Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
 
พระพุทธศาสนาแนวคิดเพื่อพัฒนาสังคมและการเมือง
ดร.บี อาร์ อัมเบดการ์
ถอดความโดย
พระดร.สมชัย กุสลจิตฺโต พระราชปัญญาเมธี
บทที่3
สารถึงชาวพุทธ
(Message to the Buddhists)
             
 ( ต่อจากตอนที่แล้ว)
 
 
   
                วิธีการสอนและรักษาพระธรรม
 
     
               เมื่อจะแนะนำชาวพุทธให้ระวังอันตรายที่คุกคามพระพุทธศาสนายุคใหม่  ดร.อัมเบดการ์ได้เสนอวิธีการและมรรคาที่จะทำการเผยแผ่และรักษาพระธรรม ดังนี้
 
               ขอร้องให้ท่านผู้ปฏิบัติตามพระธรรมได้ช่วยกันรักษาพระธรรมไว้ในภาวะวิกฤตเช่นนี้ เมื่อพระราชาเชื้อสายกรีก พระนามว่า เมนันเดอร์ (คือพระยามิลินท์) เสด็จไปทางจังหวัดชายแดนทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พระองค์ได้สถาปนาตนเองไว้ในฐานะผู้เชี่ยวชาญในกิจการของศาสนาต่างๆ พระองค์ได้ทรงมอบความพ่ายแพ้ให้แก่นักบวชพราหมณ์หลายครั้งหลายครา ระหว่างการถกแถลงกันทางศาสนา พราหมณ์นักบวชเหล่านั้นก็ยังไม่อาจทำให้พระองค์พอพระราชหฤทัยได้ ต่อมาพระองค์ก็ได้เกิดศรัทธาซาบซึ้งในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า  จึงได้อาราธนาภิกษุและนักปราชญ์ผู้เชี่ยวชาญแตกฉานในพระพุทธศาสนาไปสู่ราชสำนัก (เพื่อการปุจฉาวิสัชนาปัญหาศาสนาต่างๆ) แต่ปรากฎว่าไม่มีภิกษุหรือนักปราชญ์ท่านใดสามารถปะทะคารมกับพระองค์ได้

              พระเจ้าเมนันดอร์ (พระยามิลินท์) ได้รับสั่งให้ตำรวจหลวงนำภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมทุกรูปที่ตนพบเข้าเฝ้าเพื่อถกแถลงปัญหากัน หมู่ภิกษุได้พากันไปกราบอาราธนาพระนาคเสนเถระผู้แตกฉานในคัมภีร์พระไตรปิฎกและรอบรู้สรรพวิทยาอื่นๆด้วยขอให้เป็นตัวแทนไปถวายวิสัชนาโต้ตอบปัญหาพุทธธรรมด้วย พระนาคเสนเถระเป็นพระเถระแก่เรียนมากและมีความสามารถโดดเด่น

              คำปุจฉา-วิสัชนา เฉพาะสาระสำคัญของท่านทั้งสองนั้น ได้ถูกรวบรวมขึ้นเป็นพระคัมภีร์ เรียกว่า “มิลินทปัญหา” ในพระคัมภีร์นี้ พระเจ้ามิลินท์ได้มีพระราชปุจฉาว่า

             “อะไรคือสาเหตุแห่งความเสื่อมของพระพุทธศาสนา?” เพื่อจะให้เหตุผลในการล่มสลายของพระพุทธศาสนา ท่านพระนาคเสนเถระได้ถวายวิสัชนาว่า พระสัทธรรมจะเสื่อมสลายก็เพราะเหตุ ๓ ประการดังนี้

๑. ถ้าหลักคำสอนพื้นฐานไม่น่าเชื่อถือ คือรากฐานของศาสนาไม่มั่นคง
๒. ถ้าครูผู้สอนและนักเผยแผ่ศาสนาไม่คงแก่เรียนพอจะล้ำนำหน้ากว่าครูผู้สอนและนักเผยแผ่ของศาสนาคู่แข่งอื่นๆ
๓. ถ้าพระศาสนาหรือหลักคำสอนมิได้รับการแปลถ่ายทอดไม่ถูกนำมาปฏิบัติอย่างแท้จริงในวัด และมิได้แทรกซึมอยู่ในวัฒนธรรมประเพณีและพิธีกรรมต่างๆของชาวบ้านทั่วไป

