถวิลจึงเสนอแนวทาง "ถวายคืนพระราชอำนาจ" เป็นทางออกให้กับประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้เสนอเรื่องการปฏิบัติตามนโยบาย66/23ที่ยังค้างคาอยู่กว่า 20 ปีและขอให้มีการปกครองเฉพาะกาลในระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆขึ้นมาใหม่ พระถวิลกว่าวว่ากองทัพไทยมีหน้าที่คุ้มครองให้กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสันติวิธี ด้วยการร่วมกันสถาปนาการปกครองเฉพาะกาลขึ้นมาตามนโยบาย 66/23 เพราะกองทัพไทยต้องทำหน้าที่ รักษาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติไว้ สามารถแก้ปัญหาความมั่นคงได้ด้วยการขอพระราชทานการปกครองเฉพาะกาลเพื่อเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน อันเป็นภารกิจสูงส่งสมกับการเป็นกองทัพของมหาราชาผู้ทรงธรรม
แผ่นดินนี้รอดมาได้จากลูกหลานทางความคิดของพระมหากษัตริย์มาหลายครั้ง เมื่อครั้งนโยบาย 66/23 นั่นก็เพราะอ.ประเสริฐผู้สืบทอดแนวทางสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้าร.7 ไม่เอาด้วย(อตัมมยตา)กับทฤษฎีโดมิโนของอเมริกาที่จะพาเอาเราไปรบกับคอมมิวนิสต์อินโดจีน ก็มาจากคนที่สืบทอดแนวทางสันติของพระมหากษัตริย์...ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ หลายครั้งที่พากันแก้ปัญหาวิกฤตมาตลอด
แนวทางของพระมหากษัตริย์ต้องศึกษา นี่เป็นโบราณราชประเพณีที่พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงศึกษาแนวทางของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ที่สืบทอดต่อกันมา
ลองฟังพ่อบ้าง พ่อยังอยู่ ถ้าลูกเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ทุกคน บ้านจะอยู่ได้ยังไง พิสูจน์ความสุจริตใจลองไปเอาคนมาชุมนุมเป็นแสนๆแล้วขอให้พ่อมาพูดบ้างสิ ลองฟังว่าพ่อจะพูดว่ายังไงบ้าง พระถวิลกล่าว
" เรื่องนี้เป็นเรื่องของความกตัญญูรู้คน เหมือนรูปปฏิทินธรรมของท่านพุทธทาสเขียนเอาไว้" ยอดมณี วัชรธรรมผู้เขียนหนังสือเรื่องเปิดตำนานคนชุดขาวทวงคืนเขาพระวิหารมณฑลบูรพากล่าวไว้ "บรรพบุรุษสร้างชาติไว้ยิ่งใหญ่มาก ถ้าใช้คุณธรรมข้อกตัญญูกตเวทิตามาว่ากัน ก็จะไม่ต้องมานั่งว่าเรื่องทฤษฎีกันให้ซับซ้อน ว่าเรื่องข้อธรรมให้รู้สำนึกน่าจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า "
ภารกิจในระยะเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้ ต้องได้รับการปฏิบัติให้สำเร็จได้ด้วยจิตวิญญาณของผู้รักสันติธรรมเท่านั้นและไม่เอาด้วยกับความรุนแรงในทุกรูปแบบนั่นเอง