เขียนโดย นางแก้ว โพส ๑๕ ส.ค.๒๕๕๒:๑๘.๕๐ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๘ มี.ค.๒๕๕๑
"การแก้เก้อของนักฉวยโอกาสระหว่างนักสู้ริมถนน(พธม.)และเสือนอนกินในสภาผู้ทรงเกียรติ(ปชป.) |
หลังการปกครองของรัฐบาลอภิสิทธิ์ไม่ถึงสามเดือน ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่คือการแตกคอกันระหว่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ จนทำให้เกิดการบริภาษถึงรัฐบาลชุดปัจจุบันอย่างถึงพริกถึงขิงบนเวทีคอนเสิร์ตโคราชในต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สื่อผู้จัดการรายงานต่อว่าสนธิ ลิ้มทองกุลได้ทำการ ทวงบุญคุณ ว่ารัฐบาลประชาธิปัตย์เกิดขึ้นได้บนซากศพพี่น้องพันธมิตรฯ และกล่าวว่าสมาชิกพันธมิตรตายไป 10 บาดเจ็บนับร้อยแต่พันธมิตรกลับไม่ได้อะไร
หากมองปรากฏการณ์นี้แบบผิวเผินสมาชิกพันธมิตรฯเองก็ยังคงยอมรับก้มหน้าต่อชะตากรรมเห็นใจแกนนำต่อไป แต่หากมองในสายตาของผู้คาดหวังในคุณสมบัติของผู้นำแล้วก็จะไร้ความเห็นใจเพราะการลำเลิกบุญคุณคราวนี้เท่ากับยอมรับอย่างเป็นทางการว่าที่ผ่านมาการเคลื่อนไหวของพันธมิตรฯ มีพรรคประชาธิปัตย์อยู่เบื้องหลังทั้งๆที่พวกเขาปฏิเสธมาโดยตลอด ประชาชนที่เข้าร่วมกับพันธมิตรช่วงหลังเกิดจากการหนุนของพรรคประชาธิปัตย์นอกจากจะไม่ใช่มวลชนประชาธิปไตยที่เป็นตัวแทนประชาชนทั้งประเทศแล้ว ยังเป็นมวลชนของพรรคเผด็จการรัฐสภาที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศไทยคือพรรคประชาธิปัตย์ ที่ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้เคยอธิบายไปในบทความก่อนหน้านี้
ประเด็นคือทำไมต้องโกหก ?เพราะการโกหกคือการผิดศีล คนถือธรรมเป็นใหญ่แบบที่สนธิอ้างบนเวทีไม่น่าจะทำให้เขาและแกนนำคนอื่นต้องโกหกประชาชน ยกเว้นว่าสังคมพันธมิตรฯมองเห็นการโกหกเป็นเรื่องเล็ก และการสู้ไม่ต้องคำนึงถึงวิธีการ ขอให้ชนะเท่านั้น และการถูกธรรมไม่สำคัญเท่ากับถูกใจตัวเอง
เป็นที่รู้กันในวงในว่าความเหนียวแน่นของพันธมิตรฯภาคใต้ก็คือฐานเสียงของประชาธิปัตย์ อันนี้หมายรวมถึงบทบาทของนักรบศรีวิชัยใส่ชุดดำทำหน้าที่การ์ดด้วย คำว่า ม็อบมีเส้น สามารถยึดสนามบินสุวรรณภูมิได้จึงเป็นเรื่องจริง ข้อเท็จจริงคือสาธารณชนไม่เคยเชื่อว่าประชาธิปัตย์ไม่เคยอยู่เบื้องหลังม็อบพันธมิตร การแสดงทัศนะของมวลชนในเว็บไซท์ผู้จัดการออนไลน์ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นความขัดแย้งทางความคิดในจุดเริ่มต้นระหว่างการเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์และการเป็นสมาชิกพันธมิตรฯ กว่าจะเกิดการหลอมรวมกันได้ก็ใช้เวลา และม็อบพันธมิตร 193 วันนั้นคือเวลาของการหลอมรวม
