Revolutionary Press Agency : Online Journal and News Agency for Peace
สำนักสื่อปฏิวัติ  : วารสารข่าวออนไลน์เพื่อสันติภาพ
8 มิ.ย. 2554 กองหน้าประชาชนรุ่นใหม่ อนุสรณ์ สมอ่อน ตอบคำถามคาใจทำไมต้องปฏิวัติประชาธิปไตย? 
ความจริงของสถานการณ์
- ตอน ๔ -

เขียนโดย นางแก้ว โพส ๒๕ ก.ค.๒๕๕๒:๑๘.๕๐ น.
เผยแพร่ครั้งแรก ๒๘ พ.ย.๒๕๕๑ 
 
“  ปรากฏการณ์ดับล้างมิจฉาทิฎฐิของหลุมดำแห่งปัญญาสู่การดำรงอยู่จริงของอหิงสาพุทธด้วยการลงมือปฏิบัติรัฐบาลเฉพาะกาล”  ”
 
  
         ในตอนที่แล้วได้กล่าวถึงแก่นปัญหาและความจริงหลายระดับ  ความจริงสูงสุดซึ่งเป็นความจริงแห่งธรรมเป็นเรื่องที่ลบล้างไม่ได้   ผู้ใดก็แล้วแต่คิดลบล้างหลักธรรม  กำลังก่อบาปใหญ่หลวงให้ตัวเอง       ปรากฏการณ์ล่าสุดจากบทความชื่อ “อหิงสาตายแล้ว” ของ  “สิริอัญญา” หรือที่รู้จักกันในนามของไพศาล พืชมงคล กำลังสะท้อนมิจฉาทิฎฐิตัวโตจากหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ที่กำลังส่อสัญญาณความเสื่อมอย่างถึงที่สุดของการอธิบายการกระทำต่อคนทั้งประเทศเพื่อนำสู่ความเคลื่อนไหวรุนแรง  
 
          บทความของไพศาล พืชมงคล ปรากฏขึ้นหลังกลิ่นอายของการนองเลือดและความตายอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเกิดการยิงระเบิดถล่มบริเวณหน้าเวทีพันธมิตรในคืนวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  เกิดการประกาศสงครามครั้งสุดท้ายกันเสียงขรมทั้งบนเวที ทั้งนอกเวที สู่การนัดดวลกันต่างเวทีระหว่างกลุ่มคนเสื้อเหลืองและคนเสื้อแดงในวันที่ 23 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  
 
         ช่วงระหว่างวันที่ 19 ถึงวันที่ 23 คือการประกอบกิจกรรมทุกวิถีทางอธิบายความชอบธรรมของแต่ละฝ่ายเพื่อ “ปลุกระดม” ผู้คนครั้งยิ่งใหญ่   ทั้งพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองและ นปช.เสื้อแดงต่างพอใจกับ “ จำนวนหัว ” ของคนที่เข้าร่วม    ในขณะที่มีการกล่าวหากันว่านปช.ใช้เงินซื้อคนที่เข้าร่วม  พันธมิตรฯเองก็ต้องจ่ายด้วยราคาฆ่างวดที่แพงกว่า คือการ แห่ศพของเจนกิจ  ประจานการกระทำของฝ่ายตรงข้าม  การพูดเกินจริงของทั้งสองฝ่ายปรากฎชัดขึ้นจนถึงขั้นนำสู่การประกาศ “ สงครามศักดิ์สิทธิ์” ใกล้เคียงสงครามครูเสดเข้าไปทุกที  ราวกับว่าประเทศนี้ไม่ใช่เมืองพุทธอย่างไรอย่างนั้น
 
         แท้จริงแล้วมวลชนพันธมิตรฯไม่มีโอกาสล่วงรู้เลยว่าพวกเขาได้กลายเป็นเครื่องมือของการทำสงครามแนว
ร่วมคอมมิวนิสต์ไปแล้วตามทฤษฎี  “Uprising”   การประกาศสงครามจึงเป็นการประกาศUprising   แบบมือเปล่าไปสู่ Arm Uprising แบบมีอาวุธ ทีละขั้นทีละตอน ตามครรลองความต้องการของแนวร่วมคอมมิวนิสต์กลุ่ม “ซ้ายไร้เดียงสา”  ที่ค่อยๆบ่มเพาะความเกลียดชังอาฆาตมาดร้ายบนเวทีต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง  จนถึงขั้นพร้อมก่อการจลาจล (Riot) ติดอาวุธห้ำหั่นกันทางหนึ่งทางใดทั่วกรุงเทพมหานคร(อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ “คำอธิบายเรื่องยุทธวิธีแนวร่วมในเว็บบอร์ดผู้จัดการ”)
 
