บทที่ ๑
ที่นี่แผ่นดินไทย
ก่อนที่จะนำมาสู่ประเด็นข้อโต้แย้งเรื่องใครเป็นเจ้าของปราสาทเขาพระวิหารนั้น ต้องทำความเข้าใจย้อนหลังไปก่อนว่าในอดีตประเทศไทยไม่เคยมีข้อตกลงหรือสัญญาอะไรกับประเทศกัมพูชาเลย เพราะกัมพูชาเป็นประเทศราชของสยามมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาเรื่อยมาจนถึงกรุงธนบุรีและรัตนโกสินทร์ แต่ข้อตกลงที่มีกลับเป็นข้อตกลงระหว่างประเทศฝรั่งเศส นักล่าอาณานิคมในอดีต และอีกข้อตกลงหนึ่งอนุสัญญาโตเกียว พศ.2484 หรือค.ศ. 1941
ในสมัยที่มีข้อตกลงกับฝรั่งเศสนั้น ประเทศไทยเป็นเจ้าของ มณฑลบูรพา ซึ่งกินอาณาเขตกว้างขวางเข้าไปในบางส่วนของกัมพูชาและลาวในปัจจุบัน คำว่า บูรพา แปลว่า ตะวันออก หมายความว่าอาณาเขตของราชอาณาจักรสยามในส่วนภาคตะวันออก ซึ่งมีพื้นที่รวมถึง 5 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง เป็นดินแดนของไทย หลักฐานการปกครองมณฑลบูรพานั้นปรากฏชัดอยู่ในเอกสารหลายฉบับ สยามในอดีตได้ทำการปกครองมณฑลบูรพาเป็นระยะเวลาถึง 5 ปี หลังการเปลี่ยนแปลงเขตการปกครองเป็นจตุสดมภ์โดยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5
อย่างไรก็ดีประเด็นการโต้แย้งเรื่องการเป็นเจ้าของพื้นที่ที่ปรากฏเป็นข่าวในระยะแรกนั้น เริ่มจากแง่มุมการเสนอให้จดทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกโดยรัฐบาลกัมพูชา ในขณะนั้นการโต้แย้งของกลุ่มคัดค้านพุ่งประเด็นไปที่การเซ็นสัญญาในการลงบันทึก Joint Communique ร่วมกันกับกัมพูชาโดยมีรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศชื่อนพดล ปัทมะในระหว่างเดือนมิถุนายน 2551 นั้น ประชาชนคนไทยออกมาแสดงทัศนะคัดค้าน ถึงความไม่ชอบมาพากล และเกิดการประท้วงในกรุงเทพอย่างเป็นรูปธรรมในทันทีทันใดโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย การแสดงการคัดค้านลุกลามถึงขั้นการเคลื่อนมวลชนไปร้องเรียนที่บริเวณหน้ากระทรวงฯเพื่อขับไล่รัฐมนตรีนพดลออกจากตำแหน่ง ขณะนั้นความเข้มข้นของประเด็นคัดค้านจำกัดอยู่เพียงแค่ผลประโยชน์ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวร่วมกับกัมพูชาเท่านั้นโดยพิจารณาจากสภาพภูมิศาสตร์ นอกเหนือจากนั้นคือการนำเสนอเรื่องความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลทักษิณ ชินวัตรในการตกลงกับกัมพูชาล่วงหน้าเรื่องการมีผลประโยชน์ชายแดนร่วมกับกัมพูชา จนนำสู่ข้อกล่าวหาอุกฉกรรจ์เรื่อง ขายชาติ ในที่สุด
การรายงานข่าววนเวียนอยู่เพียงเรื่องการแบ่งเขตดินแดนที่ไม่ชัดเจนสำหรับการใช้ปราสาทพระวิหารในเชิงผลประโยชน์การท่องเที่ยวร่วมกัน มีการถามหาเหตุผลว่าเพราะเหตุไรทางขึ้นจึงอยู่ฝั่งไทยและตัวปราสาทจึงอยู่ฝั่งกัมพูชา มีการอธิบายว่าทำไมแผนที่ฝรั่งเศสที่ใช้การแบ่งเขตแดนนั้นมีข้อบกพร่อง มีการตั้งประเด็นต่อว่าเป็นการจงใจให้การแบ่งเขตแดนนี้สร้างปมเงื่อนข้อขัดแย้งไว้เบื้องหลังก่อนฝรั่งเศสจะถอนตัวออกไปจากภูมิภาคนี้หลังการปลดปล่อยชาติเมืองขึ้นเป็นเอกราชของรัฐชาติสมัยใหม่ในดินแดนแถบนี้ แต่ยังไม่มีการอธิบายถึงปมเงื่อนทางการเมือง ทางประวัติศาสตร์ และการดำเนินนโยบายของชนชั้นปกครองแต่ละช่วงว่ามีจุดยืนและการแก้ปัญหาในอดีตต่างกรรมต่างวาระกันอย่างไรบ้าง
