Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
อตัมมยตาและสันติธรรมฉบับ 66/23 สู่การปกครองเฉพาะกาล
โดย  ทีมข่าวศาสนาและการเมือง
สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
กรุงเทพ : ๒๒ ก.ย. ๒๕๕๒ : ๐๓.๔๐ น.
 
 

 
            “ แม้ฝนจะตกลงมาเป็นทองคำ ก็ไม่อาจจะสร้างสันติภาพขึ้นในโลก ”
            “สันติภาพมีไม่ได้เพราะการคุมกำเนิดสำเร็จ”
  
                               
              มีผู้ลั่นวาจาไว้เช่นนั้น   และอีกหลากหลายประโยคของผู้ยอมแพ้ต่อชะตากรรมและการแสวงหาการแก้ปัญหาอย่างสันติวิธี   แต่ประเทศไทยได้ใช้แนวทางสันติวิธีตามนโยบาย 66/23 มานับแต่ปี 2523 เพื่อสยบสงครามกับกองทัพแดงของคอมมิวนิสต์ มาจนสำเร็จแล้วในขั้นตอนแรกเมื่อปี 2525 โดยทหารแห่งกองทัพไทยและเหลือขั้นตอนที่สองที่ยังต้องดำเนินการต่อให้สำเร็จ คือการสร้างประชาธิปไตยระดับสูง ระบุชัดในเอกสารคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับที่ 66 ออกในวันที่ 23 ของเดือนเมษายนในปีพ.ศ.2523 ที่ลงนามโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ในฐานะนายกรัฐมนตรีผู้รับผิดชอบ 

               นับแต่สังคมม็อบอุบัติขึ้นในปลายปีพ.ศ.2548 จนถึง พ.ศ. 2552 นับเป็นเวลา ต่อเนื่องล่วงเข้าปีที่สี่ของการเผชิญหน้าระหว่างกลุ่มคนต่างความคิดเห็น  มีที่มาจากความเข้าใจเรื่องประชาธิปไตยต่างกัน  และขบวนการแนวร่วมที่อยู่เบื้องหลังการขับเคลื่อนมวลชนสองสีให้ปะทะกัน  ผลร้ายของนโยบาย 66/23 ที่ยังค้างคาอยู่อีกครึ่งหนึ่งที่ยังไม่ได้รับการปฏิบัติภารกิจก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแล

               มาบัดนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่สะท้อนความรุนแรงของการเผชิญหน้าระหว่างฝูงชนเสื้อเหลืองและเสื้อแดงภายใต้ระบอบประชาธิปัตย์  ผนวกกับปัญหาการสูญเสียชีวิตและการลอบคร่าเอาชีวิตประชาชนรายวันที่รุมเร้าหนักขึ้นทุกวันในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  นอกเหนือจากปัญหาความยากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ประชาชนมีชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง  จนกลายเป็นปัญหาความมั่นคงภายในประเทศที่กำลังบั่นทอนชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนชาวไทยอย่างถึงที่สุด

               เป็นที่น่าสังเกตว่าการกำหนดการเคลื่อนไหววันที่ 19 กันยายนเพื่อต่อต้านครบรอบ 3 ปี รัฐประหารคมช.โดยคนเสื้อแดง  ได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดีโดยแกนนำพันธมิตรเสื้อเหลือง  ที่หลังจากได้รับการส่งสัญญาณก็เลือกเคลื่อนไหวไปเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษในวันเดียวกัน  โดยรูปการทั่วไปคือการแย่งชิงการนำ คนเสื้อแดง  แต่ในสายตานักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีฝ่ายขบวนการประชาธิปไตยมองเห็นแต่แรกว่า นี่คือปรากฏการณ์ “แยกกันเดินรวมกันตี” ของแกนนำใส่เสื้อต่างสีแต่มียุทธวิธีเดียวกันคือ สร้างเงื่อนไข “ป่วน” สังคมต่อไป

               “ ผมเคยบอกมานานแล้วว่าในที่สุดเสื้อเหลืองและเสื้อแดงจะมารวมกันเพื่อเคลื่อนไหวในแนวทางเดียวกัน คือการปฏิวัติรุนแรง ”  สมาน ศรีงาม เลขาธิการขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติกล่าว  เขาบอกว่าการเคลื่อนไหวในอดีตทำให้ขบวนการประชาธิปไตยรู้ว่าการเคลื่อนไหวของขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์ในประเทศไทยมีใครบ้าง และการส่งทอดมายังคนรุ่นใหม่ ทำโดยวิธีการใดบ้าง 
                  