คลื่นวิทยุคนรักประชาธิปไตย 92.25 ก็เป็นอีกหนึ่งในสื่อที่สะท้อนให้เห็นพัฒนาการของการสันดาประหว่างพันธมิตรและสมาชิกประชาธิปัตย์ชัดเจนในช่วงเวลาที่เปิดสายให้คนฟังโทรแสดงความเห็น ที่คลื่นนี้ยังได้สะท้อนปัญหารูปธรรมชัดที่สุดเมื่อนักจัดรายการคลื่น 92.25 คนหนึ่งคือสมชาย มีเสน สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์อย่างเปิดเผย จำต้องถอนตัวเองออกจากคลื่นนี้หลังจากมีเรื่องกระทบกระทั่งทางวจีกรรมกับอมร อมรรัตนานนท์ หนึ่งในนักเขียนและนักเคลื่อนไหวบนเวทีพันธมิตรฯเสื้อเหลือง ผนวกกับการยัดเยียดความเป็นประชาธิปัตย์สู่คนฟังรายการในช่วงที่เจ้าของสถานีประชัย เลี่ยวไพรัตน์ตั้งพรรคประชาราชขึ้นมา การอำลาจากของสมชาย มีเสนสะท้อนให้เห็นปัญหาจุดยืนของตนเองต่อ ต้นสังกัด และยังมองไม่เห็นชัดว่าข้อขัดแย้งแบบนี้เกิดจากจุดยืนที่มีต่อส่วนรวมและอุดมการณ์ที่ยึดถือชัดเจน การอิงแอบพวกพ้องวงศ์วานว่านเครือที่ก่อตัวในรูปของผู้ปกป้องผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะในนามของกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆหรือแม้แต่พรรคการเมือง ยังไม่ได้สะท้อนให้เห็นความชัดเจนในอุดมการณ์และจุดยืนของบุคคลคนนั้นต่อสังคมและประเทศชาติได้จริง
ปัญหาจุดยืน
ปรากฏการณ์ การเข้าพวก และความพอใจที่จะขึ้นอยู่กับพวกไหน มักจะขึ้นอยู่กับการกำหนดบทบาทของผู้นั้นหรือการได้รับบทบาทที่ พวก มอบให้ ปรากฏการณ์นี้เคยเกิดขึ้นมาก่อนกับสตรีกร้าวอัญชลี ไพรีรักษ์ที่เคยเป็นหนึ่งในนักจัดรายการที่ ย้ายค่าย จากคลื่น 92.25ไปอยู่กับคลื่นวิทยุผู้จัดการ97.75 ในช่วงต้นๆ และการถูกประณามหลังการเข้ารับการเลือกตั้งในนามพรรคของวัฒนา อัศวเหมแถวปากน้ำสมุทรปราการ กลายเป็นสส.สอบตกก่อนจะกลับมาเป็นพันธมิตรฯเสื้อเหลืองบนเวทีอีกครั้ง ท่ามกลางเสียงคัดค้านและเห็นด้วยสลับกันไป
ปัญหาจุดยืนแบบโยกย้ายเช่นนี้จะนำมาเปรียบกับการเปลี่ยนงานย้ายบริษัทฯ ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของผู้เสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมในอุดมการณ์ที่เขายึดถือ จึงจะสมกับการได้รับการยกย่องว่าคนเหล่านี้คือวีรบุรุษหรือวีรสตรี วีรบุรุษวีรสตรีแบบตกกระไดพลอยโจนเพราะสถานการณ์บังคับไม่น่าจะมีขึ้นได้ในโลกยุคดิจิตอล ที่สังคมข่าวสารแพร่กระจายไปไกลอย่างรวดเร็วขนาดนี้ ยกเว้นว่า สังคมไทยเต็มไปด้วยการตบตา ยกพวกถือหางเข้าข้างตามๆกันไป จนเวทีทุกเวทีคือที่ว่าง เปิดให้เกิด นักฉวยโอกาส ในทุกระดับ
นี่คือเหตุผลสนับสนุนความเป็นไปในสังคมไทยที่ยังไม่เคยรู้จัก วัฒนธรรมประชาธิปไตย อย่างแท้จริง สะท้อนชัดเจนลงตรงประโยคที่ว่าประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย หากมีระบอบประชาธิปไตย ก็ต้องมี สังคมประชาธิปไตย และต้องมี วัฒนธรรมประชาธิปไตย ที่ขึ้นอยู่กับ หลักการ ซึ่งพัฒนามาจาก อุดมการณ์ มีจุดมุ่งหมายชัดเจน มีวิธีการที่ถูกต้องสอดคล้องกับหลักการ
มองในแง่มุมนี้การกล่าวทวงบุญคุณพรรคประชาธิปัตย์ของสนธิ ลิ้มทองกุลจึงสะท้อนให้เห็นความล้าหลังของแกนนำพันธมิตรฯ ตามข้อเท็จจริงที่ ว่า การอุปถัมภ์ กันแต่แรกมิได้อยู่บนพื้นฐานของ อุดมการณ์ และจุดยืนเพื่อส่วนรวมจริง แต่เป็นการร่วมเพื่อเป้าหมายระยะสั้น ในที่นี้คือ การโค่นล้มพรรคพลังประชาชนหรือพรรคไทยรักไทยออกจากการเป็นรัฐบาล ข้อผิดพลาดที่สำคัญที่สุดคือแกนนำพันธมิตรฯได้พาประชาชนบริสุทธิ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแย่งชิงอำนาจกันระหว่างชนชั้นปกครองระหว่างขุมอำนาจเก่าของพรรคประชาธิปัตย์และขุมอำนาจใหม่ของพรรคไทยรักไทยหรือพลังประชาชน