         รูปธรรมของมิจฉาทิฎฐิ...โรคทารก (Infantile Disorder)  ในกลุ่มซ้ายไร้เดียงสา
 
         หากสังเกตให้ชัดจะพบว่า  พันธมิตรไม่ได้รักษาการนำทางความคิด และไม่ได้รักษาเวทีทางความคิดอีกต่อไป  พวกเขาลดฐานะตัวเองด้วยการทิ้งฐานะการนำทางความคิดไปสู่ม็อบจนหมดสิ้น   จนอาจเรียกได้ว่า  “สิ้นเนื้อประดาตัวทางความคิด”   พวกเขาใช้แต่อารมณ์และโทษว่า “อหิงสา” ไม่ใช่ยาแก้ได้ทุกขนานดังปรากฎในบทความของสิริอัญญาในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน  จากการค่อยๆเลียบเคียง หยั่งเชิง มวลชนให้ลุกสู้ด้วยการอธิบายบนเวทีผ่านประพันธ์ คุณมีจาก “อหิงสา” มาเป็น “อหิงสวน” และกลายพันธุ์อย่างสิ้นเชิงมาเป็น “อหิงสู้” ในที่สุด            
 
       นี่คือความตกต่ำอย่างยิ่งของนักเคลื่อนไหวทั้งสองฝ่าย     เหตุการณ์การเคลื่อนศพผู้เสียชีวิตโดยพันธมิตรฯเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ไม่ต่างจากเหตุการณ์ 14 ตุลา และ 6 ตุลา 19 ต่างกรรมต่างวาระ และต่างวัย  และที่แตกต่างกันมากที่สุดก็คือความบริสุทธ์ใจในการกระทำของนักศึกษาในอดีตในวัยเฉียด20 ปี   กับการใช้จิตเก็งกำไรหวังผลแตกหักของนักเคลื่อนไหว ที่ผ่านการอยู่ป่าและผ่านงานการเมืองมาจนถึงวัยเฉลี่ย 50 ปี   ในฐานะแกนนำพันธมิตรฯ ผู้ผ่านประสบการณ์การต่อสู้  ในวันปีที่สะสมมา ทำไมพวกเขาผู้อ้างว่าเป็นวีรชนคนตุลาจึงยังคงใช้วิธีการแบบเดิม ?    
 
         หมายความว่าอย่างไร ? หมายความว่าบ้านเมืองไม่พัฒนา  หรือว่าคนกันแน่ที่ไม่พัฒนาแนวทางการต่อสู้ให้ถูกทางแต่ต้น (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ  “ Manager Radio_กระทู้ที่ถูกลบ “ชี้ขาดที่กองทัพม็อบขบวนcounterเป็นได้เพียงกำลังเลือด” )  นักศึกษาทำด้วยความบริสุทธิ์  แต่นักเคลื่อนไหววัย 50 โดยเฉลี่ย กำลังทำเรื่องเดิมที่เขาเคยทำกันมาในอดีต โดยไม่บริสุทธิ์ใจ  
 
         ขบวนการประชาธิปไตยในฐานะผู้ร่วมประสานให้พันธมิตรฯได้มีการเจรจากับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธแต่แรก  และได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยง ด้วยการผลัดวันประกันพรุ่งโดยแกนนำพันธมิตรฯ ทุกคน ในคืนก่อนการยิงแก๊สน้ำตาตามที่ได้เคยอธิบายไปในเมล์ฉบับก่อน ได้ทำการเสนอแนวทางแก้ปัญหาและการนำทางความคิดสูงสุดคือ การนำทางจิตวิญญาณ  หากแต่พันธมิตร กลับไม่รับ (อ่านเพิ่มเติมในไฟล์แนบจดหมายปะหน้าเมล์ความจริงสถานการณ์) จนมาถึงทุกวันนี้ พวกเขาใช้การสูญเสียชีวิตเพื่อนมนุษย์เป็นเงื่อนไขในการเคลื่อนไหวสู่แนวรุนแรงด้วยการปลุกระดมต่อ ตามยุทธวิธีคอมมิวนิสต์   ในปีพ.ศ.นี้พวกเขาไม่ใช่นักศึกษายุคตุลาวัยไม่เดียงสาที่ทำด้วยความบริสุทธิ์ใจอีกต่อไป หากแต่พวกเขาคือผู้ใหญ่ที่กำลังทำผิดซ้ำซากอย่างมีเจตนาแอบแฝงซ่อนเร้นแบบ “ซ้ายทารก” หรือ “ซ้ายไร้เดียงสา” หรือที่คอมมิวนิสต์นิยมวิจารณ์กันเองสำหรับผู้ที่เข้าไม่ถึงอุดมการณ์ว่าเป็นอาการของ “โรคทารก”  (Infantile Disorder) นั่นเอง
 