ปีที่แล้ว 2551..ก่อนการปะทะเลือดสาด ระหว่างม็อบพันธมิตรและม็อบชาวบ้านภูมิซรอล ภาพนี้ถ่ายขึ้นในช่วงเช้าในวันที่ม็อบพันธมิตรมาถึงแต่เช้าตรู่ ม็อบชาวบ้านมาสกัดกลางถนนก่อนนายวีระ สมความคิดแกนนำจะมาถึง 
     
          
             เงื่อนไขสงครามกลางเมืองสู่สงครามประชาชาติ
 
             ในปี 2549 ระหว่างที่เหตุการณ์เริ่มบานปลายขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนต่างพูดถึงการสร้างเงื่อนไข “สงครามกลางเมือง”  (Civil War)  ในปี 2552 คำอธิบายต่อปรากฏการณ์นี้เปลี่ยนไปอีกขั้นตอนนหนึ่งเมื่อแกนนำเสื้อเหลืองประกาศการเคลื่อนไหวไปเขาพระวิหารอย่างไร้ที่มาที่ไป    ในปี 2552 พันธมิตรกำลังจะพาประเทศชาติไปสู่สงครามประชาชาติ (National War) หนักข้อยิ่งขึ้นไปอีก 
     การประโคมข่าวสู่การเคลื่อนขบวนพันธมิตรฯจากกรุงเทพสู่ศรีสะเกษจึงเป็นการเคลื่อนไปสู่แนวทางทำลายมากกว่าสร้างสรรค์ ชาติแนวร่วมดังกล่าวคือชาติคอมมิวนิสต์ในอุษาคเนย์ทั้งสามคือ เขมร ลาว และ เวียดนาม อันจะเป็นประโยชน์ต่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยที่หวังใช้วิธีการ Uprising ไม่ต่างจากการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา และไม่มีวันเป็นสันติอหิงสาจริง สิ่งที่ปรากฎเห็นชัดในวันนี้คือ การเคลื่อนของแกนนำเหลืองและแดงสะท้อนว่าพวกเขากำลังเคลื่อนอยู่ภายใต้ทฤษฎี Uprising ซึ่งเป็นทฤษฎีเดียวกัน อยู่ภายใต้การนำของผู้ฝักใฝ่ทฤษฎีโค่นล้ม โครงสร้างสังคมทุกสังคมอันเดียวกัน ไม่ใช่สันติทั้งคู่  นักเคลื่อนไหวทั้งกลุ่มเสื้อแดงและกลุ่มเสื้อเหลือง ล้วนแล้วแต่เคยร่วมเวทีเรียกร้องอันเดียวกันมาก่อน  ยกตัวอย่างเช่น หมอเหวง โตจิราการ และนายสมศักดิ์ โกไศยสุขเป็นต้น

              ผู้ฝักใฝ่การโค่นล้มโครงสร้างสังคมหยั่งรากสังคมตนเองไม่ลึกพอ  ในท่ามกลางสภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแป  ต่างทำหน้าที่เปิดโปงทุกชนชั้นทางสังคมอย่างถ้วนหน้า กลุ่มเหลืองเปิดโปงส่วนหนึ่ง กลุ่มแดงเปิดโปงอีกส่วนหนึ่ง อุปมาดั่งยืนเปลือยกายให้ต่างชาติดูว่าสังคมนี้เป็นได้เพียงแค่นี้เท่านั้นเอง ทุกชนชั้นต่างมีข้อเสีย ผู้ใหญ่แห่งแผ่นดินหนีเอาตัวรอด ไม่สามารถรับผิดชอบบ้านเมืองยามวิกฤตได้
 
              แท้จริงแล้ว.......สงครามเป็นรูปการต่อสู้สูงสุดของมนุษย์ที่เกิดจากความขัดแย้งถึงขีดสุด   ในรูปของการต่อสู้นั้นๆ ทั้งสองฝ่ายย่อมต้องมีความเสมอกัน  มีแรงปะทะอัดแน่นรุนแรงไม่ต่างจากไฟฟ้าขั้วบวกและขั้วลบ    
  