โค่นมันให้ได้ก่อน เสร็จแล้วค่อยว่ากันใหม่ นั่นคือความเชื่อของพันธมิตรฯส่วนใหญ่ การโค่นสำเร็จจริงด้วยการไม่คำนึงถึงวิธีการคือเหตุ และ ผล ของการคิดแบบนั้นคือสิ่งที่สนธิกำลังเรียกร้องหาความเห็นใจจากมวลชนอีกครั้ง ด้วยการประกาศตั้งพรรคการเมืองและอ้างว่าตัวเขาเองจะนำสู่การเมืองใหม่ได้
สภาพของพันธมิตรตอนนี้ก็คล้ายกับแมลงที่วิ่งไปชนสิ่งกีดขวาง พอชนฝั่งโน้นทีหันหัววิ่งมาอีกทางก็ยังชนอีก สมาน ศรีงามเลขาธิการทั่วไปขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติในฐานะผู้เคยเสนอเรื่องการถวายคืนพระราชอำนาจในหลวงแก่สนธิเมื่อปลายปี 2548 กล่าว
ความอ่อนเดียงสาของฝ่ายซ้ายและความไร้ทฤษฎีในการเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรฯ ผนวกกับความล้มเหลวของอดีตนักเคลื่อนไหวอย่างพลตรีจำลอง ศรีเมืองที่มีประวัติเคยนำพาคนไปเสียชีวิตมาก่อนจึงดูเหมือนเป็นส่วนผสมที่ลงตัว แต่ในข้อเท็จจริงมิได้เป็นเช่นนั้น หลังการผลัดขั้วเปลี่ยนอำนาจ จากรัฐบาลพลังประชาชนมาเป็นรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ การสนับสนุนพวกเดียวกันเข้าสู่วงจรอำนาจก็เกิดขึ้น ความเป็นเด็กเส้น เด็กปั้น มีผลงานของ คนกลุ่มเดียวกัน นอกจากจะไม่ได้สะท้อนความเป็นวัฒนธรรมประชาธิปไตยแล้ว ยังล้าหลังแบบระบบอุปถัมภ์ดั้งเดิม ที่คิดว่าเมื่อพวกตนได้เป็นใหญ่ การช่วยเหลือเจือจานจะลงมาถึง พวก ที่เคยหนุนกันมาด้วย วัฒนธรรมการเห็นแก่พวกเดียวกัน เป็นวัฒนธรรมล้าหลัง เป็นค่านิยมที่ต้องได้รับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงเพราะมิได้อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผล ดังนั้น การทรยศ หักหลัง ที่เกิดขึ้นพร้อมเสียงสาปแช่งก่นโคตรด่ากันภายหลัง จึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมาย ระบบความสัมพันธ์แบบนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการนำประชาชนเข้าไปพัวพันกับการเมืองแบบเดิมๆ ด้วยวิธีคิดแบบเดิมๆ และไม่มีวันนำเข้าสู่การเมืองใหม่ได้จริง
หากสังคมมีความเป็นประชาธิปไตยจริง ทุกการเคลื่อนไหวของสังคมจะต้องขึ้นอยู่กับหลักการ สามารถสาวหาเหตุและผลได้ จะไม่มีคำว่า หนี้บุญคุณ และจะไม่มีการร้องทวง ลำเลิก บุญคุณ เหตุเพราะทุกคนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทั้งในเสรีภาพความคิดอ่านการกระทำไร้ซึ่งการบงการทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง และจะไม่มีกรณีผู้ใหญ่เอื้อผู้น้อย และ/หรือผู้น้อยต้องปิดปากเมื่อผู้ใหญ่ทำผิด ฯลฯ ความขัดแย้งต่างๆในสังคมก็จะลดลง มีผลต่อบุคลิกภาพโดยรวมของผู้คนในสังคม ที่สามารถสื่อสารกันด้วยความจริง มีความองอาจกล้าหาญในทุกการกระทำ
นี่คือกรณีศึกษาที่เป็นเหตุเป็นผล คือเมื่อเหตุผิด ผลจึงผิด เมื่อเหตุมิชอบ ผลจึงมิชอบ เมื่อผิดตั้งแต่วิธีคิด ก็ย่อมผิดด้วยการกระทำ ผิดด้วยวิธีการและอื่นๆตามมา นี่คือหลักธรรม ตามหลักอริยมรรคมีองค์แปด คือในการทำการสิ่งใดจะต้องมีทิฎฐิที่ชอบก่อน (สัมมามิฏฐิ) จึงจะนำไปสู่การปฏิบัติชอบ วาจาชอบ เพียรชอบฯลฯ ตามลำดับ
