Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
Change Series นำสู่การปฏิวัติในทุกมิติ
บทความพิเศษ  
 
- ตอน ๓ -
สำนักสื่อปฏิวัติ - Revolutionary Press Agency (RPA)
เขียนโดย นางแก้ว โพส ๑๖ ก.ย.๒๕๕๒:๑๔.๔๕ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๒๙ มี.ค.๒๕๕๒ 
 
“ เหตุแห่งความพ่ายแพ้-สู่การเปลี่ยนรูปการต่อสู้ของขบวนการประชาชน VS การดื้อแพ่งของชนชั้นปกครอง”
 
  
            2000 บาทซื้อการปกครอง!!
 
              
 
           ในตอนก่อนได้อธิบายว่าการก้าวขึ้นสู่อำนาจของพรรคการเมืองเผด็จการขึ้นมาได้ด้วยวิถีเผด็จการและไม่มีมวลชนที่มีลักษณะประชาชนอย่างแท้จริง   เพราะมวลชนที่มีลักษณะของประชาชนอย่างแท้จริงจะต้องเป็นประชาชนที่ทำประโยชน์ให้ประเทศชาติ   มิใช่มวลชนของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งเช่นมวลชนเสื้อเหลืองของพรรคประชาธิปัตย์และมวลชนเสื้อแดงของพรรคพลังประชาชน  แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฎณวันนี้คือ  ชนชั้นปกครองทำการปกครองมาถึง 76 ปีแต่กลับไม่มีมวลชนที่มีลักษณะก้าวหน้าแบบประชาชนอย่างแท้จริง  จึงเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการเป็นเผด็จการในวิธีการก้าวขึ้นสู่อำนาจแบบผิดๆ การทำให้ประชาชนยอมรับบทบาทแบบ “บังคับขืนใจ” ทำไม่ได้  พรรคการเมืองจึงต้องเอาชนะกันด้วยการ “ซื้อใจ” จากนโยบายประชานิยมแทน การสร้างบุญคุณกับประชาชนผู้ยากไร้เกิดขึ้นนับแต่รัฐบาลทักษิณ  ต่อเนื่องมาจนถึงรัฐบาลประชาธิปัตย์ยุคปัจจุบัน  เป็นความจริงที่ว่าการแจกเงิน 2000 บาทโดยรัฐบาลอภิสิทธิ์คือการเตรียมการพร้อมสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า    หรือการเก็งผลภายภาคหน้าในกรณีรัฐบาลถูกคว่ำบาตรอีกครั้ง     หรืออีกนัยหนึ่งก็คือจนแล้วด้วยเหตุผล   ไม่สามารถหาเหตุและผลหรือความเชื่ออุดมการณ์ใดๆมาปกครองได้หรือพูดจนถึงที่สุดคือความไร้ค่าของผู้ปกครองที่ “ตากหน้า” ใช้เงินขอปกครองต่อไป โดยใช้เงินเป็นทางผ่านเพื่อซื้อการปกครองนั่นเอง  
 
              แต่รัฐบาลเผด็จการก็ยังคงประเมินศักยภาพประชาชนต่ำไปเช่นเคย ประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคน  ไม่ได้ต้องการเพียงแค่เงินแจกชั่วครั้งชั่วคราว ไม่ว่าพวกเขาจะทำผ่านนโยบายใดก็ตาม เจตนาสร้างความผ่อนคลาย สบายใจให้กับประชาชนด้วยการใช้เงินซื้อเวลา   เป็นความ “หมดหนทาง” ของรัฐบาล การเลือกวันแจกเงินในวันเดียวกันกับม็อบเสื้อแดงกำหนดปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลยิ่งสะท้อนความไม่มั่นคงของรัฐบาลอภิสิทธิ์ชนิดที่ไม่ต้องอ่านเกมให้ทะลุว่า   แพ้ไม่ได้ ต้องชนะแบบเด็กๆ โดยไม่ต้องสงวนท่าที รักษาบุคลิกภาพของพรรคเก่าแก่อีกต่อไป     มองในแง่มุมนี้  การแจกเงินในครั้งนี้จึงเป็นความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ที่กลายสภาพเป็นพรรคเผด็จการใช้เงินซื้อการปกครองไปเรียบร้อย
 
               การฆ่าตัวตายหมู่ของคนใส่สูทในสภา
 
               การประกาศศึกสู้ครั้งแรกของเสื้อแดงเริ่มต้นขึ้นก่อนในสภาด้วยการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล  ก่อนที่จะนำสู่รูปการต่อสู้แบบม็อบ   การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นปัญหารูปธรรมประการหนึ่งคือชนชั้นปกครองยังไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงสวนทางกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ  หลายคนชื่นชมความเป็นผู้ดีของนายกฯคนใหม่    แต่สภาพความเป็นจริงและธาตุแท้ที่ปรากฎคือสาระของการประชุมยังคงวนเวียนอยู่เพียงเรื่องส่วนตัว  ปัญหาระดับชาติที่ก่อให้เกิดความไม่ไว้วางใจผู้นำนั้นแทบจะไม่มี     ปัญหาสำคัญเช่นปัญหากฎหมายขายชาติไม่ได้รับการหยิบยกมาอภิปราย  ปัญหาที่นายกฯยอมเสียเวลาโต้ด้วยคือประเด็นการหนีทหาร  สาระในสภาฯมีน้อยถึงน้อยที่สุด     
 
            นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้ออกแถลงการณ์เตือนทุกฝ่ายเรื่องการนำสู่การอภิปรายว่าจะไม่ก่อให้เกิดผลดีต่อใครทั้งสิ้น  แต่จะทำให้เกิดการทำลายล้าง ยุบพรรค ยุบสภา และโค่นล้มกันจนถึงที่สุด   การอภิปรายที่ผ่านมานอกจากจะไม่นำสู่ประเด็นแก้ปัญหาชาติอันเป็นปัญหาส่วนรวมแล้ว   ยังเป็นเพียง “การแสดง” ของตัวละครแย่งชิงอำนาจสองกลุ่ม   ที่มิได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใด เพราะพวกเขาคือเผด็จการทั้งคู่  การอภิปรายคือละครฉากใหญ่ ที่กำหนดบทบาทให้คนเหล่านี้ฆ่าเวลาการทำงาน  และสิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นตามมาอันเป็นผลมาจากการขยายผลในสภาเป็นเรื่องสำคัญกว่า  ฉากละครระหว่างสส.หญิงและการขอโทษขอโพยหลังปราศรัยจบลงด้วยรอยยิ้มและการยกมือไหว้เพื่อบอกให้ทราบว่าที่ใช้พูดและแสดงคือละคร   สะท้อนให้เห็นว่าพวกเขาคือพวกเดียวกันและกำลังทำสิ่งเหมือนๆกัน  คือนำข้อมูลมาแถลงเพื่อจับผิด   โค่นล้มกันเอง  เพื่อให้ตายตกไปตามกัน   ด้วยการแสดงละครฉากเดียวกัน 
 
             ณ วันนี้ประชาชนทั้งชนชั้นล่างและชนชั้นกลาง  มองดูพวกเขาราวหนังสือนิยายที่คาดเดาเนื้อเรื่องได้   มองในแง่มุมนี้แล้วปรากฏการณ์การโต้ในสภาที่ผ่านมามีสภาพไม่ต่างจาก “การฆ่าตัวตายหมู่ร่วมกันครั้งใหญ่ ” อีกครั้งหนึ่งของเผด็จการสองพรรคในสภาผู้ทรงเกียรติอย่างแท้จริง   
 