              เท้าความย้อนหลังกลับไปเมื่อปี 2508 ที่ประเทศไทยมีพรรคคอมมิวนิสต์ขึ้นเป็นครั้งแรกที่เรียกว่า “วันเสียงปืนแตก”   โดยมีพรรคคอมมิวนิสต์รบกับกองทัพรัฐบาลแต่ก็ยังไม่ใช่สงครามกลางเมือง  เพราะในขณะนั้นพรรคคอมมิวนิสต์ยังไม่ได้ตั้งกองทัพ  เป็นเพียงแค่กองโจร     ในปี 2512 พรรคคอมมิวนิสต์ได้ก่อตั้งกองทัพขึ้นเป็นผลสำเร็จ  เรียกกันว่ากองทัพแดงหรือกองทัพปลดแอกประชาชน และได้พัฒนาขึ้นกลายเป็นสงครามกลางเมืองสู้รบกับฝ่ายรัฐบาลจนกระทั่งเกิดนโยบาย 66/23 ขึ้นในปี 2523 และสามารถต่อสู้เอาชนะสงครามปฏิวัติคอมมิวนิสต์จนได้รับชัยชนะในปี 2525   เป็นอันว่ากองทัพคอมมิวนิสต์ที่เป็นฝ่ายตรงข้ามถูกทำให้สลายตัวไปแล้ว
 
              ตามทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์นั้น แก้วสามประการที่จะทำให้การปฏิวัติสำเร็จคือ 1.พรรค 2.แนวร่วมและ 3.อาวุธและกองกำลัง   อย่างไรก็ดีชัยชนะของกองทัพไทยในสมัยนั้นเป็นชัยชนะต่อ “ กองทัพคอมมิวนิสต์ “ ไม่ใช่ต่อ “ พรรคคอมมิวนิสต์ “    เพราะแนวคิดลัทธิคอมมิวนิสต์อีกทั้งยุทธวิธีแนวร่วมยังคงอยู่จวบจนปัจจุบัน 
 
              เมื่อไม่มีกองทัพ   คอมมิวนิสต์หันมาใช้ยุทธวิธี “ แนวร่วม “  ในปัจจุบัน เป็นกลไกในการสร้างความแตกแยกตามทฤษฎีแนวร่วมอันเป็นความสัมพันธ์ระหว่างคอมมิวนิสต์และนายทุนซึ่งเป็นศัตรูกัน    มีการหลอกใช้แนวร่วมให้เป็นประโยชน์สูงสุด  แนวร่วมชั้นสูงมักเป็นชนชั้นปกครอง  ชนชั้นนายทุน  และในยุคไอทีข่าวสารเช่นนี้แนวร่วมที่คอมมิวนิสต์ให้ความสำคัญมากก็คือเจ้าของกิจการสื่อ  อาทิ หนังสือพิมพ์ต่างๆ สงครามกลางเมืองจริงๆจึงยังไม่เกิดแต่กลับมี “ สงครามสื่อ “  เกิดขึ้นในประเทศไทยแทน ด้วยการใช้สื่อในทุกมิติเพื่อแสดงจุดยืนของตนและตอบโต้กันไม่จบสิ้น  แต่การตอบโต้นั้นกลับไม่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาชาติได้ทันท่วงทีเนื่องจากสันติภาพภายในยังไม่เกิดขึ้นกับผู้ตอบโต้แต่ละฝ่าย
 
 
             อตัมมยตากับสันติภาพ
 
 
             สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าสันติภาพยังอยู่ห่างไกลหัวใจผู้นำหัวใจนักรบทั้งหลาย !!!  หากผู้นำแต่ละส่วนนำสันติภาพมาสู่จิตใจตนเองได้ ไม่ว่าจะเป็นดร.ทักษิณ ชินวัตร หรือใครก็ตาม การเปลี่ยนแปลงในระดับต่อไปก็จะเกิดขึ้น  ทั้งทหาร ตำรวจ นักเคลื่อนไหวสังคม ฯลฯ   ทัศนะของชาวพุทธย่อมนิยมสันติมากกว่าสงครามแน่นอน  ในเรื่องอตัมมยตากับสันติภาพ    ท่านพุทธทาสกล่าวไว้ว่าอตัมมยตาคือมูลเหตุอันแท้จริงของสันติภาพ     อตัมมยตามีที่ใด  ก็มีสันติภาพที่นั่น  สันติภาพมีมูลเหตุมาจากการที่กิเลสไม่อาละวาด  ไม่รังควาน  เพราะอตัมมยตาคือการไม่เอาด้วยกับกิเลสนั่นเอง ดังวรรคทองในหนังสือที่ท่านพุทธทาสได้แสดงธรรมไว้ว่า
 