             ศาสนาที่แท้จริงไม่เคยล้มหายตายจากไป ส่วนศาสนาที่ไม่ตั้งอยู่บนฐานแห่งสัจธรรม ความยุติธรรมและหลักการที่แข็งแกร่ง ก็จะตั้งอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม ไม่ดำรงอยู่ได้นาน เมื่อกาลเวลาล่วงไป ศาสนาประเภทนี้ก็จะค่อยๆเสื่อมและสูญสลายไปในที่สุด

              ประการที่สอง ถ้าไม่มีผู้ใดมาสอนธรรม ศาสนาจะไม่เจริญก้าวหน้า และในที่สุดก็จะดับสูญไป ปัญญาชนและผู้คงแก่เรียนจะต้องถกแถลงกันเรื่องศาสนาในชีวิตประจำวันของเขา ถ้าไม่มีนักปราชญ์ผู้แตกฉานในพระคัมภีร์ของศาสนาคอยตอบโต้คนที่วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาหรือศัตรูฝ่ายตรงข้ามกับธรรมะ แม้กรณีเช่นนี้ ศาสนาก็เสื่อมสูญไปได้เช่นกัน ศาสนาและพระธรรมคัมภีร์ เป็นหน้าที่ของท่านผู้ทรงแก่เรียนจะอรรถาธิบาย (ให้ศาสนิกทั่วไปเข้าใจอย่างถูกต้อง) ในขณะที่คฤหัสน์อุบาสกและอุบาสิกาก็ต้องไปวัดหรือวิหาร ซึ่งพวกเขาสามารถศึกษาพระธรรมวินัยและประกอบพิธีกรรมต่างๆได้

               
              การเผยแผ่ของพระสงฆ์
 
 
              ถ้าบังเอิญมีภยันตรายเกิดแก่พระศาสนา  ภิกษุในประเทศพระพุทธศาสนาก็ควรจะถูกตำหนิด้วย เพราะโดยส่วนตัวข้าพเจ้าคิดว่าภิกษุเหล่านี้ยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตนที่ได้รับสืบทอดมาอย่างเต็มที่ มีการสั่งสอนธรรมกันที่ไหน ภิกษุที่อาศัยอยู่ในกุฏิ (และ) ฉันอาหารมื้อเดียว  ไม่สงสัย นั่งเข้าสมาธิและนั่งเงียบเชียบกันอยู่เฉยๆ อาจเป็นว่าท่านกำลังอ่านหนังสือ แต่ส่วนมากข้าพเจ้าพบว่า พวกท่านจำวัด (นอน) กันอยู่ และเมื่อเวลาแดดร่มลมตก ก็ฟังเพลงเบาๆ นั่นคงมิใช่วิธีการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแน่

              ท่านที่เคารพ ข้าพเจ้าขอบอกท่านทั้งหลายว่า ข้าพเจ้าเป็นคนที่ไม่ปรารถนาจะวิพากษ์วิจารณ์ใคร (อย่างไร้เหตุผล) ถ้าศาสนาเป็นขุมพลังทางศีลธรรมของเยาวชนในสังคมแล้ว พวกท่านก็ต้องพูดกรอกหูพวกเขาบ่อยๆ (ลองคิดดูซิว่า) เด็กของพวกท่านต้องเรียนหนังสือในโรงเรียนกันคนละกี่ปี พวกท่านมิใช่จะส่งลูกหลานไปโรงเรียนกันเพียงวันสองวัน แล้วนำพวกเขากลับบ้าน แล้วก็รอเวลาให้พวกเขาโตขึ้นเป็นคนอ่านออกเขียนได้มิใช่หรือ? เพื่อการศึกษาเด็กๆจะต้องไปโรงเรียนทุกวัน ต้องเข้าชั้นเรียนวันละ ๕ ชั่วโมงเป็นประจำ
 
            ด้วยการปฏิบัติอย่างนี้ เด็กจะซึมซับเอาสิ่งที่เรียกว่า ความรู้หรือการเรียนรู้ไว้ได้ในกรณีการเผยแผ่พระพุทธศาสนานี้ วัดมิใช่โรงเรียน ถึงกระนั้นภิกษุก็มิได้เชิญชวนประชาชนเข้าวัดและแสดงธรรมเทศนาโปรดพวกเขา เกี่ยวกับการศึกษาทางศีลธรรม แม้เพียงวันเดียวข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็นว่า (เรื่องดีๆ อย่างนี้) พวกท่านได้ทำกันเลย
 