พันธมิตรแนวร่วมมุมกลับ
การ หักลำ ของสนธิ ลิ้มทองกุลบนเวทีคอนเสิร์ตคราวนี้ ทำให้ข่าว บทความ คอลัมน์ต่างๆในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่เคยเขียนชื่นชม เยินยอพรรคประชาธิปัตย์ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมากลายเป็นบทความล้าหลังในทันที เมื่อหัวขบวนหันไปทางไหนหางขบวนก็ต้องหันตามนั้น และบทความที่ล้าหลังไม่สอดคล้องกับภาวะผู้นำของสนธิมากที่สุดตอนนี้คือ บทความเกี่ยวกับสงครามแย่งชิงมวลชนของสิริอัญญาหรือไพศาล พืชมงคล หนึ่งในผู้ร่วมเขียนแถลงการณ์ให้กับคมช.เมื่อครั้งทำรัฐประหาร 19 กันยายน ที่เพิ่งใช้ท่วงทำนองนุ่มๆเขียนชี้นำให้พี่น้องพันธมิตรฯ มาเป็นพลังมวลชนของพรรคประชาธิปัตย์กลายเป็นบทความตกอันดับ ล้าหลังและไร้จุดยืนที่สุดในรอบสัปดาห์
คำถามคือหลังการหักลำคราวนี้ จะเกิดผลสะท้อนอะไรตามมาในกลุ่มคนเสื้อเหลือง นักวิชาการเสื้อเหลือง คอลัมนิสต์เสื้อเหลือง นักกฎหมายเสื้อเหลือง ฝ่ายซ้ายเสื้อเหลือง และสมาชิกประชาธิปัตย์ที่เป็นเสื้อเหลือง และที่สำคัญ ชนชั้นกลางเสื้อเหลือง ทั่วประเทศไทย ?
ที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อเหลืองใช้หลักคิดอะไรในการดำรงอยู่ร่วมกัน ? อุดมการณ์อื่นใดที่ทำให้เขาเชื่อว่า เขากำลังต่อสู้เพื่อความถูกต้อง ? คำตอบที่แคบลงมาจนทำให้เห็นเป้าหมายของนักวางหมากในกลุ่มเสื้อเหลืองชัดเจนที่สุดในขณะนี้คือ สถาบันพระมหากษัตริย์
ไม่น่าแปลกใจที่ช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา การหยิบประเด็นเรื่องการจาบจ้วงสถาบันฯถูกนำมาขยายผลอย่างต่อเนื่องในกลุ่มนำของพันธมิตรฯ เริ่มต้นที่สว.คำนูณ สิทธิสมาน สนธิ ลิ้มทองกุล ฯลฯ การหยิบคำวิจารณ์ไจ อึ้งภากรณ์จากคำพูดของราชนิกูลขึ้นหน้าหนึ่งในเว็บข่าวออนไลน์ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเขาทำงานเป็นทีมด้วยการหยิบประเด็นเรื่องนี้ขึ้นมาเนื่องจากได้เคยทำให้พันธมิตรฯได้ทำแนวร่วมและขยายผลอย่างกว้างขวางมาโดยตลอด (อ่านเพิ่มเติม ความจริงของสถานการณ์การต่อสู้ระหว่างแนวทางสันติของขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติและแนวรุนแรงของแนวร่วมคอมมิวนิสต์ผ่านพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย 12 ตุลาคม 2551 http://ndmt.multiply.com/journal/item/51/51)
คำนูณอธิบายโยงเรื่องการจาบจ้วงสถาบันและปรากฏการณ์ใจ อึ้งภากรณ์ว่าเป็นปัญหาความมั่นคง แท้จริงความมั่นคงแห่งชาติมีต่อทั้งสามสถาบัน คือสถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์ กรณีกฎหมายขายชาติ 11ฉบับที่สนธิ ใช้จุดประเด็นในปลายปี 2548 ที่หอประชุมในสวนลุมพินีในวันนี้ไม่ได้รับการหยิบขึ้นมาพูดในปี 2552 ทั้งๆที่กรณีกฎหมายขายชาติก็จัดอยู่ในปัญหาความมั่นคงเช่นกัน คือปัญหาความมั่นคงของสถาบันชาติ คราวนี้พวกเขาเลือกที่จะเงียบไม่พูดถึง และพอใจกับการหยิบเรื่องสถาบันฯมาว่าอย่างต่อเนื่อง ในปี2549 ที่มีการเคลื่อนไหวเรื่องพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญเป็นประเด็นร้อนในรอบปี สื่อในเครือผู้จัดการทำหน้าที่ต่อต้านคัดค้านเรื่องนี้สุดตัว โดยมีนักวิชาการฐานันดรสว.