            “  อตัมมยตาช่วยเลื่อนชั้นของสันติภาพได้   สันติภาพของคนโง่ก็แบบหนึ่ง  สันติภาพของคนที่โง่น้อยหน่อยก็อีกแบบหนึ่ง  สันติภาพของคนที่ไม่โง่อีกแบบหนึ่ง  สันติภาพของคนฉลาดก็แบบหนึ่ง   สันติภาพของคนที่ฉลาดที่สุดก็อีกแบบหนึ่ง.....”
 
              “ ...หัวใจของอตัมมยตา   ความสำคัญของอตัมมยตาและสมรรถนะของอตัมมยตา เราต้องรู้จักมันให้ดี เราจึงจะนำมาใช้ประโยชน์ให้สำเร็จ ....”  
 
             กล่าวโดยสรุปได้ว่าอตัมมยตามีในปัจเจกบุคคลแล้วเกิดสงบสันติในใจได้ฉันใด   อตัมมยตาที่มีในสังคมในประเทศชาติย่อมทำให้สังคมนั้นประเทศนั้นสงบสันติได้ฉันนั้น 
 
            สำหรับข้อเสนอแนวทาง “สันติปฏิวัติ” ซึ่งเป็นรูปธรรมของสันติภาพถาวรแบบอตัมมยตาก็คือนโยบาย66/23   ที่ได้รับการคิดค้นมาแล้วอย่างดี  นโยบายที่จะสอดรับกับเหตุการณ์ปัจจุบันอย่างดียิ่งยวดที่กองทัพสามารถนำไปปฏิบัติได้โดยตรง    และเป็นนโยบายที่ยึดหลักสันติธรรม ในการดำเนินการ 

             “ คำสั่งของนโยบาย 66/23 มีเนื้อหาครอบคลุมอยู่ทั้งหมด ทุกหน่วยของสังคมต้องมองผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก “ พระอ.ถวิล สุทธจิตโต หนึ่งในพระวิทยากรอบรมเจ้าหน้าที่กอรมน.กองทัพภาคที่ 2 กล่าว 
 
             “ คำสั่งนี้เป็นประวัติศาสตร์ของสังคม เป็นคำสั่งที่นำสันติภาพมาสู่ประเทศ จะต้องนำเอาสันติภาพมาสู่สังคม”  “ ขณะนี้เขาแบ่งกองทัพแล้วก็ยังมองไม่เห็น  เขาใช้ทุกวิธีสลายทุกพลังที่เป็นพลังหลักของประเทศ”  พระอาจารย์ถวิลกล่าว 

             แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากอยู่ในสังคมของคนฉลาดในการแก้ปัญหา  และต้องการสันติภาพของคนฉลาด  ย่อมต้องการผู้ปกครองที่ฉลาด  และย่อมต้องการสังคมแห่งภราดรภาพที่นำความสุขเกษมมาสู่ประชาชนด้วยความฉลาด  ดังนั้นสังคมจึงต้องการอตัมมยตาแบบคนฉลาดและฉลาดที่สุดดังที่ท่านพุทธทาสว่าไว้
 
             “อาตมาอยากให้คุณทักษิณทำสมาธิดูว่าเพราะกิเลสตัวไหนทำให้เขาเข้าประเทศไม่ได้ คนที่ปรารถนาดีต่ออดีตนายกฯทักษิณต้องนั่งลงศึกษาอย่างแท้จริง ถ้าหากจะพากันเข้ามาแก้ปัญหาด้วยสำนึกที่แท้จริงแล้ว เขาต้องเลิกใช้แรงงานทำม็อบแบบณัฐวุฒิ  เขาต้องได้นักสิทธิมนุษยชนของจริง คือคนที่เคารพในมนุษย์จริงๆ”    พระถวิลเสริม
 