คณะธรรมยาตรากลับมีคำอธิบายลึกขึ้นไปกว่านั้นว่า อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ประเทศฝรั่งเศสที่อยู่ห่างไกลดินแดนแถบนี้ต้องข้ามมหาสมุทรมามีบทบาทในการทำหน้าที่ร่างแผนที่ ข้อตกลงที่ทำกันในสมัยก่อนอยู่บนพื้นฐานอะไร ช่วงรอยต่อทางประวัติศาสตร์อันสำคัญของการ จัดระเบียบโลก ในแต่ละช่วงทศวรรษ ส่งผลต่อเนื่องถึงปัญหาชายแดนไทยกัมพูชาจนถึงปัจจุบัน ประเด็นสำคัญของการรุกทางการเมืองของชาติล่าอาณานิคมและอิทธิพลของชาติตะวันตกและลัทธิล่าอาณานิคมที่กระทำ เหตุ ไว้แต่เบื้องต้นและส่ง ผล มาถึงความสัมพันธ์ของประเทศเพื่อนบ้านสองประเทศที่มีภูมิหลังทางวัฒนธรรม ศาสนา และประวัติศาสตร์ร่วมกัน โดยยังมิต้องพิจารณาถึงแง่มุมทางการเมืองแต่อย่างใด
เราเป็นเจ้าของอะไรบ้าง
นี่คือคำถามในแง่มุมทางการเมือง ซึ่งต้องการมิติทางประวัติศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญมาเป็นผู้ร่วมชำระความให้คำตอบ ถึงแม้จะมีการหลงประเด็นกันถึงขั้นนำเอาผู้เชี่ยวชาญทางสังคมมานุษยวิทยา นักโบราณคดีที่พากันหลงประเด็นย้อนรอยประวัติศาสตร์เพื่อพิสูจน์กันถึงเรื่องชาติพันธุ์และอารยธรรมอันรุ่งเรืองระหว่างขแมร์และชาวสยามในอดีต
ความเป็นเจ้าของตีความแคบมาสู่การเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ (Nation State) มิใช่การครอบครองในยุคสมัยของเจ้าครองนคร(Feudal State) ปัญหาก็คือคนไทยยังไม่รู้ว่า เราเป็นเจ้าของอะไรบ้าง และทำไมจึงได้เป็น และไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นไปได้ ดังเช่นนักวิชาการสายโบราณคดี สังคมมานุษยวิทยาทั้งนักวิชาการไทยและต่างชาติ พยายามคัดค้านและให้คนไทยยอมรับ ความพ่ายแพ้ ตั้งแต่ยังไม่เริ่มต้น โดยอ้างเหตุผลแคบๆของการเป็นผู้เคารพในชาติพันธุ์ แต่มิติของปัญหานี้มิใช่แค่เพียงผิวเผินเช่นนั้น
ปัญหาการครอบครองเขาพระวิหาร คือปัญหา เอกราช และปัญหา อธิปไตย ของรัฐชาติสมัยใหม่ในดินแดนแถบนี้ เมื่อเกิดการประกาศเอกราช ปลดแอกชาติของตนจากชาติล่าอาณานิคมแล้ว ประเด็นอยู่ที่ว่าการปลดแอกตนเองของกัมพูชานั้น มีการวางล็อคของปัญหาทิ้งค้างไว้ ให้ประเทศเพื่อนบ้านทั้งสองพร้อมจะเดินสะดุดขากันเอง จนเกิดเรื่องราวขั้นทำร้ายร่างกายกันจนได้