ต้นสังกัดประชาธิปัตย์ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทองทำหน้าที่หัวหมู่ทะลวงแทงอยู่แนวหน้า ทั้งที่ฝ่ายเคลื่อนไหวเรื่องนี้อธิบายว่าเป็นเรื่องของการรักษาความมั่นคงเช่นกัน คือความมั่นคงต่อสถาบันพระพุทธศาสนา แท้จริงแล้วในสภาวะอนาธิปไตยไร้ขื่อแปในประเทศไทยทำให้เกิดปัญหาความมั่นคงต่อทั้งสามสถาบัน คือสถาบันชาติ สถาบันศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์และเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมานานแล้ว การดำรงอยู่ท่ามกลางความแปรปรวนของปัญหาความมั่นคงนี้มิได้เกิดขึ้นในทันทีที่ใจอึ้งภากรณ์เขียนบทความไร้เดียงสาจาบจ้วง หากแต่มีพัฒนาการมาตลอดหลายสิบปีภายใต้การปกครองระบอบเผด็จการรัฐสภา คำอธิบายของคำนูณจึงขาดซึ่งมิติบางอย่างราวกับการเขียนพล็อตเรื่องสำหรับสร้างหนังการ์ตูน
แน่ชัดที่สุดตามที่ขบวนการประชาธิปไตยเคยทำบทวิเคราะห์ไว้ว่า การทำแนวร่วมของฝ่ายซ้ายในกลุ่มพันธมิตรพุ่งเป้าไปที่สถาบันพระประมุขแห่งรัฐอย่างไม่หยุดหย่อน โดยพวกเขาเล่นบทปกป้อง ในขณะที่ซ้ายที่ฝังตัวอยู่ในกลุ่มอื่นเล่นบทโจมตี นี่คือสถานการณ์การเล่นซ้ายเล่นขวาของคอมมิวนิสต์ยุคปี 2000 ที่มีใจ อึ้งภากรณ์คอมมิวนิสต์ไร้เดียงสาเป็นคนโยนเผือกที่ยังไม่ได้ทอดใส่กระทะก่อนใคร ในเมื่อเผือกยังไม่ร้อน จำเป็นต้องมีคนทำให้น้ำมันเดือด และคำนูณ สิทธิสมานจัดตั้งใหญ่ฝ่ายซ้ายคนสำคัญของสำนักผู้จัดการก็ใช้หัวโขนใหม่ในฐานะสว.ทำหน้าที่เปิดประเด็นนี้ก่อนใคร การตกเป็นแนวร่วมมุมกลับของสนธิ ลิ้มทองกุล ทำให้มวลชนฝ่ายตาม(ติด) สนธิ ลิ้มทองกุล รวมทั้งแม่ยกพันธมิตรภริยานายพลทหาร รวมทั้งราชนิกูลขวาจัดที่อ่อนความรู้ทางการเมืองที่ต่างก็ตกเป็นแนวร่วมมุมกลับกันถ้วนทั่วเริ่มขยับเนื้อขยับตัว เพื่อแสดงบทบาททหารเสือผู้ปกป้องราชบัลลังก์กันอีกครั้งหลังการส่งสัญญาณครั้งใหม่ของสนธิ
และถ้าหากการเมืองไทยไม่ถูกเสี้ยมโดยการเมืองฝ่ายซ้ายที่ทำแนวร่วมจัดตั้งหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและหนุนให้นายทุนสื่ออย่างสนธิ ลิ้มทองกุล ท้าดวลกับนายทุนเทคโนโลยีสื่อสารอย่างอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตรเสียแล้ว ผู้รู้วิชาปฏิวัติก็อาจไม่มีโอกาสได้อธิบายปรากฏการณ์และเหตุที่มาของการระดมมวลชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย โดยมีปัจจัยหนุนสำคัญของระบบเทคโนโลยีการสื่อสารทั้งโทรทัศน์ดาวเทียม หนังสือพิมพ์ วิทยุ อินเตอร์เนต ฯลฯในยุคสังคมข่าวสารดิจิตอลเป็นกลไก