              เมื่อข้าพเจ้าเดินทางไปศรีลังกา ข้าพเจ้าได้บอกพวกคนที่จัดการต้อนรับที่นั่นว่า ข้าพเจ้าประสงค์จะเห็นวิธีการเผยแผ่ของภิกษุเหลือเกิน  พวกเขาได้บอกข้าพเจ้าว่าภิกษุได้รับนิมนต์ไปแสดงพระธรรมเทศนา หรือพวกเขาได้บอกข้าพเจ้าว่า ภิกษุได้รับนิมนต์ไปแสดงพระธรรมเทศนา หรือ “พานะ (Bana)”  บางคำที่พวกเขาใช้กัน ซึ่งข้าพเจ้าทราบความหมายในภายหลังว่า “วังกะ (Vanka)”  พวกเขาพาข้าพเจ้าไปสู่สถานที่แห่งหนึ่ง  เมื่อเวลาประมาณ ๑๑.๐๐น. ในบริเวณนั้นมีสิ่งสี่เหลี่ยมเล็กๆคงขนาดเท่าโต๊ะนี้  ข้าพเจ้าทรุดลงนั่งบนพื้น  ภิกษุถูกนิมนต์เข้ามา บุรุษและสตรีหลายคนนำน้ำมาล้างเท้าให้ท่าน  ภิกษุก้าวขึ้นไปและนั่งบนสิ่งนั้น   ท่านถือพัดใบตาลอยู่ในมือ  จะเป็นการดีมากเลย ถ้าข้าพเจ้าจะทราบความหมายของคำที่ท่านพูด แต่ท่านบรรยายเป็นภาษาสิงหลไม่เกิน ๒ นาที หลังจากนั้นท่านก็ลากลับไป
 
              ถ้าท่านไปในโบสถ์คริสต์  เกิดอะไรขึ้นที่นั่น ทุกๆสัปดาห์(วันอาทิตย์) ประชาชนจะประชุมกันในที่นั้นประกอบพิธีกรรมกัน  มีบาทหลวงแสดงธรรมตามเรื่องในพระคัมภีร์ไบเบิลเพื่อตักเตือนให้ประชาชนรำลึกถึงพระวจนะของพระเยซูเจ้าผู้บอกพวกเขาวาควรปฏิบัติตาม  พวกท่านจะต้องประหลาดใจแน่นอน พวกท่านเกือบทั้งหมดในที่นี้คงไม่มีใครทราบเลยว่า ศาสนาคริสต์ได้ลอกเลียนคำสอนและพิธีกรรมจากพระพุทธเจ้าไปถึงร้อยละ ๙๐ ทีเดียว  ทั้งเนื้อหาและรูปแบบ หากพวกท่านมีโอกาสไปกรุงโรม ขอให้ดูโบสถ์หลังใหญ่ พวกท่านจะนึกถึงวิหารใหญ่ ซึ่งทราบกันดีในนามว่า “วิศวกรรม” ที่ภารุตอย่างแน่นอน
 
              นายวิศพิคเณ (Vishabigne) ผู้เป็นหมอสอนศาสนาในประเทศจีนได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ท่านได้แสดงความประหลาดใจอย่างมาก เมื่อพบความเหมือนกันที่เกิดขึ้นระหว่างพระพุทธศาสนาและศาสนาคริสต์ เพียงแต่ท่าทางภายนอก ท่านไม่กล้าพุดว่า ชาวพุทธเลียนแบบศาสนาคริสต์ แต่ไม่ยอมรับว่า ชาวคริสต์เอาแบบอย่างไปจากพระพุทธศาสนา แต่มีส่วนที่เหมือนกันจำนวนมาก  ข้าพเจ้าคิดว่า  บัดนี้กาลเวลาได้ผ่านมาถึงปัจจุบัน พวกเราน่าจะยืมวิธีการเผยแผ่ของชาวคริสต์มาใช้บ้าง  เพื่อเผยแผ่ศาสนาในหมู่ชาวพุทธเรา พวกเราจะต้องรู้ตัวทุกวันและตลอดเวลาว่าพุทธธรรมดำรงอยู่ด้วยตัวเองเหมือนตำรวจคอยป้องกันพวกเรามิให้ใช้เส้นทางผิด หากไม่มีบทบาทนี้พระพุทธศาสนาก็จะตกสู่ภาวะเสื่อม ข้าพเจ้าพบว่า ปัจจุบันนี้สถานภาพของพระพุทธศาสนา แม้ในประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติก็ตกต่ำมาก แต่อิทธิพลของพระพุทธศาสนายังคงดำรงอยู่ไม่มีอะไรต้องสงสัยเลย
 
 
 
 
  
 
          

 
 
 
 
  
                            
  
  
  
  (อ่านความเดิมตอนที่แล้ว)
  
  
  



Webboard is offline.