         นี่ไม่ใช่การกล่าวหา  หากแต่เป็นข้อเท็จจริง ที่ปรากฏชัดมีหลักฐานพิสูจน์ได้จริง! การต่อสู้ฝ่ายสันติแบบอหิงสาได้ทำการยกระดับความคิดผู้คนอย่างสร้างสรรค์     แต่พันธมิตรฯกลับลดระดับความคิดสู่ความตกต่ำทางอารมณ์และจิตใจ    
 
        ปรากฏการณ์นี้สะท้อนอะไรบ้าง ?  นี่คือสิ่งสะท้อนว่าพันธมิตรใช้ความจริงไม่ครบ  หรืออีกนัยหนึ่งคือเข้าไม่ถึงความจริง  อันเนื่องมาจากไม่ยอมรับความจริง    พวกเขาจึงหยุดพัฒนาและใช้เป็นเพียงแค่ “อารมณ์ ”  ว่ากันตามหลักการการใช้ความจริงไม่ครบ  นำสู่หายนะได้ในที่สุดเหมือนกับที่อดีตคอมมิวนิสต์เคยพ่ายแพ้ต่อนโยบาย 66/23 มาแล้วในอดีต 
 
        การชุมนุมยืดเยื้อของพันธมิตรฯหรือที่เรียกตามภาษานักเคลื่อนไหวฝ่ายซ้ายว่า สงครามยืดเยื้อ (Protracted War) นั้น  ต่างจากการต่อสู้ของเหมา เจ๋อตุงแน่นอน เพราะเป็นสงครามยืดเยื้อแบบล้าหลัง  และไม่ใช่สิ่งที่นักเคลื่อนไหวควรภูมิใจเลย    เพราะไม่มีความก้าวหน้าปรากฏให้เห็น  แต่กลับมีลักษณะถอยหลังเข้าคลอง 
 
         พันธมิตรฯกำลังถูกโดดเดี่ยวจากสังคมอย่างคาดไม่ถึง   การอ้างความอยุติธรรมซึ่งเกิดจากการสูญเสียชีวิตผู้ร่วมชุมนุมเพื่อเป็นเงื่อนไขสู่การเอาคืนแบบใช้อาวุธ  กำลังจะทำให้พวกเขากลายเป็นพวกลุแก่อำนาจ (Power Abuse) จนถึงขั้นทำลายกฎเกณฑ์แห่งความเป็นจริงอย่างน่าเสียดายที่สุด  
 
          การ์ดทางความคิดตั้งรับการ์ดนักรบออกศึกทำลาย
 
         นอกจากการ์ดสู้ทางกายภาพแล้วพันธมิตรฯยังมี  “การ์ดทางความคิด” ทำงานเป็นคณะปรากฎอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการอีกด้วย   กลุ่มเขียนอธิบายในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในบทบาทของคอลัมนิสต์ก็ปรากฏขึ้นทีละคนสองคน สลับเวรยามกันเขียนไม่ต่างจากการ์ดพันธมิตรในชุดเสื้อดำท่ามกลางกองยางล้อรถยนต์รอบทำเนียบรัฐบาล   
 
          ปรากฏการณ์ไอ้โม่งคลุมหน้าถืออาวุธอุบัติขึ้นที่สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมๆกับนักรบศรีวิชัยเหนี่ยวไกปืนยืนจังก้าท้าสายตาสื่อมวลชนกลางวันแสกๆที่ถนนถนนวิภาวดีรังสิต  กำลังสื่อให้เห็นว่าแนวรบพันธมิตรฯ กำลังฟักตัวจาก “การ์ด” เฝ้ายามป้องกันภัยอันตรายไปสู่ “นักก่อการ(ร้าย)” โดยอ้างเหตุผลตลอดหนึ่งสัปดาห์ของการเตรียมการว่าไม่เอาด้วยกับแนวทางอหิงสาอีกต่อไป    พวกเขาประกาศสงคราม Uprising แล้ว  นักรบศรีวิชัยที่เคยกำบังอยู่ตรงกองยางรถยนต์พุ่งตรงออกไปตามถนนหลวงกลางกรุงเปิดตัวอย่างเปิดเผย   เป็นอันชัดเจนว่า  “ อหิงสา ” เป็นเพียงการใช้คำอย่างเป็นยุทธวิธี หลอกลวงตบตามาแต่แรก เพราะไม่เคยปฏิบัติได้จริง โดยมีขบวนฯอธิบายประกบมาโดยตลอด   
 