ไม่ว่าสนธิ ลิ้มทองกุลจะประกาศความเก่งกล้าในฐานะสื่อที่มีภูมิหลังของผู้ศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ในรั้วมหาวิทยาลัยอเมริกาอย่างไรก็ตาม การพกพาความมั่นใจเต็มตัวมาด้วยทำให้เขาปฏิเสธแนวทางการถวายคืนพระราชอำนาจที่เสนอโดยขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเมื่อครั้งสู้คนเดียวในนามเมืองไทยรายสัปดาห์ หลังจากการกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณเสียงก้องที่สวนลุมฯ เมื่อปลายปี 2548 สนธิเลือกที่จะร่วมหัวจมท้ายกับฝ่ายซ้ายนักฉวยโอกาสทั้งกระบิเมื่อต้นปี 2549 และยึดเอาแนวทางรัฐธรรมนูญในการเคลื่อนไหวมาตลอด เขาพกพาความมั่นใจเต็มที่ผ่านฐานทัพสื่อที่เขามีไว้โจมตีทักษิณ ชินวัตรแบบทุ่มสุดตัว เขาคือนายทุนแนวร่วมมุมกลับคนสำคัญที่ถูกใช้อย่างเต็มที่ผ่านการเดินหมากของฝ่ายซ้ายที่ฝังตัวอยู่ในเครือหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ
คำว่า แนวร่วม United Front หรือ สหแนวรบ นี่เองที่ทำให้ประชาชนมองไม่ออกว่าการเมืองปัจจุบันมีฝ่ายซ้ายกุมสภาพอยู่ หลังการเคลื่อนไหวมวลชนอย่างเต็มที่ ตัวละครแนวร่วมของฝ่ายซ้ายดาหน้าปรากฎกายมือถือไมค์ไฟส่องหน้าเต็มไปหมดชนิดที่ยอมรับว่าเขาคืออดีตสหายและกล้าบอกว่าเขาคือดีตสหายที่ยอมรับบทบาทของสถาบันฯ เรื่องนี้การเมืองฝ่ายซ้ายกำหนดบทบาทนายทุนสื่อสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นผู้อธิบายบนเวทีพันธมิตรฯเพื่อให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือต่อประชาชนเสื้อเหลือง สนธิ ลิ้มทองกุลแม้รู้ว่าเคลื่อนไหวอยู่กับฝ่ายซ้ายเขาก็ยังยืนยันว่าพวกซ้ายทำอะไรเขาไม่ได้ สำหรับฝ่ายปฏิวัติประชาธิปไตย มองดูสนธิ เหมือนนายทุนที่ถูกจัดตั้งแล้วและกำลังใช้ธุรกิจที่เขาสร้างมาเป็นฐานแนวร่วมสำคัญฐานหนึ่ง เมื่อเขาทำหน้าที่ซัดสาดใส่หนังสือพิมพ์มติชนที่เป็นพื้นที่เปิดให้คอลัมนิสต์ซ้ายประกาศตัวชัดเจนเขียนบทความปฏิเสธสถาบันฯ สื่อจัดตั้งสำเร็จจนอยู่ตัวเช่นเครือมติชนมิได้สะทกสะท้านเพราะสนธิก็คือสื่อแนวร่วมเช่นกัน หากแต่เป็น แนวร่วมมุมกลับ ที่ถูกใช้ประโยชน์ในทางกลับกัน
ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้อธิบายไว้ในบทความเรื่องการทำแนวร่วมไปถึงวังในบทความชื่อ ความจริงของสถานการณ์ ประเทศไทยภายใต้ยุทธวิธีแนวร่วมสู่ขั้นตอนการทำแนวร่วมมุมกลับชั้นสูงได้ผล มหันตภัยครั้งใหม่ที่คนไทยไม่รู้เรื่อง ( http://ndmt.multiply.com/journal/item/49/49) ว่าไม่เคยปรากฎมาก่อนในประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหวในอดีตที่การทำแนวร่วมจะรุกคืบไปถึงสถาบันฯได้เท่าในช่วงนี้ ฐานสำคัญที่ช่วยให้การรุกคืบการทำแนวร่วมไต่ไปถึงวังได้เป็นผลสำเร็จจากการเคลื่อนไหว 193 วันที่ผ่านมามีสาเหตุมาจากนายทุนสื่อไร้เดียงสาอย่างสนธิที่พกความมั่นใจในตัวเองมาเต็มล้น กับแนวร่วมคอมมิวนิสต์ภาพลักษณ์สะอาด ผนวกกับนักเคลื่อนไหวมวลชนชั้นกรรมาชีพและอดีตสหายในป่าที่ต่างปีนป่ายทฤษฎีของตนเองแต่ไม่เคยเป็นผลสำเร็จ
ธาตุแท้
การทำแนวร่วมของพันธมิตรฯกับประชาธิปัตย์จะสำเร็จลงไม่ได้เลยหากไม่มีบทบาทของ ผู้หลักผู้ใหญ่ และราชนิกูลอ่อนการเมือง ในขบวน ม็อบเด็กเส้น ที่ผ่านมา มิใช่สนธิเท่านั้นที่ถูกใช้เป็นหมากหนึ่งในฐานะ ผู้นำ เพราะผู้อิงแอบใช้ประโยชน์จากการทำงานของสนธิ ลิ้มทองกุลมีหลายฝ่าย ทั้งกลุ่มธุรกิจ นายพลทหาร ฯลฯที่อิงกลุ่มอำนาจเก่าและขุมข่ายพรรคประชาธิปัตย์