              สภาไร้มนต์ขลัง....ความพ่ายแพ้ของคนใส่สูท
 
             วันที่ 26 มีนาคม สื่อมวลชนวิ่งแข่งกันรายงานข่าวแต่เช้าระหว่างการเคลื่อนม็อบเสื้อแดงจากสนามหลวงไปล้อมทำเนียบรัฐบาลสลับกับปรากฏการณ์ผู้คนเป็นลมขณะต่อคิวรับเช็คสองพันบาทจากรัฐบาลประชาธิปัตย์   ในช่วงบ่ายวันเดียวกันก็มีรายงานข่าวว่าการปฏิรูปการเมืองที่นายกฯอภิสิทธิ์สั่งการไปส่อแววล้มเหลว   สื่อรายงานว่าการนัดหมายประชุมในสภาระหว่างวิปทั้งทางฟากรัฐบาลและฝ่ายค้านไม่เป็นผลสำเร็จ มีการเลื่อนนัดถึงสองครั้งในหนึ่งวัน ในขณะที่ข่าวการเตรียมการเคลื่อนมวลชนคนเสื้อแดงตอนบ่ายจากท้องสนามหลวงมาตามท้องถนนกลับเข้มข้น    การสู้ริมถนนเร้าใจ  เข้าถึงสาระมากกว่าการตกแต่งคำพูดใส่ปากคนใส่สูทในสภาและแน่นอนการเมืองของจริงสัมผัสได้โดยไม่จำเป็นต้องอิงทฤษฎีปฏิรูปให้ภาพการโต้ดูโก้หร่านกว่าความเป็นจริง  ปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า สภาอันทรงเกียรติเริ่มไร้ความขลังเสียแล้ว    สส.ต่างหลบเลี่ยงการใส่สูทคุยในห้องแอร์  และหันมาใช้การเมืองนอกสภาเป็นอาวุธ  กองทัพหุ่นเสกของประชาชนเสื้อแดงอุบัติขึ้นทันใจ  เพื่อเอาชนะกันตามเกมที่ฝ่ายซ้ายเขียนบทไว้ล่วงหน้า    ทำให้ประชาชนแสดงว่าพร้อมจะห้ำหั่นกัน   และปรากฏการณ์นี้ดึงดูดความสนใจของทุกฝ่ายให้ติดตามข่าวได้ทั้งวันอย่างไม่กระพริบตา
 
              เป็นจริงดังคาดตกค่ำวันเดียวกันการโฟนอินของทักษิณ ชินวัตรสู่เวทีเสื้อแดงกลายเป็นข่าวร้อนแรงกลบฝังข่าวการปฏิรูปล้มเหลวของวิปทั้งสองฟากในทันที  การต่อสู้ในสภาไร้ความหมายและป่วยการที่เขาจะนั่งกางตำราพูดถึงการปฏิรูปการเมืองในเมื่อกลียุควิบัติซ้ำซ้อนของการชุมนุมกำลังเกิดขึ้นอยู่เบื้องหน้าเขาเอง   และไม่มีตำราใดจะหยุดการเคลื่อนม็อบได้สำเร็จ   ทักษิณ ชินวัตรประกาศจะแฉว่าใครคือผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญที่ทำหน้าที่หนุนม็อบพันธมิตรเพื่อล้มรัฐบาลพลังประชาชนในวันรุ่งขึ้นทันที   เวทีเสื้อแดงประกาศว่าจะมีโฟนอินทักษิณทุกวันราวกับเป็นไฮไลต์ของงาน กลุ่มทำแนวร่วมคอมมิวนิสต์กำลังจะใช้นายทุนทักษิณเพื่อสร้างเงื่อนไขความแตกแยกให้คุ้มราคาค่างวดที่สุด    
 
             หากมองปรากฏการณ์นี้ให้เห็นเนื้อแท้  การรุกของม็อบเสื้อแดงครั้งนี้มิได้มีเงินทองจากทุนรอนของอดีตนายกฯทักษิณเป็นเดิมพัน  หากแต่มีอนาคตของประเทศชาติเป็นเดิมพัน  การชำระความแฉข้อมูลออกมาเป็นปรากฏการณ์ที่ฝ่ายถือข้างเข้าพวกรู้สึกเจ็บร้อน แต่ในทัศนะของผู้ถือธรรมเป็นใหญ่กลับมองเห็นว่าการแฉข้อมูลของฝ่ายแดงอาจส่งผลต่อการหลุดจากวังวนหลายประการ    
 
             ประการแรกคือการแฉอย่างถูกทางของเสื้อแดงจะทำให้ข้อเท็จจริงปรากฎต่อสาธารณชน   ไม่ว่าผู้มีบารมีนั้นจะเป็นใคร   หากถือธรรมเป็นใหญ่   เขาต้องไม่โกหกและเขาคือบุคคลที่มีหน้าที่ต้องอธิบายตนเองต่อสาธารณชนถึงจุดยืน (รายละเอียดในตอนต่อไป)
 
             ประการที่สองคือทำให้เห็นพัฒนาการของเหลืองมาสู่แดงที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือของแนวร่วมคอมมิวนิสต์เพื่อทำการล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า  
 
             ประการที่สามคือการสะท้อนให้เห็นความพยายามเอาชนะกันของทั้งสองฝ่าย   ความพยายามเอาชนะแสดงว่าทั้งสองฝ่ายยังไม่ชนะ   การเห็นความพยายามเอาชนะเท่ากับได้เข้าใจถึงความพ่ายแพ้ของทั้งคู่
 
            ประการที่สี่ทำให้เห็นความพังสลายของเผด็จการรัฐสภาสองกลุ่มและทำให้เข้าใจว่าเหตุแห่งความพ่ายแพ้นั้นมาจากอะไร     
 
        นี่คือโรงมหหรสพชั้นดีสำหรับผู้ใฝ่ศึกษาผ่านการแสดงตบตาฉากต่อฉาก   ที่จะทำได้เรียนรู้ถึงธาตุแท้ของปรากฏการณ์ต่างๆ และทำให้ขบวนการประชาธิปไตยได้มีโอกาสอธิบายให้เห็นการทำแนวร่วมของคอมมิวนิสต์ในแต่ละขั้นตอนในทุกมิติ  
 
              ทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคพลังประชาชนต่างไม่ชนะทั้งคู่  พวกเขากำลังสะสมความพ่ายแพ้ทุกวัน!
 
            ความพ่ายแพ้ของประชาธิปัตย์คือการถ่มน้ำลายรดฟ้า  ก้มหน้าแจกเงินแบบประชานิยมทั้งที่เคยประนามพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในเรื่องนี้มาก่อน     และเป็นความพ่ายแพ้ของสภาคนส่วนน้อยคือการปฏิเสธวิถีเจรจาในสภาคนใส่สูทมาสู่การเคลื่อนด้วยพลังประชาชนในท้องถนน    คนเสื้อแดงพยายามจะกรุยทางสู่ชัยชนะด้วยเงื่อนไขรัฐประหาร   หากพิจารณาให้เห็นชัดไม่ว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดงพวกเขากำลังแสดงความอ่อนแอออกมาและกำลังนำพาประชาชนที่เข้าร่วมพ่ายแพ้ตามไปด้วย    ความพยายามสร้างเงื่อนไขใหม่ให้พันธมิตรเสื้อเหลือง  กลายเป็นฝ่ายปฏิกิริยาออกมาต้านกระแสเสื้อแดงอีกครั้ง   ยังไม่สำเร็จผล  ผู้คนยังมีความทรงจำดีเยี่ยมต่อการจบลงของม็อบพันธมิตร193 วันที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด  การเมืองใหม่ไม่เกิดขึ้นจริงดังปากว่า  รัฐบาลประชาธิปัตย์กำลังจนตรอกใช้เงินซื้อการปกครอง การตั้งพรรคพันธมิตรเป็นเพียงการแก้เก้อ   คำถามคือความพยายาม “เสี้ยม” ด้วยการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการปะทะกันของมวลชนเผด็จการคู่ทั้งคู่จะสำเร็จหรือไม่   เนื่องจากพันธมิตรเสื้อเหลืองหมดเงื่อนไขในการขับเคลื่อนมวลชนออกมา   ถ้าหากนั่นไม่ใช่เป้าหมาย   การยั่วยุของกลุ่มคนเสื้อแดงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารจะนำสู่เงื่อนไขการปราบปรามสำเร็จหรือไม่   และหากสำเร็จได้ด้วยวิธีดังกล่าวประเทศชาติจะพ่ายแพ้และพากันพังตามไปด้วยหรือไม่   ?
 