           นั่นคือการ์ด ที่ทำหน้าที่ต่างกัน  ส่วนการ์ดทางความคิดนั้น ยังทำการรุกไม่ได้ เพราะยังคงดำรงสถานะเพียงการ์ดตั้งรับที่ชี้นำทางความคิดไม่ได้ เป็นเพียง  “ การ์ดทางความคิด ” เท่านั้น   ที่ต้องชี้ให้เห็นชัดก็คือ การ์ดทางความคิด ทำหน้าที่กรุยทางด้วยการอธิบายความชอบธรรมให้การ์ดนักก่อการ(ร้าย) ทำการพกอาวุธ ถือไม้ เดินอาดๆไปทั่วเมืองหลวง โดยมีคำอธิบายขั้นสูงสุดผ่านบทความของสิริอัญญาว่า “อหิงสาตายแล้ว”  
 
           สถานการณ์ในขณะนี้ แนวร่วมคอมมิวนิสต์ฝั่งพันธมิตรฯเป็นถึงสว.  สนช. เป็นผู้บริหารหนังสือพิมพ์
เป็นคอลัมนิสต์ เป็นฯลฯ   แต่กลับทำเรื่องล้าหลัง ตบตาแบบเด็กๆไม่เดียงสาได้   นักวิชาการฝ่ายซ้ายได้วิจารณ์ฝ่ายอนุรักษ์ขวาตกขอบเรื่องราชประชาสมาสัยว่าเสนอแนวทาง “ถอยหลังเข้าคลอง” ไว้แต่เพียงฝ่ายเดียว  มาคราวนี้การกระทำของแนวร่วมฯฝ่ายซ้ายในกลุ่มแกนนำพันธมิตรฯ  กำลังทำเรื่องแบบ “ซ้ายไร้เดียงสา” ที่เลวร้ายกว่า   คือแบบ
“ ถอยหลังตกคลอง” เลยทีเดียว   
 
          สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นจากอะไรไม่ได้เลย นอกจากความไม่รู้ หรืออวิชชา  เกิดจากการที่บุคคลเอง ไม่ได้พัฒนา เพราะไม่ได้รับแนวทางที่ถูกต้องอันมีสาเหตุมาจากการปฏิเสธการรับรู้สิ่งที่ถูกต้องแต่แรกนั่นเอง     มิได้เป็นคำกล่าวเกินจริงแต่อย่างใดเลยที่จะฟันธงลงไปว่านักคิดนักเขียนอิงเวทีพันธมิตรฯ กำลังพบกับอุปสรรคใหญ่หลวงของหลุมดำ หรือสุญญากาศทางความคิด  เป็นนักคิดที่หมดบทบาท เพราะไม่รู้จะคิดจากหลักวิธีอะไร  อันเนื่องมาจากไม่เคยคิดจะค้นคว้าจากการปฏิบัติให้ประจักษ์เอง   แต่ชอบอ้าง อาศัยตำรา ตะวันตก อ้างตำราครูบาอาจารย์ ในการแสดงความเห็นอยู่ตลอดเวลา โดยละเลยความจริง ไม่แสวงหาความจริง  ห่างไกลจากคุณสมบัติของ “บัณฑิต” ยิ่งขึ้นทุกที
 
          เมื่อเป็นเพียงการ์ดทางความคิด ทำหน้าที่ปกป้อง กำแพงความคิด ทำได้เพียงแค่ตั้งรับ ไม่ได้ค้นพบสิ่งใหม่ ไม่สามารถนำเสนอสิ่งใหม่ได้  และไม่นำไปสู่อะไรได้ จึงไม่สามารถรุกทางความคิดได้  เพราะไร้ซึ่งหลักคิดนั่นเอง
 
           ความเสื่อมถอยทางความคิดคือความพ่ายแพ้ทางธรรม
 
          “สุวิชาโน ภวํ โหติ” 
           ผู้รู้ดี ย่อมเป็นผู้เจริญ (ความรู้ถูก เห็นถูก ในทางธรรม ย่อมนำความเจริญมาให้อย่างแน่นอน)
 
          แนวทางของพระพุทธองค์คือการสอนให้คนลงมือปฏิบัติเอง รู้เอง  ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติยึดแนวทางนี้  จึงลงมือปฏิบัติทฤษฎี “อหิงสาพุทธ” มาโดยตลอดและได้สภาวธรรมอันเป็นปัจจัตตังของตนเอง พิสูจน์ทราบได้หมดจดว่าอหิงสาพุทธมีจริงและยังใช้ในการต่อสู้ได้อยู่ตลอดเวลา   ในฐานะที่เป็นกลุ่มเคลื่อนไหวที่ยึดแนวทางอหิงสามาก่อนกลุ่มพันธมิตรฯ  จนเกิดมรรคผลมาก่อน  จึงถือเอาโอกาสนี้  โต้ตอบกับผู้ใดก็แล้วที่อหังการ์มะมังกากล่าวตู่ว่า “อหิงสาตายแล้ว” เพื่อเป็นการปกป้องพระธรรมคำสอน เพราะมิอาจปล่อยให้การบิดเบือน หลักธรรมปรากฏผ่านเลยไปได้โดยมิได้อธิบาย   ถือเป็นภารกิจจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการ “ชำระ” อรรถะพยัญชนะให้ครบสมบูรณ์บริบูรณ์   การปล่อยให้ผู้รู้ไม่จริง ชี้นำสังคม รังแต่จะเป็น ภัยต่อประเทศชาติมิรู้จบ (อ่านเพิ่มเติมในไฟล์แนบ “อหิงสาพุทธคืออะไร ”)
 