สมมุติบัญญัติของการเป็นชาติพันธุ์ยุคเจ้าครองนครรบพุ่งกับเขมรในอดีต เป็นคนละเรื่องกับกับสมมุติบัญญัติของการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่ต้องเคารพกติกาสัญญาที่กระทำต่อกัน จะเห็นว่าขบวนธรรมยาตรามิได้เคลื่อนไปเพราะเหตุผลเรื่องชาติพันธุ์หรือเพราะความต่างของภาษา หากแต่เป็นการเคลื่อนเพื่อบอกให้คนไทย คนเขมรและคนทั้งโลกรับรู้ว่าปัญหาการเมืองระดับภูมิภาคในประเทศแถบนี้เป็นผลมาจากการไม่รักษากติกาสัญญาของชาติอาณานิคมในอดีต การไม่เคารพกติกาสัญญาในอดีตโดยทำเป็นเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงบางเรื่อง เป็นเรื่อง ขี้โกง ที่นานาอารยะที่อ้างเรื่อง สิทธิ แบบถล่มทลายมาโดยตลอดจะเป็นหลักค้ำประกันว่า กติกาโลก ภายใต้สหประชาชาตินั้นขลังเพียงไร และสอดคล้องกับการเกลี่ย ความเป็นธรรม ได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงแค่องค์กรอุปโลกน์ระดับโลกที่เป็นเพียงแค่ เสือกระดาษ เท่านั้น กัมพูชาคือเครื่องมือแถลงต่อชาวโลกถึงการจัดระเบียบโลกผิดในอดีตที่ส่งผลถึงปัจจุบันนั่นเอง
ก่อนที่จะตอบว่าเราเป็นเจ้าของอะไรบ้าง จะต้องตอบคำถามที่ว่า เราเป็นชาติเอกราชใช่หรือไม่ และอธิปไตยดินแดนเรามีจริงหรือไม่เคยมี เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน คำถามสองคำถามนี้จะต้องสะท้อนกลับไปยังคนเขมรและรัฐบาลกัมพูชาเช่นกัน เพื่อทบทวนบทบาททั้งสองประเทศในฐานะเพื่อนบ้าน
...สมมุติบัญญัติของการเป็นชาติพันธุ์ยุคเจ้าครองนครรบพุ่งกับเขมรในอดีต เป็นคนละเรื่องกับกับสมมุติบัญญัติของการเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ที่ต้องเคารพกติกาสัญญาที่กระทำต่อกัน จะเห็นว่าขบวนธรรมยาตรามิได้เคลื่อนไปเพราะเหตุผลเรื่องชาติพันธุ์หรือเพราะความต่างของภาษา.... |
ปัญหาเขาพระวิหารนั้นเป็นปัญหาเอกราชของกัมพูชาในอดีตที่ส่งผลมาถึงปัญหาอธิปไตยดินแดนในปัจจุบันนี้ใช่หรือไม่ ?
เช่นนี้แล้วก็จะได้คำตอบที่จำแนกแยกแยะความแตกต่างระหว่าง ความเป็นชาติสยามและชาติเขมรออกจากกันได้ในช่วงกว่าศตวรรษที่ผ่านมาว่า ข้อเท็จจริงคือประเทศไทยเป็นชาติเอกราชมาตลอด และเริ่มมีปัญหาอธิปไตยดินแดนกับชาติอาณานิคมอังกฤษและฝรั่งเศสในสมัยรัชกาลที่ 5 พระเจ้าแผ่นดินทรงแก้ปัญหาอธิปไตยดินแดนโดยการตัดพื้นที่บางส่วนให้กับฝรั่งเศสเพื่อคงความเป็นเอกราชไว้ ในแง่มุมนี้ไทยกับเขมรย่อมมีความต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะกัมพูชานั้นมีปัญหาเรื่องเอกราชมาโดยตลอด อันเนื่องมาจากกัมพูชาอยู่ในฐานะประเทศราชของชาติสยาม กัมพูชาจึงไม่รู้จักอธิปไตยดินแดนดีเท่าคนไทยรู้จัก ด้วยความเป็นเอกราชทีหลังหลังตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศส กัมพูชาเพิ่งมารู้จักอิสรภาพจากการได้รับการการปลดปล่อยให้มีเอกราชเมื่อประเทศไทยก้าวขึ้นสู่การเป็นรัฐชาติสมัยใหม่แล้วโดยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่ 5 พระมหากษัตริย์ที่เปลี่ยนแปลงกรุงสยามต่อสู้กับลัทธิล่าอาณานิคมอย่างถึงที่สุด