              แต่ที่แน่ชัดที่สุดการเคลื่อนของขบวนการประชาชนจากเสื้อแดงมาสู่เสื้อเหลืองสะท้อนความพ่ายแพ้ที่ชัดเจนที่สุดณวันนี้คือ การยึดติดกับกฎหมายรัฐธรรมนูญและการปฏิรูปการเมืองของชนชั้นปกครอง    ลัทธิรัฐธรรมนูญและนักวิชาการสายเสาค้ำกำลังแพ้อย่างราบคาบต่อกฎเกณฑ์  นั่นคือการปฏิรูปที่ล้มเหลวซ้ำซาก  ความพ่ายแพ้ครั้งนี้คือความพ่ายแพ้ของลัทธิรัฐธรรมนูญต่อขบวน”ปฏิวัติประชาธิปไตย”  นั่นเอง   
 
              การทำลายของขบวนการแนวร่วม
 
             ที่ใดมีม็อบที่นั่นมีระบอบเผด็จการ  ในอีกนัยหนึ่งคือ การต่อสู้ริมถนนของประชาชนคือการต่อสู้กับการปกครองในระบอบเผด็จการ หรือเพราะการเมืองเป็นเผด็จการ  จึงจำเป็นต้องมีม็อบ  ม็อบคือปรากฏการณ์   เผด็จการคือธาตุแท้  หากมองปรากฏการณ์ม็อบเสื้อแดงและดูแคลนการโฟนอินของทักษิณว่าเป็นเพียงการเคลื่อนเลียนแบบเสื้อเหลืองนั้นเป็นการคาดการณ์ที่ผิด   เพราะเสื้อแดงบุกครั้งนี้   เป็นการบุกทำลายล้างอย่างแท้จริง การโค่นล้มซึ่งกันและกันระหว่างเผด็จการสองกลุ่มกำลังจะเกิดขึ้นอย่างเอาเป็นเอาตาย     
 
             เห็นชัดว่าขบวนการแนวร่วมคอมมิวนิสต์กำลังใช้เผด็จการรัฐสภาเป็นเงื่อนไขสร้างความแตกแยกนำสู่
ความรุนแรง   ในทัศนะของนักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ   การเคลื่อนของม็อบเสื้อแดง  มิได้ซับซ้อนเพราะพวกเขาไม่ใช่แนวร่วมมุมกลับเช่นเสื้อเหลือง   พวกเขาระบุความต้องการชัดเจนว่าต้องการทักษิณ ชินวัตรและการปฏิเสธรัฐธรรมนูญปี 40  เพื่อใช้เป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหว    นักยุทธศาสตร์ยุทธวิธีมองสถานการณ์ออกว่าการรวมตัวของคนเสื้อแดงในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเดียวคือการยั่วยุให้เกิดการทำรัฐประหาร   เพราะพวกเขารู้ดีว่าไม่มีทางสู้ในสภากับพรรคเผด็จการรัฐสภาเก่าแก่ที่สุดอย่างประชาธิปัตย์ให้ชนะได้    การนำทหารเข้ามาเป็นเกมที่ง่ายกว่าเพราะทหารอ่อนการเมือง    การยั่วยุเจ้าหน้าที่ให้ปราบปรามเป็นงานหลักของม็อบเสื้อแดงครั้งนี้เป็นไปเพื่อลากดึงกองทัพเข้ามาเกี่ยวข้อง   หากทำสำเร็จจะทำให้เกิดการเปิดศึกครั้งใหม่  เกิดการขยายผลความแตกแยกจากประชาชนสู่กองทัพ  นั่นเท่ากับว่าการทำแนวร่วมคอมมิวนิสต์กับคนเสื้อแดงและกองทัพไทยประสบผลสำเร็จ    กองทัพไทยก็จะถูกทำลายไปด้วย   สายข่าวรายงานว่าสิ่งใดที่คนเสื้อเหลืองเคยทำ  คนเสื้อแดงจะทำบ้าง  และพวกเขาเตรียมตัวพร้อมต่อความเสียหายทุกรูปแบบทั้งต่อชีวิตและต่อทรัพย์สินถึงขั้นยอมพลีชีพ
 
             การสู้ครั้งนี้มิได้เอาเบ้านเอาเมืองเป็นที่ตั้ง  แต่เอาบ้านเอาเมืองเป็นข้ออ้างที่จะเอาชนะกัน   ไม่คำนึงถึงวิธีการ  ขอให้ชนะเท่านั้นโดยมีเลือดเนื้อประชาชนเป็นเดิมพัน   และมีความล่มจมหายนะของประเทศชาติเป็นผล  และหากเป็นไปตามแผนการห้ำหั่นกันของเผด็จการทั้งสองฟาก  จะทำให้เกิดการบั่นทอนทำลายความมั่นคงของชาติเพื่อเข้าไปเริ่มวงจรอุบาทว์ของการยึดอำนาจทำรัฐประหารและการโยนงานไปให้เผด็จการรัฐสภาเล่นเกมกันต่อไม่มีวันจบสิ้น   จนกว่าจะเกิดมิคสัญญีกลียุคสงครามกลางเมืองตามทฤษฎีปฏิวัติรุนแรงแบบคอมมิวนิสต์   โดยใช้กองทัพประชาชนที่เสกขึ้นมาด้วยมนตราของแกนนำแนวร่วมคอมมิวนิสต์ของทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดง   
 
             ปรากฏการณ์นี้กำลังสะท้อนให้เห็นการหักเหของทฤษฎีปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศไทยที่ไม่เหมือนใครในโลก   นักทฤษฎีเคยเขียนไว้ว่าชนชั้นกลางคือคือมวลชนสำหรับการปฏิวัติประชาธิปไตยทั่วโลก  หากแต่ในประเทศไทยสถานการณ์กลับผกผัน   มวลชนชนชั้นกลางได้กลายพันธุ์ไปเป็นมวลชนเผด็จการรัฐสภาที่มีแนวร่วมคอมมิวนิสต์ครอบงำแม่ทัพอีกต่อหนึ่ง    นี่คือสถานการณ์พิเศษ   ที่หากผู้ไม่เข้าใจวิธีคิดเผด็จการคอมมิวนิสต์และความเชื่อเรื่องการโค่นล้มทำลาย   จะไม่สามารถอ่านเกมนี้ออกได้
 