          สิริอัญญาหรือไพศาล พืชมงคล ในฐานะของผู้ที่เคยร่วมทำงานกับพระอุตฺตมญาโณหรือพลเอกชวลิต ยงใจยุทธนั้น  ใช่ว่าจะเป็นคนเขลาไม่รู้จักแนวทางการปฏิวัติของขบวนปฏิวัติเสียทีเดียว  หากแต่บทความที่ปรากฏในวันอาทิตย์ที่ 23 พฤศจิกายน กำลังอธิบาย “กรรมเป็นเผ่าพันธุ์” ของตัวเขาเองต่อหนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่ขึ้นตรงกับการนำของพันธมิตรประชนเพื่อประชาธิปไตย  
 
          ไพศาล พืชมงคลเคยเคลื่อนไหวกับทหารประชาธิปไตยช่วง 66/23 สัมพันธ์กับพระอุตฺตมญาโณหรือพ่อใหญ่จิ๋ว และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ในการทำความคิดทหาร  และผลงานล่าสุดคือการเป็นหนึ่งในผู้ร่วมเขียนแถลงการณ์ให้กับคปค.ในเหตุการณ์รัฐประหาร 19 กันยายน 2549    การพูด การเขียนของไพศาลในช่วงหลังมีเพียงชี้นำให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร  มีทัศนะเพียงต้องการให้มีสงครามกลางเมือง สงครามประชาชน  คล้ายคลึงกับเหตุการณ์ 14 ตุลา ที่บอกว่าแนวสันติใช้ไม่ได้แล้วจึงพานักศึกษาเข้าป่า   เหตุการณ์นี้ก็เช่นกันคือ คำอธิบายว่าอหิงสาตายแล้ว  จึงต้องปล่อยให้เกิดสงครามจลาจลเพื่อเรียกทหารออกมาทำรัฐประหารอีก
 
          คำถามคือเมื่อทำรัฐประหารแล้วได้อะไร ?  คำตอบคือบรรดานักทำแนวร่วมและพวกพ้องวงศ์วานมักได้ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งทางการเมือง  เช่นไพศาล พืชมงคลกับตำแหน่งสนช. และคำนูณ สิทธิสมานกับตำแหน่งสว.เป็นต้น  นี่คือข้อเท็จจริงและเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นสัจธรรม   เจตนาเดียวของการเขียนเพื่อนำประเทศชาติก้าวเข้าสู่วงจรอุบาทว์ทั้งๆที่รู้ดีว่าการทำรัฐประหารไม่ใช่ทางออก   ถ้ามีการทำรัฐประหารก็จะได้ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญอีกในตำแหน่งสนช.   เมื่อเขียนรัฐธรรมนูญเสร็จก็ออกมาปกป้องรัฐธรรมนูญที่ตัวเองเขียน  ถ้ากองทัพทำการยึดอำนาจ ก็จะเกิดการครอบครองตำแหน่งกันได้อีก      ทว่าขณะนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปเพราะการใช้ทหารเป็นเครื่องมือ ทำได้ยากกว่าเดิมเพราะทหารรู้เท่าทันสถานการณ์พอประมาณเสียแล้ว  เลยปิดกั้นโอกาสความต้องการ “แก้มือ” ของตนเองไปเสีย
 
          หากนั่นคือเหตุผลที่แจงมาทั้งหมด การอ้างศาสนาเพื่อเจตนาซ่อนเร้นนั้น นับว่าเป็นกรรมหนัก  เพราะนี่คือ ต้นแห่งมิจฉาทิฎฐิทำลายหลักธรรม ทำลายศาสนาโดยแท้ !เป็นทัศนะของปาปชน คนบาปที่หาญกล้าบิดเบือนพุทธพจน์   
 
          ข้อเท็จจริงคือในอดีตที่อ.สมาน ศรีงามเคยเขียนเรื่อง “เอกภาพของความแตกต่าง” ให้กับพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ และได้รับการนำไปบิดเบือนโดย ไพศาล พืชมงคลด้วยการเขียน “จิ้มกล้อง” พ่อใหญ่จิ๋วที่ตีพิมพ์ในหนังสือโลกสีขาวแจกจ่ายกันในงานวันเกิดพ่อใหญ่จิ๋ว ที่จัดขึ้นณ หอประชุมกองทัพบก  โดยเปลี่ยนชื่อว่า “บิ๊กจิ๋วเป็นเอกภาพของจักรวาล”  สะท้อนตัวตนของไพศาล มานับแต่นั้น ว่าแท้จริง ความสามารถในงานเขียนมีไว้เพื่อ “กรุยทาง” ให้กับตัวเขาเอง
 