การทำแนวร่วมเพื่อปกป้องสถาบันฯเป็นเหตุผลหนึ่งและ ได้ใจ มหาประชาชนยิ่งกว่าเงื่อนไขใด ข้อเสนอชั้นต่ำด้วยแถลงการณ์พันธมิตรฯเพื่อเพียงแค่ พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ที่นายสุริยะใส กตะศิลาเด็กปั้นฝ่ายซ้ายเป็นผู้อ่านเสียงดังบนเวทีเป็นอันตกไป เพราะการใช้เงื่อนไข สถาบันฯ มีน้ำหนักมากกว่า แต่แน่นอนที่สุดว่าเหตุผลรองที่ซ่อนแอบอยู่กับการต่อรองผลประโยชน์ และการปกป้องธุรกิจจากกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ ก็มีร่วมอยู่ด้วย ด้วยเหตุนี้เขาจึงมั่นใจเกินร้อยเมื่ออ้างว่าพวกเขาคือทหารเสือพระราชา ทหารเสือพระราชินีที่ทำหน้าที่ปกป้องราชบัลลังก์แต่เพียงกลุ่มเดียว นับว่าเป็นการ กล่าวเกินจริง เพราะผู้ที่ทำหน้าที่นำเสนอแนวทางการ รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคง นั้นมีขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติ ทำมาก่อนและอย่างต่อเนื่องยาวนานมานับแต่การถือกำเนิดคณะราษฎร ซึ่งถือว่าก่อนการถือกำเนิดของพันธมิตรฯหนึ่งชั่วอายุขัยคน หนังสือชื่อ จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร เขียนโดยอ.ประเสริฐ ทรัพย์สุนทร อธิบายไว้กระจ่างแจ้งว่าจะรักษาสถาบันให้มั่นคงสถาพรนั้นจำเป็นต้องสร้างประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นให้สำเร็จ (อ่านเพิ่มเติมจากเว็บลิงค์ด้านล่าง) มิเช่นนั้นภัยร้ายจากขบวนเผด็จการสองขบวนคือเผด็จการรัฐสภาภายใต้ลัทธิรัฐธรรมนูญที่ให้กำเนิดโดยคณะราษฎร กับเผด็จการคอมมิวนิสต์จะเป็นอันตรายต่อสถาบันนี้ และกัดกร่อนทำลายความมั่นคงแห่งชาติได้ในที่สุด
ที่ผ่านมาพันธมิตรอ้าง การเมืองภาคประชาชน เพื่อ ปกป้องพิทักษ์รัฐธรรมนูญ และจบลงที่ชุมนุม 193 วันในฐานะพสกนิกรผู้เก่งกล้าอาจองราวตำนานบู๊ลิ้มในฐานะทหารเสือผู้ ปกป้องราชบัลลังก์ และมีสัญญากับประชาชนว่าจะทำ การเมืองใหม่ ให้เกิดขึ้น แต่ไม่เคยมีรายละเอียดว่าเขาจะสร้างการเมืองใหม่โดยประชาชนเพื่อปกป้องเทิดทูนสถาบันฯได้สำเร็จโดยวิธีการไหน ? การใช้ใจ อึ้งภากรณ์และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาจุดไฟให้น้ำมันร้อนในครั้งนี้จึงเป็นเกมที่คาดเดาได้ง่ายๆ การชง คนของพวกเรา ไปสู่วงจรอำนาจ ไม่ได้ทำให้เกิดการเมืองใหม่ได้จริง ดังนั้นแกนนำพันธมิตรฯจึงต้องออกมา แก้เก้อ ด้วยการประกาศการตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ โดยอ้างว่าพวกเขาจะนำสู่การเมืองใหม่ได้ด้วยการเมืองภาคประชาชนเหมือนเดิม
การประกาศตั้งพรรคของพวกตน จึงเหมือนการหาโล่ห์กำบังอันใหม่ หากการถือโล่ห์คือการเดินหน้าบุกสู้ศัตรูแต่ขาดอาวุธทิ่มแทงทำลายศัตรู การมีโล่ห์ก็เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง เพราะเขาไม่มีวันฆ่าศัตรูได้สำเร็จ ได้แต่ถือโล่ห์ฝ่าวงล้อมอาวุธออกไป หากไม่มีการจ้วงแทงข้างหลัง คงยังเอาตัวรอดหนีไปตายดาบหน้าได้สำเร็จ