                ประชาชนชี้ขาดการเปลี่ยน   ชนชั้นปกครองดื้อแพ่ง
 
               นักวิชาการของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติอธิบายวิเคราะห์เหตุการณ์ถึงอนาคตอันใกล้ว่าหากเกิดการพังสลายลงอีกครั้งหนึ่งของการทำขบวนการแนวร่วมในครั้งนี้  จะเกิดสิ่งใหม่ขึ้นในประเทศไทย  และสิ่งนั้นได้ปรากฎชัดขึ้นแล้วจากการเปลี่ยนแปลงในเบื้องต้นซึ่งเป็นชัยชนะของขบวนการประชาธิปไตยต่อลัทธิรัฐธรรมนูญคือเกิดการเปลี่ยนแปลงทางความคิดขึ้นในกลุ่มนักวิชาการของชนชั้นปกครองทั้งในสถาบันพระปกเกล้าและนอกสถาบันฯ    นอกจากนี้ยังเกิดการคลี่คลายขยายผลและการเปลี่ยนแปลงทางความคิดของประชาชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มนักเคลื่อนไหวที่เกาะติดสถานการณ์   แต่ในกลุ่มชนชั้นปกครองกลับเห็นการเปลี่ยนแปลงน้อยมากจนถึงน้อยที่สุดหรืออาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มีเลย
 
               ข้อเท็จจริงที่พึงสังวรณ์คือการที่นักวิชาการของชนชั้นปกครองเริ่มเปลี่ยนมิได้หมายความว่าชนชั้นปกครองเองจะยอมเปลี่ยน   ดังนั้นหากจะพูดถึงการเปลี่ยนแปลงณบรรทัดนี้   การพูดถึงการเปลี่ยนแปลงของประชาชนน่าจะเป็นสิ่งที่สอดคล้องมากที่สุดในสถานการณ์ที่มุ่งหวังการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในขณะนี้   หากประชาชนชาวไทยทุกคนมีประเทศชาติเป็นเดิมพัน  หากประชาชนหลุดจากขบวนการแนวร่วม  เป็นไปได้ว่าจะเกิดการปิดล้อมชนชั้นปกครองครั้งยิ่งใหญ่และนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแบบนี้น่าจะนำสู่การเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกแผ่นดินได้
 
               คำถามคือหากประชาชนพร้อมเปลี่ยน และผู้ปกครองดื้อแพ่งไม่ยอมเปลี่ยน จะเกิดอะไรขึ้น ?     คำตอบก็คือการก่อม็อบชุมนุมริมถนนดังปรากฏการณ์ม็อบทั้งหลายที่ผ่านมา   ดังนั้นการเปลี่ยนของประชาชนจึงเป็นการเปลี่ยนอย่างจริงจัง   ไม่ใช่การทำเป็นแกล้งเปลี่ยนของชนชั้นปกครองหรือแกนนำมวลชนแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ต่างออกมาแก้เก้อ    การรวมตัวของประชาชนเหนียวแน่นขึ้นเรื่อยๆจากคนกลุ่มน้อยมาสู่คนหมู่มาก    จากนั้นขบวนการประชาชนมีพัฒนาการต่อเนื่องเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว  เหตุผลของการรวมตัวก็เพื่อค้านกับอำนาจของชนชั้นปกครอง    แต่พลังการเปลี่ยนแปลงนี้ยังไม่ทรงพลังที่สุด  เพราะฝูงชนยังไม่ได้รับการยกระดับและถูกครอบงำด้วยการเมืองฝ่ายซ้ายที่นำการเมืองของชนชั้นปกครองมาเป็นเงื่อนไขในการขับเคลื่อน    
 
              วิธีการดื้อแพ่งของชนชั้นปกครองที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงก็คือการแอบถอดสูทแล้วเข้าชักใย
การเคลื่อนไหวของมวลชน    แทนที่เขาจะใช้สภาคนใส่สูทเป็นเวทีการต่อสู้    ชนชั้นปกครองขี้ขลาดกลับแอบลักลอบมีความสัมพันธ์กับแกนนำม็อบบนเวทีเสื้อเหลืองคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง    และมีส่วนการนำพาประชาชนไปตายหลายศพโดยที่พวกเขาไม่ต้องรับผิดชอบ    
 
              นักทฤษฎีของขบวนการประชาธิปไตยมีหน้าที่ต้องสะท้อนธาตุแท้ของปรากฏการณ์นี้ว่าแท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นม็อบเสื้อเหลืองหรือม็อบเสื้อแดง  แกนนำของพวกเขาคือกลุ่มเดียวกัน  หากแต่กำลังเล่นกันคนละบทเพราะพวกเขามีหนี้การจองเวรที่ต้องชำระสำคัญสามประการคือล้มปืน ล้มทุน ล้มเจ้า ตามทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์นั่นเอง   
 
             ครั้งหนึ่งในที่ประชุมของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติที่โรงแรมรัตนโกสินทร์  สมาน ศรีงามเลขาธิการขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ  แกนนำคณะธรรมยาตราชุดขาวฟันธงเอาไว้ว่าเมื่อถึงเวลาก็จะพบความจริงแท้ที่ว่าเสื้อเหลืองและเสื้อแดงคือกลุ่มเดียวกัน   แกนนำซ้ายทำการเคลื่อนไหวสลับสับเปลี่ยนบทกันในทุกกลุ่มเพื่อหาเงื่อนไข “อะไรก็ได้” ต่อสู้กับอำนาจรัฐเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทยด้วยวิธีการปฏิวัติรุนแรง  โดยมีเป้าหมายสำคัญสามประการคือ การล้มปืน ล้มทุนและล้มเจ้าให้สำเร็จ   เขากล่าวว่าแกนนำของทั้งสองกลุ่ม  พร้อมจะโยกย้ายเปลี่ยนสีเสื้อใส่ได้เสมอเมื่อเงื่อนไขอำนวย  ในขณะนี้พวกเขาจำเป็นต้องเล่นไปตามบทที่กำหนดให้เล่นมาตั้งแต่แรกมากกว่า   จึงยังไม่สามารถเปบี่ยนสีเสื้อที่ใส่ได้   
 
              “สิ่งที่เสื้อแดงทำอยู่ก็คือการทำตามทฤษฎีของสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์เรื่องมวลชนล้อมรัฐ”   เสื้อแดงทำตามทฤษฎีแกนนำเสื้อเหลือง   ข้อเท็จจริงคือแกนนำของทั้งสองเวที  สองสีเสื้อคือคนกลุ่มเดียวกันที่ทำแนวร่วมและใช้ประโยชน์จากเผด็จการทั้งสองฟากอยู่   
 