 
 
              กลุ่มก้อนพลังหลัก
 
 
              “.... ความแตกสามัคคี คือ เงื่อนไขของความพ่ายแพ้ แต่ความสามัคคี คือ เงื่อนไขของชัยชนะ แม้นเรามีทุกอย่างพร้อมแล้วแต่ขาดความสามัคคีก็ไม่มีทางได้รับชัยชนะ ถ้าพิจารณาในด้านนี้ ความสามัคคี คือ เงื่อนไขชี้ขาดแห่งชัยชนะ 
            พลังก้าวหน้าทั้งมวลทั่วโลกจะต้องสามัคคีกัน ไม่ว่าจะเป็นพลังประชาธิปไตย หรือ พลังสังคมนิยม หรือ ชาตินิยม จึงจะมีพลังมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาล สามารถต่อสู้ผลักดันการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ถ้าปราศจากพลังผลักดันของมวลมหาประชาชนอันกว้างใหญ่ไพศาล จะไม่บังเกิดการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ไปในทิศทางที่ก้าวหน้าที่สุด นอกจากนั้น พลังมวลชนยังเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็ก คอยปกป้องภารกิจการเปลี่ยนแปลงมิให้ถูกทำลาย และ คอยพิทักษ์ปกป้องประเทศชาติ ไว้ตลอดไป ” 

              บางส่วนจากสาร  “การสร้างความสามัคคีแห่งชาติ”  โดยพลเอกชวลิต ยงใจยุทธหนึ่งในผู้หนุนให้พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ปฏิบัตินโยบาย 66/23มาก่อน โดยมีอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรปราชญ์คนสำคัญผู้สืบทอดแนวทางสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้ารัชกาลที่ 7 เป็นผู้ร่าง ในปีนี้บทบาทของพลเอกชวลิต ยงใจยุทธปรากฏอีกครั้งหนึ่งในท่ามกลางความปั่นป่วน  หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าแต่ละครั้งของการสื่อสารโดยพลเอกชวลิต  มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่หรือไม่เพราะที่ผ่านมาความบกพร่องผิดพลาดของพลเอกชวลิตต่างปรากฏให้เห็นถ้วนหน้ากัน   หลังการสละเข้าสู่เพศบรรพชิตบวชเรียนในวัยกว่า 70 ปี สารของพลเอกชวลิต ในคราวนี้ กลับเต็มไปด้วย “การตกผลึกทางความคิด” อย่างใหญ่หลวง

           “ ความสามัคคีจะเกิดขึ้นได้จริง และกลายเป็นพลังมวลชนอันทรงพลังสูงสุดได้ จะต้องมีเงื่อนไขเป็นเหตุ เป็นปัจจัย เงื่อนไขปัจจัยที่ดีที่สุด คือ การเมือง เงื่อนไขการเมืองที่สามัคคีมวลชนที่ก้าวหน้าได้นับแสนนับล้าน คือ การกอบกู้ชาติบ้านเมืองและการโค่นล้มระบอบเผด็จการสร้างประชาธิปไตย ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นมีได้ในช่วงประวัติศาสตร์หนึ่งเท่านั้น กลับล่มสลายลงในเวลาต่อมาในปัจจุบัน ไม่เหมือนกับพลังประชาธิปไตยที่ชนะเผด็จการได้ทุกรูปแบบ 
            ประเทศไทยในยุคประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ไม่มีเงื่อนไขเอกราช เพราะไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศนักล่าอาณานิคมตะวันตก จึงเหลือแค่เพียงเงื่อนไขเดียว คือ ปัญหาประชาธิปไตย เป็นเงื่อนไขแห่งความสามัคคี ที่จะก่อให้เกิดมวลชนประชาธิปไตยที่กว้างใหญ่ไพศาล ที่เป็นพลังแห่งสันติอหิงสา "
           
 
             การปกครองเฉพาะกาล 
 
 
             “ คืนอำนาจให้พระเจ้าอยู่หัว ให้เป็นระบอบปริมิตาญาสิทธิราชย์  ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างที่เข้าใจกันผิดๆ  แล้วค่อยๆพัฒนากันไป”
 