วิธีคิดตั้งพรรคการเมืองเพื่อ เข้าพวก ปกป้องผลประโยชน์ตนปรากฎขึ้นมาก่อน เช่นพรรคประชาราช พรรคมัชฌิมา การตั้งพรรคพันธมิตรฯนั้นถึงแม้จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของพัฒนาการการรวมกลุ่มของประชาชนที่สอดคล้อง ทว่าการตั้ง องค์การพรรค เป็นเรื่องที่มีระบบความคิดมากกว่านั้น เนื่องจากพรรคมาจากความคิด มาจากอุดมการณ์ แต่หากตั้งพรรคเพื่อเข้าพวก แสวงหาแหวนแห่งอำนาจ หรือแม้แต่ร่วมกันหาโล่ห์กำบังตัวเอง ไม่ใช่เพียงแค่ฝ่ายปฏิวัติเช่นขบวนการประชาธิปไตยจะคัดค้านแล้ว แม้มวลชนพันธมิตรด้วยกันก็ต้องร่วมคัดค้าน หากแนวคิดริเริ่มตั้งพรรคนั้นเป็นไปเพื่อหาโล่ห์กำบังตามข้อสันนิษฐาน นั่นเท่ากับว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเมืองของคน ขี้กลัว มิใช่วิถีของผู้กล้า เพราะการ อิงแอบพวก หาพวก ไม่ใช่ความอาจหาญของผู้นำสู่การเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
จุดเริ่มต้น CHANGE
ในช่วงสามปีติดต่อกันขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้อธิบายต่อยอดหนังสือ จะรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ให้มั่นคงได้อย่างไร อย่างเป็นรูปธรรมชัดเจนว่าพรรคการเมืองที่รับมรดกตกทอดทางความคิดคณะราษฎรมามากที่สุดคือพรรคประชาธิปัตย์ และประสบความสำเร็จในการทำให้ปัญญาชนหลายกลุ่มยอมรับว่าประเทศไทยไม่เคยมีระบอบประชาธิปไตย มีแต่เพียงระบอบเผด็จการรัฐสภา คำว่า เผด็จการรัฐสภา ปรากฎดังขึ้นเรื่อยๆจนเกือบจะเหมือนทฤษฎีใหม่ที่ไม่เคยอยู่ในตำรารัฐศาสตร์ประเทศไทยมาก่อน นักปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯ บางคนนำ เผด็จการรัฐสภา ไปปราศรัยบนเวทีพันธมิตรฯราวกับว่าเขาคิดค้นทฤษฎีนี้ขึ้นมาเอง หลายคนเพียงแค่อยากแสดงตนว่าเขาเป็น ผู้รู้ โดยไม่ต้องบอกที่มาของตำรา หนังสืออ้างอิง เพราะพวกเขาคือนักปราศรัย มีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พูดน้อยกว่าผู้นำและไม่จำเป็นต้อง เคารพวิชา ของครูคนใด ในท่ามกลางม็อบ ดนตรี เสียงเพลง และสังคมใหม่ของพันธมิตรฯ เสียงปรบมือ โห่ร้องและการยอมรับ
นอกจากนั้นวิชาการใหม่เรื่อง เผด็จการรัฐสภา ยังมิได้จำกัดตัวอยู่แค่บนเวทีพันธมิตร หากแต่ไปอยู่ในบทพูดของนักจัดรายการวิทยุรัฐสภาอีกด้วย และนี่คือการเริ่มต้น Change ทางความคิดในระดับหนึ่ง อย่างไรก็ดีสำหรับชนชั้นนำทางความคิด ผู้ถือกุมทฤษฎีและเชื่อมั่นว่าประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยมาตลอด 76 ปีโดยเฉพาะในกลุ่มนักวิชาการรัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ ปรากฏการณ์นี้ทำให้พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ เพราะนั่นเท่ากับว่าเนื้อหาวิชาที่สอนกันอยู่ในระบบการศึกษาไทยนั้นใช้ไม่ได้ โครงสร้างทางความคิด เนื้อหาความรู้ที่พวกเขาเพียรร่ำเรียนมากลายเป็นวิชาที่ ไร้คุณค่า ต่อสังคมไทย คุณค่าความเป็นนักวิชาการโดยอาชีพและความรู้ที่เขามีจะถูกลดบทบาทลง และนั่นคืออุปสรรคของการเปลี่ยนแปลงของประเทศไทย
ภาษาวิชาการในขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติบัญญัติศัพท์เรียกคนกลุ่มนี้ของสังคมว่า นักวิชาการเสาค้ำรัฐธรรมนูญ และกลุ่มเสาค้ำใหญ่ยักษ์ที่สุดรวมศูนย์อยู่ที่สถาบันของชนชั้นปกครองที่ชื่อว่า สถาบันพระปกเกล้าฯ
|