ทันทีทันใดที่กัมพูชาได้รับอิสรภาพก้าวเข้าสู่ความเป็นเอกราช ปัญหาการเมืองภายในนำประเทศตนเองสู่การปฏิวัติคอมมิวนิสต์และดำรงความเป็นกัมพูชาอยู่ในปัจจุบัน จะว่าไปเป็นธรรมดาของชาติไม่เคยมีอิสรภาพมาก่อนเมื่อกลับมามีอิสรภาพอาจใช้อิสรภาพนั้นในทางที่ผิด เพราะไม่คุ้นกับอิสรภาพนั้น รัฐบาลกัมพูชาจึงสะท้อนปัญหาการเป็นประเทศเอกราชของประเทศตนเองผิดๆ และยังส่งผลให้จัดระบบความสัมพันธ์กับประเทศบ้านใกล้เรือนเคียงอย่างประเทศไทยผิดๆ อีกด้วย และเนื่องจากการปฏิวัติชาติกัมพูชาไปสู่ระบอบเผด็จการคอมมิวนิสต์อย่างเต็มตัว จึงทำให้รัฐชาติกัมพูชา มีชนชั้นปกครองที่พูดความจริงไม่ครบต่อประชาชนของตนเอง นอกจากนี้แล้วรัฐบาลสมเด็จฮุนเซนยังใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือทางการเมืองภายในประเทศสำหรับสร้างฐานคะแนนให้ตนเองอย่างเป็นกโลบายอีกต่างหาก
ปัญหาเรื่องการใช้อิสรภาพจากเอกราชในทางที่ผิดเช่นนี้เองที่ทำให้รัฐบาลกัมพูชาชุดปัจจุบัน กำลังสนุกกับการรุกประเทศไทยในยามที่บ้านเมืองง่อนแง่น รุมเร้าด้วยปัญหาการเมืองภายใน จนถึงขั้นใช้เกมการปล่อยข่าวแบบบิดเบือนตลอดเวลา
แน่นอนว่าความเป็นเอกราชของชาติไทยสะท้อนข้อเท็จจริงว่า ไทยเป็นเจ้าของดินแดนแถบนี้มาก่อน หลักฐานมีปรากฏชัดเจนถึงการปกครองมณฑลบูรพาของชาติไทยในสมัยก่อน** ปัญหาเขาพระวิหารจึงสะท้อนปัญหาเอกราชกัมพูชาในอดีตที่ส่งผลถึงอธิปไตยดินแดนในปัจจุบัน สำหรับประเทศไทยปัญหาเขาพระวิหารสะท้อนปัญหาการรักษาเอกราชของประเทศไทยที่ถูกละเมิดโดยฝรั่งเศสและส่งผลให้ถูกละเมิดอธิปไตยดินแดนจากกัมพูชาในปัจจุบัน โดยมีชาติที่สามคือฝรั่งเศสเป็นผู้ผูกปมเงื่อนไว้นั่นเอง!!
จุดยืนของคณะธรรมยาตราชุดขาว จึงแจ่มชัด ดังปรากฏอยู่ในวรรคแรกของบทความของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเรื่อง เขาพระวิหารเป็นของใคร? ในเมื่อเมื่อพระตะบอง พิบูลสงครามเป็นของไทย มีใจความว่า
.....ตามที่รัฐบาลกัมพูชาได้ทำการรุกล้ำเข้ามาในเขตไทยอีก โดย เสนอให้องค์การยูเนสโกขึ้นทะเบียนเขาพระวิหารเป็นมรดกโลก ต่อมา วันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๕๑ กระทรวงกลาโหมของไทยได้แถลงโดยสรุปว่า ท่าทีของประเทศกัมพูชา ยังคงยืนยันเจตนารมณ์ในการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารให้ได้ โดยพยายามเชิญชวนให้ประเทศต่าง ๆ ร่วมให้ความเห็นชอบ และมีการสร้างหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเท็จ คือหลักฐานเรื่องเส้นแบ่งเขต แดน เพื่อสร้างประโยชน์ให้ฝ่ายกัมพูชา นอกจากนี้ยังแสดงท่าทีข่มขู่ไทยว่าอาจจะเกิดความขัดแย้งขั้นแรงได้ หากไทยพยายามขัดขวางเรื่องนี้..... จะทำให้ดินแดนปราสาทเขาพระวิหารได้รับการยอมรับว่าเป็นของประเทศกัมพูชาโดยปริยาย อาจทำให้ไทยต้องเสียดินแดน หากการขึ้นทะเบียนไม่สำเร็จก็อาจกระทบรุนแรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาได้ จึงเสนอให้จำเป็นต้องกำหนดท่าทีดังนี้
๑. ให้มีการประท้วงกัมพูชาอย่างเป็นทางการ
๒. ประณามการกระทำของกัมพูชา
๓. ให้รัฐบาลให้ลำดับความเร่งด่วนเป็นวาระแห่งชาติเตรียมพร้อม เผชิญสถานการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
.