               ชนชั้นกลางกลายเป็นแนวร่วมความบริสุทธิ์กลายเป็นความเขลา
 
             ลองศึกษาย้อนกลับไปดูการทำงานมวลชนของขบวนการคอมมิวนิสต์และขบวนประชาธิปไตยในอดีตการเคลื่อนไหวมวลชนของคอมมิวนิสต์มุ่งลงที่การจัดตั้งทางความคิดในกลุ่มชนรากหญ้าคือเกษตรกรชาวนามาก่อน  กลุ่มผู้ใฝ่ศึกษาลัทธิคอมมิวนิสต์ในอดีตจึงมิได้มีเพียงนักศึกษาเท่านั้น   ทั้งนักศึกษาและชาวนาต่างเข้าป่าไปศึกษาลัทธิเหมา ก่อนออกจากป่ามาเป็นผู้พัฒนาชาติจนถึงปัจจุบัน    แต่ก่อนชนชั้นกลางดูแคลนม็อบเกษตรกรที่เข้ามาปิดล้อมทำเนียบเป็นแรมเดือนโดยไม่รู้ว่ามีการเคลื่อนไหวของกลุ่มซ้ายแทรกอยู่    การเรียกร้องความเป็นธรรมเกิดขึ้นกับชนชั้นแรงงานก่อนชนชั้นกลางพันธมิตร  ปรากฏการณ์เกษตรกรชาวไร่ชาวนาที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาลทุกรัฐบาล  เกิดขึ้นบ่อยจนผู้คนไม่ให้ความสนใจโดยเฉพาะชนชั้นกลางที่มีลักษณะต่างคนต่างอยู่และไม่ให้ความสำคัญกับการเมือง    ข้อเท็จจริงที่ต้องชี้ให้เห็นคือเมื่อเทียบม็อบชนชั้นกลางกับม็อบเกษตรกรรากหญ้าที่เคยล้อมทำเนียบรัฐบาลมาก่อนแล้ว   ม็อบเกษตรกรกลับมีลักษณะก้าวหน้ามากกว่ามวลชนชั้นกลางที่เพิ่งเคยเข้ามาเคลื่อนไหวทางการเมืองแบบพันธมิตรเสื้อเหลือง    จนอาจกล่าวได้ว่ามวลชนชั้นแรงงาน  เหมาะกับงานปฏิวัติมากกว่ามวลชนชั้นกลางที่ยังต้องใช้รูปแบบเวทีคอนเสิร์ต  ใช้ความเป็นผู้มีฐานันดรของคนที่เข้าร่วมสร้างความน่าเชื่อถือเพื่อดึงคนเข้าร่วมเพิ่ม   พวกเขาไม่ได้เริ่มต้นจากการสร้างมวลชนด้วยหลักการ  ลักษณะเด่นของม็อบชนชั้นกลางพันธมิตรจึงยังคงติดยึดพวกพ้อง  ผนวกกับข้อผิดพลาดที่ม็อบชนชั้นกลางพันธมิตรถูกลากจูงไปผิดทางคือการนำพาโดยการนำของแนวร่วมสู่วิธีคิดแบบเดิมของการปฏิรูป   กลายเป็นฝ่ายปฏิกิริยาและกลายเป็นขบวน counter ฝ่ายปฏิวัติในที่สุด 
 
             อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวกับมวลชนรากหญ้าก็มีข้อเสียตรงที่การเคลื่อนไหวของมวลชนรากหญ้ามีลักษณะเป็นกลุ่มก้อนขึ้นตรงกับผู้นำ  ซึ่งสามารถกลายเป็นปัญหาได้ในกรณีที่ผู้นำแพ้กิเลส แสวงหาโอกาสและความสุขส่วนตัว   มักถูกซื้อตัวหรือยื่นข้อเสนอโดยฝ่ายทำลายของการเมืองเผด็จการได้  ใกล้เคียงกับกรณีของสหภาพแรงงานต่างๆ   
 
             แต่ก่อนชนชั้นปัญญาชนเคยดูแคลนชนชั้นแรงงานรากหญ้าที่ยอมรับเงินลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง    แต่ในปัจจุบันกลับพบรูปแบบความไม่รู้เท่าทันแบบใหม่ของชนชั้นกลางคือ  การตกเป็นเครื่องมือของเผด็จการสองขั้ว    ทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต่างออกมาสู้กันให้ชนชั้นปกครองจากสองฝั่งรัฐบาล   นักทฤษฎีในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติติดตามดูพัฒนาการของมวลชนทั้งสองกลุ่ม  และเห็นชัดว่าณวันนี้ ชนชั้นกลางยังมิได้มีความก้าวหน้าที่จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงได้เพราะพวกเขามิใช่ลักษณะประชาชนก้าวหน้าอย่างแท้จริง  เนื่องจากได้ถูกครอบงำและกลายพันธุ์ไปเป็นมวลชนที่ทำหน้าที่เพียงแค่ปกป้องแนวทางเฉพาะกลุ่มและเฉพาะสีมากกว่าการปกป้องประเทศชาติ
 
             สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือลักษณะการเข้าพวกของชนชั้นกลางมิได้เกิดจากการพยายามหาข้อมูลศึกษา  แต่เป็นการเข้าพวกตามตัวบุคคลที่มีฐานะทางสังคม  มีหัวโขนทางวิชาการ   มีฐานันดรทางสังคม  เกิดการยึดติดตัวบุคคล  เชื่อภาพลวงตาของวีรบุรุษมากกว่าการเข้าถึงหลักการ   การอ้างชื่อชนชั้นสูง  ราชนิกูล  การสนับสนุนของ”ผู้ใหญ่” สร้างความโน้มเอียงทางความเชื่อและความน่าจะเป็นว่าจะพากันชนะที่พบเห็นตลอดเวลาบนเวทีพันธมิตรฯ    ได้พิสูจน์ความอ่อนแอในการนำพาพวกเขาไปสู่ความคิดผิด มิจฉาทิฎฐิและวังวนแบบเดิมๆ
 
             หากจะเป็นสัมมาทิฎฐิได้  พวกเขาต้องมีฐานความคิดอิงธรรมะคือการคิดแบบถูกธรรม  คือการศึกษาโดยยึดหลักกาลามสูตร การเข้าพวก  และการเห็นแก่พวก  โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง   ทำให้เกิดจุดอ่อนในการเคลื่อนไหว และเป็นเหตุให้กลุ่มคนเสื้อแดงหยิบจับมาเป็นจุดโจมตีบนเวทีในขณะนี้  ทั้งกรณีพลเอกเปรม ติณสูลานนท์และพลเอกสุรยุทธ จุลลานนท์   ด้วยเหตุนี้มวลชนที่เข้าร่วมทั้งสองฝ่าย  หากยังประสงค์จะเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยเจตนารมณ์บริสุทธิ์จริงสมดังความตั้งใจเดิม  เมื่อรู้เท่าทันการนำแบบหลอกลวง   พวกเขาจึงจำเป็นต้องเริ่มต้นเปลี่ยนด้วยตัวของเขาเอง  คือเริ่มเปลี่ยนจากวิธีคิดก่อนอื่นใด  เพื่อหลุดจากการนำแบบผิดๆและวังวนแห่งความเขลาที่ครอบงำพวกเขามาได้ระยะหนึ่งออกเสียก่อน  
 
             ลักษณะเปลี่ยนที่สอดคล้องและที่ไม่สอดคล้อง
 
             การเปลี่ยนแปลงในสังคมมนุษย์ หากเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลันอาจทำให้เกิดผลในทางร้ายต่อผู้คนในสังคม ตัวอย่างเช่นการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ  อาทิตลาดหุ้นร่วง เกิดสภาพหนี้สิน ฯลฯ ทำให้ไม่สามารถยอมรับสภาพนั้นได้ ทำให้เกิดการฆ่าตัวตายเป็นต้น การหยิบยื่นการเปลี่ยนแปลงในทันทีทันใดแบบนั้น หากมิได้เป็นไปด้วยความเมตตาปรารถนาดีต่อมนุษย์แล้วเป็นการเปลี่ยนแปลงตามใจผู้ถืออำนาจ  เป็นได้แค่เพียงเผด็จการของผู้ไม่มีธรรม   ซึ่งอาจนำสู่อนันตริยกรรมได้ 
 
             ลักษณะการเปลี่ยนแปลงด้วยการเลิกทาสของรัชกาลที่ 5 ทรงกระทำอย่างระมัดระวัง  เพราะสังคมทาสยังเป็นสังคมที่อ่อนแอพึ่งพาตัวเองไม่ได้  การดำเนินการของพระองค์ท่านจึงทรงทำอย่างละเอียดรอบคอบ  ไม่ทรงหักด้ามพร้าด้วยเข่า ทั้งที่มีพระราชดำริมาแต่ต้นรัชกาล  แต่ก็ทรงทำสำเร็จในปลายรัชกาล เพราะทรงพบอุปสรรคที่ข้าราชบริพารไม่เห็นด้วย แต่ก็ทรงดำเนินการด้วยกุศโลบายอย่างรอบคอบ  ดำเนินการตามลำดับขั้นจนสำเร็จ  ทรงสละพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อไถ่ถอนทาส พระราชทานทุนทรัพย์ให้ลูกทาสได้ใช้เป็นทุนในการทำมาหากิน และทรงตั้งโรงเรียนลูกทาสเพื่อขยายโอกาสทางการศึกษา เพราะทรงเป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย ที่ยึดในหลักความเสมอภาคสูงสุดของมนุษย์  ตามพระราชบัญญัติรัตนโกสินทร์ศก 124 หรือพ.ศ. 2448  
 