             พระอาจารย์ถวิล สุทธจิตโตในฐานะที่เคยศึกษาทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์และทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตยกล่าวว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ทรงร่างรัฐธรรมนูญไว้ให้ประชาชน และทรงถูกแย่งชิงอำนาจไปโดยคณะราษฎรโดยที่ไม่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ชาติไทย พระอาจารย์ถวิลจึงเสนอแนวทาง "ถวายคืนพระราชอำนาจ" เป็นทางออกให้กับประเทศไทยขณะนี้ ซึ่งเป็นแนวทางที่ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้เสนอเรื่องการปฏิบัติตามนโยบาย66/23ที่ยังค้างคาอยู่กว่า 20 ปีและขอให้มีการปกครองเฉพาะกาลในระยะเปลี่ยนผ่าน เพื่อสร้างประชาธิปไตยแบบไทยๆขึ้นมาใหม่  พระถวิลกว่าวว่ากองทัพไทยมีหน้าที่คุ้มครองให้กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างสันติวิธี  ด้วยการร่วมกันสถาปนาการปกครองเฉพาะกาลขึ้นมาตามนโยบาย 66/23   เพราะกองทัพไทยต้องทำหน้าที่ รักษาความมั่นคงสูงสุดแห่งชาติไว้ สามารถแก้ปัญหาความมั่นคงได้ด้วยการขอพระราชทานการปกครองเฉพาะกาลเพื่อเป็นการปฏิวัติประชาธิปไตยในระยะเปลี่ยนผ่าน   อันเป็นภารกิจสูงส่งสมกับการเป็นกองทัพของมหาราชาผู้ทรงธรรม  

             “แผ่นดินนี้รอดมาได้จากลูกหลานทางความคิดของพระมหากษัตริย์มาหลายครั้ง เมื่อครั้งนโยบาย 66/23 นั่นก็เพราะอ.ประเสริฐผู้สืบทอดแนวทางสร้างประชาธิปไตยพระปกเกล้าร.7 ไม่เอาด้วย(อตัมมยตา)กับทฤษฎีโดมิโนของอเมริกาที่จะพาเอาเราไปรบกับคอมมิวนิสต์อินโดจีน ก็มาจากคนที่สืบทอดแนวทางสันติของพระมหากษัตริย์...ไม่ใช่แค่ครั้งเดียวนะ  หลายครั้งที่พากันแก้ปัญหาวิกฤตมาตลอด “
 
            “แนวทางของพระมหากษัตริย์ต้องศึกษา นี่เป็นโบราณราชประเพณีที่พระเจ้าอยู่หัวต้องทรงศึกษาแนวทางของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่5และพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 ที่สืบทอดต่อกันมา “

              “ลองฟังพ่อบ้าง พ่อยังอยู่ ถ้าลูกเอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ทุกคน บ้านจะอยู่ได้ยังไง พิสูจน์ความสุจริตใจลองไปเอาคนมาชุมนุมเป็นแสนๆแล้วขอให้พ่อมาพูดบ้างสิ ลองฟังว่าพ่อจะพูดว่ายังไงบ้าง”  พระถวิลกล่าว
 
             " เรื่องนี้เป็นเรื่องของความกตัญญูรู้คน เหมือนรูปปฏิทินธรรมของท่านพุทธทาสเขียนเอาไว้" ยอดมณี วัชรธรรมผู้เขียนหนังสือเรื่องเปิดตำนานคนชุดขาวทวงคืนเขาพระวิหารมณฑลบูรพากล่าวไว้  "บรรพบุรุษสร้างชาติไว้ยิ่งใหญ่มาก  ถ้าใช้คุณธรรมข้อกตัญญูกตเวทิตามาว่ากัน ก็จะไม่ต้องมานั่งว่าเรื่องทฤษฎีกันให้ซับซ้อน ว่าเรื่องข้อธรรมให้รู้สำนึกน่าจะทำให้เข้าใจง่ายกว่า "  
      
              ภารกิจในระยะเปลี่ยนผ่านในครั้งนี้   ต้องได้รับการปฏิบัติให้สำเร็จได้ด้วยจิตวิญญาณของผู้รักสันติธรรมเท่านั้นและไม่เอาด้วยกับความรุนแรงในทุกรูปแบบนั่นเอง
 

 
 
 
 
 
  
 
          

 
 
 
 
  
                            
  
  
  
  (อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง)
  
  
  



Webboard is offline.