          คราวนี้เหตุการณ์ใกล้เคียงกัน เมื่อสิริอัญญา ผู้เขียนถึงธรรมะในผลงานรวมเล่มชื่อ”มหัศจรรย์แห่งลมหายใจ” ในหน้าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการมาก่อน ลุกออกมาปฏิเสธสันติวิธี  แบบอหิงสา โดยมีข้ออ้างว่าคานธีเองก็ทำสำเร็จแค่ระดับเดียว      มีผุ้วิเคราะห์ว่าการเขียนบทความบิดเบือนในครั้งนี้ก็เพื่อ  เป็นการเขียนเพื่อมุ่งหวังผลบางอย่าง  เพื่อรับรองการกระทำของพันธมิตรประการหนึ่ง  และอีกประการหนึ่งเพื่อ ชี้นำทหารให้ออกมาทำรัฐประหาร  เพื่อประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เฉพาะตน  การลุกขึ้นมาจั่วหัวว่าอหิงสาตายแล้ว ในท่ามกลางวิกฤตที่คนทั้งชาติไม่อาจยอมรับการเคลื่อนไหวม็อบของพันธมิตรได้     สำหรับผู้ยึดหลักการยึดหลักธรรม ย่อมมองเห็นว่านี่คือ “ความตีบตัน” ทางปัญญาของนักคิดที่ในที่สุดเผยธาตุแท้ตัวจริงออกมาว่า เขาไม่ได้ยึด “หลักการ” หากแต่ยึด “หลักกู” โดยใช้ภาษาพลิกลิ้นเอาตามใจชอบนั่นเอง 
 
          ภาพความรุนแรงล่าสุด ที่กลุ่มพันธมิตรถือปืนสั้นยิงข้ามถนนวิภาวดีรังสิตซอย3 กำลังเป็นปรากฏการณ์ใหม่   และคนที่เขียนบทความชี้นำทั้งหมด จะต้องออกมารับผิดชอบการเขียนชี้นำสู่ความรุนแรงของเขาเช่นกัน!! 
 
          อหิงสาไม่เคยตายแต่พันธมิตรตายจากอหิงสา
 
         “   คนที่กล่าวว่าอหิงสาตายแล้ว คือคนที่กล่าวตู่พุทธพจน์  เพราะบุคคลผู้นั้นไม่ได้ประพฤติอหิงสา  ”  คำวิจารณ์ของพระมหาบุญถึง ชุตินฺธโร ประธานสภาธรรมาธิปไตยแห่งชาติ  ระหว่างออกรายการทีวีสถานีสุวรรณภูมิ (www.suwannabhumi.tv) เมื่อเวลา 23.00 น.ที่ผ่านมา
 
           พุทธอหิงสาธรรมของจริง คืออะไร?  
 
           เรื่องนี้ทำให้สมณะเพาะพุทธ จันทเสฏโฐ หรือท่านจัน   แห่งสำนักสันติอโศก หนักใจกว่าใครในฐานะผู้ร่วมขึ้นเวทีพันธมิตรฯ   เมื่อสัปดาห์ที่ท่านจันในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณต้องปรึกษาหารือกับอ.สมาน ศรีงามเพื่อขอคำปรึกษาว่าจะดำเนินการยุติความรุนแรงที่ส่อแววว่าไม่ใช่อหิงสาของจริงบนเวทีพันธมิตรได้อย่างไร (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ “การต่อสู้แบบพุทธอหิงสาคืออะไร”) แต่คำเตือนเช่นนี้ก็ดูว่าคงจะสายไป เพราะว่าบนเวทีพันธมิตรฯ เลือกเอาคำปรุงแต่งของคอลัมนิสต์ท่านนี้ไปอ่านแสดงความชอบธรรมบนเวทีนำหน้าผู้นำทางจิตวิญญาณไปเรียบร้อยแล้ว  
 
          อหิงสาพุทธคือการต่อสู้ที่เป็นหลักการ  ทำให้คู่ต่อสู้ได้พัฒนาถ้าสู้เป็น    แต่ถ้าสู้ไม่เป็นเพราะไม่เคยลงมือปฏิบัติได้  ก็อย่าอาจเอื้อมเขียนถึงเสียจะดีกว่า  !
 