             สถานการณ์ก้าวสู่การปลี่ยนแปลงของการเมืองไทยในปัจจุบัน  แตกต่างจากสมัยพระพุทธเจ้าหลวงรัชกาลที่๕ กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงสมัยรัชกาลที่.๕ เกิดขึ้นเพราะผู้ปกครองต้องการเปลี่ยน  และเป็นผู้กุมทิศทางการเปลี่ยน  แต่ในปัจจุบันเกิดจากการที่ประชาชนเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและชนชั้นปกครองไม่ต้องการให้เปลี่ยน   ซึ่งเป็นความต้องการที่แตกต่างกัน
 
             แต่สถานการณ์ในประเทศไทยกลับวิปริตซับซ้อนมากกว่านั้นตรงที่เมื่อชนชั้นปกครองไม่ต้องการเปลี่ยนพวกเขาจึงเลือกเป็นมิตรกับขบวนการประชาชนและค่อยๆแทรกแซงการเคลื่อนไหวด้วยการเข้าร่วมกับขบวนการประชาชน  และใช้ประโยชน์จากประชาชน  ปัญหายังสะสมหมักหมมมากว่านั้นคือการที่มีกลุ่มราชนิกูลฝั่งขวา  และกลุ่มชนชั้นปกครองผู้ใหญ่มากบารมีเข้าร่วมกับขบวนการประชาชนและตกอยู่ในกับดักของการเมืองคอมมิวนิสต์ที่ “ดักทาง” อยู่ตามทฤษฎีการทำแนวร่วมชั้นสูง   สถานการณ์ในประเทศไทยในขณะนี้จึงไม่ต่างจากโรงมหรสพขนาดใหญ่   จุด้วยปริมาณคนดู   มีฉากและแสงสีตระการตาด้านเทคนิค  แต่มีคนเขียนบทยอดแย่และผู้กำกับไร้ฝีมือ   
 
             ในทัศนะของนักปฏิวัติเมื่อเปรียบเทียบลักษณะของการเปลี่ยนแปลงระหว่างการเคลื่อนไหวของชาวนาจัดตั้งฝ่ายซ้ายและชนชั้นกลางฝั่งขวา  ลักษณะของจัดตั้งฝ่ายซ้ายในกลุ่มเกษตรกรกลับมีลักษณะก้าวหน้ากว่า และมีความพร้อมที่จะเปลี่ยนมากกว่าพวกขวาที่ส่วนใหญ่มีฐานทางสังคมและความเป็นอยู่ดีกว่า  คุณลักษณะของ “การเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง” ในกลุ่มซ้ายจึงมีพลังมากกว่าและสอดคล้องกับลักษณะ “ปฏิวัติ” มากกว่า  ส่วนพวกขวามีลักษณะยึดมั่นถือมั่นสูง  มีความเป็นอยู่ดีกว่า   หากมีการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันกลุ่มขวาอาจรับไม่ได้   กลุ่มขวาจึงไม่มีลักษณะของปฏิวัติหากแต่มีลักษณะเป็นฝ่าย counter การปฏิวัติมากกว่า   และมีแนวโน้มที่จะเข้าไปสู่ขบวนปฏิรูปของชนชั้นปกครองมากกว่าเพราะติดยึดหัวโขนและฐานะทางสังคม    ในขณะที่กลุ่มที่แสวงหาความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงเช่นชาวไร่ชาวนาคือกลุ่มที่มองเห็นระบบความสัมพันธ์รอบตัวมากกว่าเพราะสภาพความเป็นอยู่ที่อัตคัด ความขุ่นเคืองคิดแค้น จากชะตากรรมชีวิต อยู่ในสังคมที่ด้อยกว่าทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม  ทำให้พวกเขามีทัศนะที่กว้างขวางกว่า    เวทีใดที่เปิดให้พวกเขาได้แสวงหาโอกาสและเข้าไปได้ถูกจังหวะ  ก็จะเป็นเวทีที่สร้างพลังได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันเพราะพวกเขาผ่านการบ่มเพาะวัฒนธรรมนักสู้มายาวนานกว่า   ยกตัวอย่างการเคลื่อนของเกษตรกรที่ลานพระรูปทรงม้าที่เดินเท้าไปเสนอการถวายคืนพระราชอำนาจแด่ในหลวงฯเพื่อสร้างรัฐบาลเฉพาะกาลเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2551ที่ผ่านมา    
 
             ส่วนกลุ่มที่ยึดมั่นถือมั่นสูง  ไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงมักเป็นพวก หวาดกลัว มากกว่า กล้าหาญ ส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มที่กลัวผลประโยชน์เสีย กลัวฐานะทางสังคมเสีย  กลัวตระกูลวงศ์เสีย กลัวถูกโดดเดี่ยวจากสังคม ฯลฯ  เหล่านี้จึงเป็นคุณสมบัติที่ไม่สอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลง   กลุ่มขวาจึงเป็นแรงเสียดทาน คัดค้านการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด   และคนกลุ่มใหญ่กลุ่มนี้รวมตัวกันอยู่กับชาวเสื้อเหลืองในช่วงการทำแนวร่วมโดยอ้างการปกป้องสถาบันฯที่ผ่านมา (อ่านเพิ่มเติม “ความจริงของสถานการณ์ “ประเทศไทยภายใต้ยุทธวิธีแนวร่วมสู่ขั้นตอนการทำแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงได้ผล  มหันตภัยครั้งใหม่ที่คนไทยไม่รู้เรื่อง” http://ndmt.multiply.com/journal/item/49/49)
 
                หากสามารถเปลี่ยนความคิดกลุ่มขวาแบบนี้ให้มีจุดยืนใหม่ต่อส่วนรวมคือ มีความกล้าที่จะเสียสละประโยชน์ตน กลุ่มตน และสละพวกพ้องออกบ้าง   ความกล้าก็จะดับความกลัวแบบเดิมๆและวิธีคิดแบบเดิมๆลงไป  แน่นอนในสภาพการเปลี่ยนทางสังคม ต้องเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิง ส่วนการเปลี่ยนในระดับปัจเจก อาจไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงในทันทีทันใดทุกคน  หากเป็นไปอย่างทันทีทันใดแล้วก็คือการบังคับ มีลักษณะเป็นเผด็จการ ยกตัวอย่างการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ในกัมพูชา ที่นำปัญญาชนไปฆ่าทิ้ง นำคนส่วนใหญ่ของประเทศมาสู่กำลังการผลิตแบบชนชั้นกรรมาชีพทั้งหมด
 
                ดังนั้นหากจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งจึงต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มวลชนทั้งสองกลุ่ม  เพื่อเปลี่ยนมวลชนเผด็จการให้กลายเป็นประชาชนที่ก้าวหน้า   มิเช่นนั้นแล้ว  การจับขั้วคู่ต่อสู้ใหม่อีกครั้งจะเกิดขึ้น   เพราะถ้าหากไม่ยกระดับคนทั้งสองกลุ่ม  ในที่สุดคนทั้งสองสี ก็จะกลายเป็นกลุ่มเดียวกัน  คือกลุ่มแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่เป็นฝ่ายนำสู่สงครามกลางเมือง
 