การหลงประเด็นของคนไทย
การพูดความจริงไม่หมดเป็นอนันตริยกรรมต่อประเทศชาติ ข้อโต้แย้งที่กระทรวงการต่างประเทศและคณะกรรมการมรดกโลก มีประเด็นครอบคลุมแคบๆ อยู่เพียงเรื่องการเป็นเจ้าของตัวปราสาทและความคลุมเครือของการเป็นเจ้าของพื้นที่รายรอบตัวปราสาท พื้นที่ในอาณาบริเวณปราสาทนั้นครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 4.6 ตารางกิโลเมตร นำมาสู่ประเด็นพิพาทเรื่องเขตพื้นที่ทับซ้อนส่งผลให้เกิดการแย่งชิงผลประโยชน์กันอยู่ระหว่างไทยกับกัมพูชา ดังปรากฏอยู่ในเนื้อหาข่าว พันธกิจที่ต้องทำร่วมกันระหว่างไทยกับกัมพูชาในเรื่องแผนการดำเนินการจัดการการบูรณปฏิสังขรณ์องค์ปราสาท แต่กัมพูชาก็ชิงดำเนินการก่อนโดยมีสหรัฐ ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น อิตาลี อินเดีย เกาหลีฯลฯ ให้ความช่วยเหลือเพื่อเป็นข้อมูลชี้แจงต่อคณะกรรมการมรดกโลก และการที่ผู้แทนยูเนสโกประจำกรุงพนมเปญเห็นด้วยกัมพูชาที่อ้างสิทธิเหนือดินแดนบริเวณปราสาทพระวิหาร ตามการอ้างเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลกโดยกัมพูชา
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเลือกนำเสนอเรื่องการทวงคืนมณฑลบูรพาตามอนุสัญญาโตเกียวค.ศ. 1941 จึงได้สรุปแต่ต้นว่ามิใช่เพียงแค่ตัวปราสาทพระวิหารและอาณาบริเวณรายรอบเป็นของไทยเท่านั้น หากแต่จังหวัดพระตะบองและเสียมราฐอันเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของมณฑลบูรพาในอดีตก็เป็นของไทยด้วย ประเด็นการถกเถียงกันเรื่องศาลโลกตัดสินในปี 2505 ว่าปราสาทเป็นของกัมพูชาเป็นอันตกไป ข้อเท็จจริงคือข้อตกลงไทยฝรั่งเศส พ.ศ.๒๔๘๙(ค.ศ.๑๙๔๖) ต้องถือเป็นโมฆะเพราะถึงแม้จะมีการนำเสนอประเด็นนี้รัฐสภาไทยก็จริง แต่ก็มิได้มีการให้สัตยาบันเพื่อรับรองตามขั้นตอนของสภาอันทรงเกียรติ เรื่องนี้เป็นเรื่องสะท้อนรูปแบบจารีตของสภาฯอันทรงเกียรติที่คนไทยสมัยนี้อาจไม่คุ้นกับธรรมเนียมที่ว่า ทุกครั้งที่มีการเสนอประเด็นสำคัญในสภาจะต้องมีการลงสัตยาบันต่อสมาชิกทุกครั้งไป หากไม่มีการลงสัตยาบันถือว่าญัตตินั้นยังไม่ได้การรับรอง ซึ่งนับว่าเป็นกุศโลบายของ รัฐบาลปรีดี พนมยงค์ที่ไม่ยอมลงสัตยาบัน
ส่วนการตัดสินของศาลโลกนั้นมิได้ถืออนุสัญญาโตเกียว พ.ศ.๒๔๘๔(ค.ศ.๑๙๔๑) เป็นหลักในการประกอบการพิจารณา หากแต่ใช้กติกาสัญญาไทย-ฝรั่งเศส ที่สมบูรณ์เพียงฉบับเดียว ผลบังคับของกติกาสัญญาระหว่างไทยกับฝรั่งเศสนั้นหากว่ากันตามกฎเกณฑ์แล้วย่อมมีผลบังคับใช้ มาจนถึงปัจจุบันเพราะรัฐสภาไทยได้ลงสัตยาบันรับรองอย่างถูกต้อง มีผลให้มณฑลบูรพา คือจังหวัดพระตะบองและจังหวัดพิบูลสงคราม ซึ่งเป็นดินแดนไทยของไทยอยู่ตลอดมา เมื่อปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนมณฑลบูรพาของไทยจึงเป็นของไทยตลอดมาเช่นเดียวกัน