          ถ้าหากไม่พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจนก็เท่าว่าเป็นการบิดเบือนพุทธพจน์  ทำลายพระศาสนา  หลอกลวงผู้คนไปสู้รบกัน   ประเด็นคือ คนเขียนรับผิดชอบในสิ่งที่เขียนหรือไม่  ?
 
           ฝ่ายธรรมะ  ฝ่ายสันติจึงต้องออกมาปกป้องพระธรรม  มิใช่การปกป้องพวกพ้อง  และทำหน้าที่ของพุทธบริษัท 4 ด้วยการสืบสานพระพุทธศาสนาต่อไป    การกล่าวตู่พุทธพจน์เพื่อเข้าข้างพวกเดียวกันเองนับว่าเป็นการกระทำจาบจ้วงล่วงต่อพระธรรมของพระศาสดาอย่างไม่น่าให้อภัย   เป็นทั้งบาป  ทั้งอวมงคลของผู้ที่ทั้งคิดและทั้งเขียนเรียงร้อยออกมาเป็นตัวหนังสือ  หากมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แอบซ่อนเพื่อยุยงให้เกิดการทำรัฐประหารโดยอ้างหลักธรรมแบบบิดเบือน  
 
            อหิงสาไม่เคยตายแต่คนลูบคลำศาสนาคือการมีลมหายใจแบบคนตายต่างหาก!!!
 
            การอ้างถึงคานธีราวเป็นศาสดาแห่งอหิงสา ทำให้เข้าใจว่าระดับความเข้าใจของไพศาล พืชมงคลมีไม่พอ
ต่อศาสนาที่ตนเองนับถือ  เพราะขบวนฯได้ทำการอธิบายแยกแยะชัดเจนว่า “อหิงสาพุทธ” ที่ขบวนฯใช้ในการปฏิบัติภารกิจอยู่โดยตลอดนั้นแตกต่างจาก “อหิงสาฮินดู” อย่างไรบ้าง (อ่านเพิ่มเติมไฟล์แนบ”การต่อสู้แบบพุทธอหิงสาคืออะไร)   มหัศจรรย์ลมหายใจของไพศาลจึงน่าจะเป็นลมหายใจของโยคีฮินดูมากกว่าจะเป็นลมหายใจของพุทธะผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
 
           การยุติการพูดถึงอหิงสาของ นักเขียนบทความชี้นำสังคมเช่นไพศาล พืชมงคล น่าจะเป็นเรื่องมงคลสูงสุด  เพราะการพูดถึงอหิงสาที่เป็นแนวทางสูงส่งโดยเข้าไม่ถึงแนวทางด้วยความอาจหาญมาวิจารณ์นั้น  ถือเป็น “อวมงคล” ของผู้ถือแนวทางนี้อย่างสิ้นเชิง  ขบวนฯจำเป็นต้องตอกย้ำให้ชัดเจนในฐานะเป็นผู้ปฏิบัติ “อหิงสา” ส่วนไพศาลนั้น ถ้าปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่เป็น เพราะเข้าไม่ถึงธรรม  โดยสภาวธรรมส่วนตัว  ก็ควรยุติการคิดการเขียนลงเสีย   การอ้างว่าอหิงสาตายแล้ว เป็นความน่าสลดหดหู่ของ ผู้ปฏิบัติธรรม  นอกจากการอิงหลังพวกพ้องเขียนอธิบายเหตุของการกระทำ “พวกเดียวกัน”   สะท้อนธรรมะของพระพุทธองค์เรื่อง “กรรมเป็นเผ่าพันธุ์” ของไพศาล พืชมงคล  หากพันธมิตรฯไม่สามารถปฏิบัติอหิงสาธรรมได้นั้นเป็นเรื่องของพันธมิตรฯ  แต่กลุ่มคนที่ปฏิบัติได้จนเจริญในธรรมได้เช่นขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติเป็นต้นก็จะยังยืนยันทำต่อ โดยเหตุผลสวนหมัดแบบกำปั้นทุบดินว่า “อหิงสายังไม่ตาย”  พันธมิตรฯเองหรือไพศาล พืชมงคลเองต่างหากที่ตายจากคำว่าอหิงสา 
 
           พระพุทธศาสนาไม่เคยด่างพร้อยมีมลทิน ด้วยการใช้ความรุนแรงเป็นข้ออ้างในการรบราฆ่าฟันกัน  ผู้ใดก็แล้วแต่อ้างหลักธรรมในพระพุทธศาสนาในการเคลื่อนไหว  เป็นได้เพียงผู้เกาะเศษธุลีของพระพุทธศาสนาเท่านั้น  หาใช่ผู้อยู่ในบวรพุทธศาสนาไม่!
 