                เปลี่ยนทั้งองคาพยพ
 
              อย่างไรก็ตามการพัฒนาการของลักษณะมวลชนปฏิวัติในประเทศไทยมิได้เริ่มต้นที่ชนชั้นกลาง  แต่เริ่มต้นจากชนชั้นแรงงาน  เกษตรกรกรชาวนา  ซึ่งเป็นไปตามทฤษฎีปฏิวัติคอมมิวนิสต์ที่เชื่อมั่นในกลุ่มชนชั้นกรรมาชีพและแนวทางปฏิวัติรุนแรง    แท้จริงแล้วกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องสิทธิประโยชน์มาก่อนคือชาวนา  ดังจะเห็นได้จากม็อบเกษตรกรที่ปักหลักอยู่หน้าทำเนียบที่ไม่เคยมีคนให้ความสนใจ  ณวันนี้พวกเขายังคงมีบทบาท มีจัดตั้งของตนเอง   และมีผู้นำที่ยังอิงการขึ้นลงของกระแสทางการเมือง  เมื่อเปรียบเทียบกำลังกันแล้วระหว่างชนชั้นกลางกับชนชั้นชาวนาต่างก็มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงได้ไม่น้อยไปกว่ากัน   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ที่แนวร่วมคอมมิวนิสต์เข้าไปทำแนวร่วมตั้งแต่ชนชั้นแรงงานและชนชั้นกลางไปจนถึงราชนิกูลชนชั้นสูงได้หมด 
 
               ในวันนี้ที่ประเทศชาติต้องการการเปลี่ยนแปลงทั้งองคาพยพ ในทุกมิติ ขบวนปฏิวัติประชาธิปไตยตอบรับพลังของทุกขบวนที่เข้าถึงสัจธรรม  ไม่ว่าจะเป็นสีใด มาจากชนชั้นไหนก็ตาม  เมื่อมีความเห็นเสมอกันได้พวกเขาสามารถนำพาสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างเท่าเทียมกัน 
 
               อย่างไรก็ดีลักษณะก้าวหน้าของการเปลี่ยนแบบปฏิวัติ ที่มิใช่แบบติดตัว ติดตระกูล   มีอยู่ในกลุ่มชนชั้นล่างมากกว่าชนชั้นสูงที่มีลักษณะเสพสุขมากกว่ามากกว่า   ส่วนชนชั้นกลางนั้นมีหัวโขนและฐานะทางสังคมน้อยกว่าชนชั้นสูงแต่มีความเป็นอิสระทางเศรษฐกิจมากกว่าชนชั้นล่างจึงทำให้มีโอกาสเข้าถึงข่าวสารและข้อมูลมากกว่า    หากชนชั้นกลางเสียสละ  อดทน มีเวลาทุ่มเทให้บ้านเมืองอย่างแท้จริง พวกเขาจะช่วยปิดล้อมทางความคิดชนชั้นปกครองได้มากกว่าชนชั้นแรงงาน   จากสื่อที่เขาตอบโต้แสดงความเห็นได้  จากเว็บไซท์   อีเมล์และอินเตอร์เนต ฯลฯ   ดังนั้นการทำงานของขบวนปฏิวัติฯจึงไม่สามารถละทิ้งกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งได้    
 
              บทความของคำนูณ สิทธิสมานเพื่อชี้นำการตั้งพรรคของพันธมิตร  เป็นบทสะท้อนความต้องการสื่อสารทางสื่ออินเตอร์เนตเพิ่มขึ้น    เนื่องจากนั่นเป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้การข่าวฝ่ายประชาธิปไตยทะลวงผ่านไปได้มากที่สุดช่วงหนึ่งของการต่อสู้   จนเป็นเหตุให้เว็บบอร์ดคลื่นวิทยุผู้จัดการต้องปิดตัวลงอย่างถาวร  โดยไม่มีวี่แววว่าจะเปิดขึ้นมาอีก   มิหนำซ้ำข้อมูลและหลักฐานการตอบโต้ต่างๆก็ถูกทำลายไปด้วย   และทำให้ช่องทางการสื่อสารระหว่างมวลชนเสื้อเหลืองถูกปิดกั้นที่จะเชื่อมต่อทำความเข้าใจกับฝ่ายประชาธิปไตย  การปิดช่องสื่อสาร   สะท้อนวิธีคิดแบบเผด็จการชัดเจนที่สุดและผลกระทบดังกล่าวมีต่อการทำมวลชนสัมพันธ์ของพวกเขาเอง  และยอมทิ้งฐานรบสำคัญฐานหนึ่งไปเพราะความพ่ายแพ้เมื่อสิ่งถูกปรากฎ    การจุดประเด็นแก้เก้อเรื่องการตั้งพรรคพันธมิตรในบทความของคำนูณ    โดยอ้างถึงการอภิปราย ”ฆ่าตัวตายหมู่” ของเผด็จการสองกลุ่ม   ยิ่งชี้ให้เห็นความตีบตันในบทบาทการชี้นำทางความคิดของคำนูณชัดเจนที่สุด    การอ้างว่าพันธมิตรขาดตัวแทนทางความคิดเพื่อตอบโต้ในสภาคนใส่สูทอันเป็นเหตุผลชอบธรรมต่อการตั้งพรรคกลายเป็นเหตุผลที่ไร้ราคามากที่สุด   
 
              แท้จริงแล้วหากจะมีการตั้งพรรคการเมือง    ผู้ชี้นำจะต้องอธิบายได้ว่าพรรคการเมืองซึ่งประกอบด้วยอุดมการณ์และแนวคิดเป็นเรื่องสำคัญกว่าการใช้วาจาซัดสาดโต้แย้งแบบการอภิปรายในสภาฯที่พ่ายแล้วอย่างสิ้นเชิงต่อการขับเคลื่อนริมถนนของของขบวนการประชาชน    บทความของคำนูณไม่มีอะไรมากไปกว่าความพยายามชี้นำ “การแก้เก้อ”  ต่อจากสนธิ ลิ้มทองกุล  นายทุนที่เขาจัดตั้งไว้   และแสดงอาการจนแต้มของเขา   ว่าเขาทำม็อบไว้ล้มเหลว  นำสู่การเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้    และพรรคพันธมิตรจึงเป็น “โปรดักท์” สวยหรูไว้หลอกประชาชนต่อไปอีกขั้นตอนหนึ่งเพื่อแสดงฐานะผู้นำของเขานั่นเอง
 