ดังนั้น ปัญหาที่รัฐบาลไทยและนักวิชาการหยิบจับมาถกเกียงกันอยู่ระหว่างที่ถูกรัฐบาลฮุนเซนรุกตลอดเวลาจึงไม่ถูกต้อง กลับเป็นการหลงประเด็นตามการเดินเกมของกัมพูชา โดยแท้จริงแล้วประเทศไทยมีข้อเสนอเปิดเกมรุกที่เหนือชั้นกว่า เพราะปัญหาที่แท้จริงของข้อขัดแย้งดังกล่าวคือ ปัญหามณฑลบูรพา ๕ จังหวัดที่ฝรั่งเศสยึดเอาไปจากแผ่นดินไทย อันประกอบด้วยจังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดนครจำปาศักดิ์ และจังหวัดลานช้าง เป็นดินแดนของไทย ตามกติการะหว่างไทย-ฝรั่งเศส หากเทียบอาวุธกันแล้ว ย่อมเป็นกติกาสัญญาที่เหนือชั้นกว่าอย่างยิ่ง หากรัฐบาลไทยชุดปัจจุบันจะมีความเข้มแข็ง ทำเพื่อผลประโยชน์ชาติจริง มิใช่ผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อยบางกลุ่มโดยเฉพาะในกลุ่มชนชั้นปกครองด้วยกันเอง
หากมองในแง่มุมเรื่องการโต้แย้งแค่ตัวปราสาทและความต้องการบรรจุไว้เป็นมรดกโลกนั้น ปราสาทเขาพระวิหารจึงเป็นของไทยอย่างแท้จริง เพราะ จังหวัดพระตะบองและพิบูลสงครามเป็นของไทยนั่นเอง !
ทว่าในแง่มุมนั้นยังไม่เพียงพอ หากนี่จะเป็นการ สร้างบรรทัดฐาน ใหม่ให้แก่ประเทศแถบอุษาคเนย์และเอเชียแปซิฟิกทั้งหมดที่ถูกประเทศล่าอาณานิคมเข้าครอบครองในอดีต การเคลื่อนของคณะธรรมยาตราจึงเป็น ภารกิจทางประวัติศาสตร์ เกิดจากการตกผลึกทางความคิดและยึดถือแนวทางการ ชำระประวัติศาสตร์ ด้วยการเปิดเผยข้อเท็จจริงทั้งทางการเมืองโลก ทางประวัติศาสตร์ที่ชนชั้นปกครองในประเทศไทยไม่กล้าหยิบมาพูดถึง และที่สำคัญไม่เคยมีสื่อใดหรือหลักสูตรในระบบการศึกษาประเทศไทยเคยนำมาถ่ายทอดให้คนไทยด้วยกันรับรู้มาก่อนเลยถึงเหตุที่มาของการสูญเสียดินแดนในอดีต
ดังนั้น การเริ่มต้นอธิบายถึงต้นสายปลายเหตุของคณะธรรมยาตราจึงเริ่มขึ้น โดยใช้ระยะทางการเดินธรรมยาตรากว่า 100 กิโลเมตรเป็นเงื่อนไขสำคัญ ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย นำไปสู่การผจญกับม็อบชาวบ้าน การเผชิญหน้าของกลุ่มผลประโยชน์ชายแดนอย่างคาดไม่ถึง การเอาตัวรอดจากความรุนแรงด้วยหลักการต่อสู้อหิงสาพุทธ*** นับว่าเป็นภารกิจแห่งชีวิตของคณะธรรมยาตราที่ได้ทำหน้าที่พุทธบุตรท่ามกลางความแตกแยกทางความคิดของคนในสังคม แม้จะเสี่ยงกับการประทุษร้ายทั้งทางกายและทางวาจา การเดินครั้งนี้เป็นการผจญภัยที่แสนคุ้มในการพิสูจน์ธรรมะพระพุทธองค์ด้วยหลักอหิงสาที่สามารถเอาชนะความรุนแรงได้ในหลายครั้ง ซึ่งจะบอกเล่าในตอนต่อไป