               เปลี่ยนประวัติศาสตร์ VS ประวัติศาสตร์เปลี่ยน
 
               การชี้นำของคำนูณว่าการตั้งพรรคพันธมิตรเป็นความจำเป็นแห่งประวัติศาสตร์นั้นเป็นการพูดเกินจริง  หากการตั้งพรรคนี้เป็นความจำเป็นทางประวัติศาสตร์   ก็เป็นประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบิดเบือนมา ไม่มีเหตุผลอะไรอีกต่อการหลอกลวงตัวเองและประเทศชาติว่า    สิ่งที่ปรากฎอยู่ในปัจจุบันเกิดจากเหตุและผลอันควร    ในเมื่อข้อเท็จจริงปรากฎชัดขึ้นต่อทุกฝ่ายว่าเผด็จการรัฐสภาที่ช่วงชิงอำนาจมาจากพระมหากษัตริย์เมื่อ 76 ปีก่อน  กำลังอ่อนล้า และใกล้จะพังครืนลงมา    และการดำเนินตามการเมืองฝ่ายซ้ายเป็นการไร้ประโยชน์อย่างยิ่งต่อมวลชนเสื้อเหลือง     การยกระดับม็อบพันธมิตรสู่มวลชนประชาธิปไตยสำคัญกว่าการตั้งพรรคการเมืองใหม่เอาใจแกนนำกันเอง     การเมืองใหม่ที่มีประชาชนเป็นโจทย์ตั้งจริง  จะต้องกำหนดบทบาทประชาชนลงไปด้วยแต่ต้น    การคิดเอาเองว่าสมควรตั้งพรรคเองเพราะเหตุผลหาคนโต้กันในสภาแทนพันธมิตรไม่ได้     เป็นเหตุผลที่ตื้นเขินที่สุด  ประเด็นคือหากมวลชนก้าวหน้าจริง  คำนูณมีเหตุผลอื่นใดที่จะนำความก้าวหน้าของมวลชนไป “ติดกับ” วังวนแห่งอำนาจในรูปแบบเดิมๆ  
   
               พรรคการเมืองไม่ใช่แก้ววิเศษสำหรับแก้ปัญหาความล้มเหลวของระบอบ     พรรคการเมืองที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ  จากการรวมตัวกันทางอุดมการณ์   ย่อมต้องมีจุดเริ่มต้น  ต้องมีพัฒนาการ    และไม่สามารถเริ่มต้นแบบการได้แก้ววิเศษมาครอง     ยกเว้นแต่ว่าพรรคใหม่นี้มีอุดมการณ์และจุดยืนที่มาจากแนวคิดที่เป็นเหมือนแก้ววิเศษสุด    จึงจะยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพังทางความคิดแบบเดิมๆได้    หรือคำนูณวิเคราะห์ปัญหาผิดพลาดว่าแท้ที่จริงปัญหาการเมืองการปกครองไทยคือปัญหาระบอบเขาจึงเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกลเกมกาม  ไม่ต่างจากนักการเมืองมีตัณหาทั้งหลาย    หรือว่าตำแหน่งสว.ที่เขาได้รับระหว่างสนธิ ลิ้มทองกุลเคลื่อนไหวทางการเมือง  ทำให้เขามองปัญหาแคบลง  เพราะเขาเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในกับดักนั้นเองเสียแล้ว 
 
               การ “ยกเอาเอง” ว่าเป็นเหตุผลทางประวัติศาสตร์ในปีพ.ศ.นี้ที่ประเทศชาติผ่านการต่อสู้มาอย่างหนักนั้นนอกจากจะไม่สอดคล้องแล้ว   ยังมาจากฐานความคิดหลอกลวงทางประวัติศาสตร์มากกว่าอื่นใดทั้งหมด   จากฐานความเห็นผิด  ยกย่องรัฐบุรุษผิดคน และกล่าวหาผู้ปกป้องสถาบันฯว่าเป็นกบฏ (กบฏบวรเดช)   จับฝ่ายประชาธิปไตยเข้ากรงขัง ยัดเยียดข้อหาคอมมิวนิสต์ให้    เฉกเช่นที่เคยเกิดขึ้นกับอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทรในยุคสภาปฏิวัติมาก่อน     และปล่อยให้ฝ่ายซ้ายอิสระมีอาชีพการงานมั่นคงทำแนวร่วมแบบมั่วซั่วพาคนไปตายต่อไป  นั่นคือการเขียนประวัติศาสตร์ของคำนูณ !!!
 
               ประเทศไทยดำเนินมาถึงช่วงรอยต่อใหม่แห่งกงล้อประวัติศาสตร์  นอกจากจำเป็นต้องมีการชำระประวัติศาสตร์แล้ว   ยังจำเป็นต้องเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่เองอีกต่างหาก   และการร่วมกันเขียนหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ในครั้งนี้   จะต้องเป็นการรับรู้ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ  มิใช่กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง   และย่อมต้องไม่ใช่สภาพการ “จองกฐิน” กินตำแหน่งล่วงหน้าของพันธมิตรในสภาฯ ในท่วงทำนองชี้นำ  และการเขียนประวัติศาสตร์ใหม่ครั้งนี้   จะต้องปลอดจากภัยของแนวร่วมคอมมิวนิสต์ที่ “เล่นผิดบท” มาช้านาน
 
               ดังนั้นหากจะพัฒนาการรวมตัวของประชาชนจากฝูงชนไปเป็นมวลชนที่ทรงประสิทธิภาพ  มีพลัง  จะต้องทำให้พลังมวลชนเหล่านั้นเป็นพลังประชาชนบริสุทธิ์ที่มีความก้าวหน้า  ปราศจากการครอบงำเสียก่อนจึงจะยกระดับจากฝูงชนหรือม็อบไปสู่มวลชนหรือแม็สได้
 
              นั่นหมายความว่าขบวนการประชาชนยังต้องการการเปลี่ยนแปลงอีกระดับหนึ่งคือเปลี่ยนจากปริมาณไป
สู่คุณภาพ    หากประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง   พวกเขาต้องเริ่มเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน  และการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในขณะนี้สำหรับพวกเขาก็คือ  การตั้งคำถามต่อบทบาทของผู้นำที่มีอยู่   จากทุกข้อมูลที่ได้รับ    ที่ผ่านมาทั้งเสื้อเหลืองและเสื้อแดงต่างขยายแสนยานุภาพประกาศศึกกันที่จำนวนคนที่เข้าร่วม   สำหรับการยกระดับการเข้าร่วมของประชาชนจะวัดกันที่คุณภาพของเนื้อหามิใช่ปริมาณของคนที่เข้าร่วม  คราวนี้เสื้อแดงกำลังยกระดับการเคลื่อนไหวสู่คุณภาพใหม่   ที่เขาพยายามให้ต่างจากพันธมิตรคือท่วงทำนองในการใช้วาจาที่ไม่รุนแรงเท่า  ไม่มีลักษณะด่าทอบนเวที   แสดงความสุขุมมากกว่า  หากมีลักษณะการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในวิธีการแสดงออกของการไม่เห็นด้วยที่รุนแรงน้อยกว่า   และข้อมูลที่นำมาแฉมีฐานจากข้อเท็จจริง  มีความน่าเชื่อถือ  การพูดบนเวทีของเสื้อแดงจึงจะเป็นประโยชน์   เพราะอย่างน้อยก็เป็นการโค่นล้มบนหลักการและเหตุผล 
 
             ขบวนการประชาชนที่จะขับเคลื่อนสู่การเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ  จะต้องเป็นมวลชนที่มีพลัง    มีอิสระทางความคิดสูงและที่สำคัญจะต้องไม่ถูกครอบงำได้โดยง่าย  มวลชนที่จะนำสู่การเปลี่ยนแปลงก็คือมวลชนประชาธิปไตย Democratic Mass  
 
            มีทางเลือกอื่นใดให้ประเทศชาติได้อีก  นอกจากการขยับมาทำความเข้าใจในสิ่งที่เพิกเฉยละเลย  และดูแคลน  ละทิ้งอัตตา   วงศ์ตระกูล   สังคม  และชนชั้น  มาสู่ความจริงที่แสนเจ็บปวดว่า   การผิดต่อเจตนารมย์บรรพบุรุษผู้สร้างชาติด้วยพระปรีชาญาณ   คือกรรมหนักต่อแผ่นดิน ! 
    
              
 
 
 
             (อ่านต่อตอนหน้า)
 

 

 
 


 
   

 


         
 อ่านบทความที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้อง...
  
 
         
  
  
  
  
  
 



Webboard is offline.