           การดับล้างมิจฉาทิฎฐิฯแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามกับสถาบันฯ
 
          ขบวนฯในฐานะที่ได้ทำการอธิบายชัดเจนว่า ลัทธิรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นมรดกทางความคิดของคณะราษฎรที่ทำการยึดอำนาจสถาบันฯ เป็นฝ่ายขั้วตรงข้ามกับสถาบันพระมหากษัตริย์  หากพันธมิตรฯยังยืนยันว่าจะเคลื่อนไหวเพราะรัฐธรรมนูญ  ก็แสดงว่าพันธมิตรฯคือฝ่ายตรงข้ามกับสถาบันฯ  ดังนั้นจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่อ้างว่าพวกเขาทำเพื่อปกป้องราชบัลลังก์   ในทางตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของพวกเขาก็คือการ เป็นฝ่ายปฏิปักษ์ต่อสถาบันนั่นเอง
 
          ภาพข่าวปรากฏจากสถานีเอ็นบีที มีภาพของชายคนหนึ่งที่ยืนชูภาพพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นเหนือศีรษะข้างเคียงกับคนที่เหนี่ยวไกปืน เป็นภาพกระตุกความคิดขั้นอุกอาจอย่างยิ่ง   เปิดพื้นที่ว่างให้ตีความเอาเองว่าการก่อความรุนแรงหยุดยิงกลางถนนในครั้งนั้นเป็นไปเพื่อปกป้องสถาบันฯหรือเช่นไร    ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม  เป็นภาพที่ชาวไทยไม่อาจยอมรับได้เลยแม้แต่น้อย
 
          ท่ามกลางความปั่นป่วนทั่วแผ่นดินเมื่อการเคลื่อนไหวปิดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองของพันธมิตรฯ ส่งผลให้เกิดความเสียหายในทุกมิติทั้งต่อชาวไทยและชาวต่างชาติจนทำให้เกิดกระแสต่อต้านพันธมิตรฯขึ้นมาอย่างเป็นไปเอง  
 
          หากสีคือสัญลักษณ์  พันธมิตรฯก็ได้ทำลายสีเหลืองอันเป็นสีของสถาบันฯไปเรียบร้อยแล้ว  เพราะทำให้ผู้ใฝ่สันติ  ผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ ไม่กล้าแม้จะใส่เสื้อสีเหลืองอีกต่อไป  การใช้เงื่อนไขรัฐธรรมนูญเคลื่อนไหวกลายเป็นการสร้างเงื่อนไขนำสู่ความรุนแรงแบบเต็มอัตรา
 
          หากสีคือสัญลักษณ์ ของสรรพสิ่ง ปรากฏการณ์การเลือกใช้สี สลับสับเปลี่ยนกันระหว่าง บ้านจันทร์ส่องหล้าด้วยเสื้อสีแดงและบ้านพระอาทิตย์ด้วยเสื้อสีเหลือง  กลับหัวกลับหางสลับสับเปลี่ยนของความเป็นไปได้สู่ความไม่น่าจะเป็นของพระจันทร์สีเหลืองและอาทิตย์สีแดง   เป็นเรื่องชวนคิดเมื่อสีสองแถบที่ไม่ยอมลงให้กันระหว่างสีเหลืองและแดงเมื่อมาวางแถบสีประชันกันก็คือสีของธรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยของอ.ปรีดี พนมยงค์ผู้หวังโค่นสถาบันฯพอดิบพอดี    นี่อาจเป็นปริศนาธรรมบางอย่างที่สะท้อนธาตุแท้ของเหตุปัจจัยเบื้องหลังของการไม่ยอมผสมปนเปกัน  หากแต่ต้องการปรากฎเป็นแถบสีคู่ขนานกันแบบไม่ลงให้แก่กันต่อไป 
 
          ข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ก็คือ ในขณะนี้ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่กำลัง “เอียน” ม็อบพันธมิตรและต่างประณามการกระทำเกินเหตุของพันธมิตรฯ ในเหตุการณ์สนามบินสุวรรณภูมิที่ส่งผลกระทบต่อประเทศชาติ   ไม่ต่างจากสภาวะของประเทศที่ผ่านสงครามและมิปรารถนาจะอยู่ในภาวะสงครามอีก โดยเลือกแสดงความต้องการปฏิเสธสงครามอย่างสิ้นเชิง      ผลสะเทือนระดับโลกในสิ่งที่พันธมิตรฯก่อ ไม่ใช่สิ่งที่ควรภูมิใจเพราะการยึดสนามบินสุวรรณภูมิเป็นการกระทำสวนกระแสโลกที่ผู้คนกำลังแสวงหาสันติภาพ  ปฏิเสธความรุนแรง  แต่พันธมิตรทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามคือไม่เอาสันติ  แต่ใฝ่สงคราม  และช่วยกระพือโหมเชื้อไฟสงครามให้ปะทุเพิ่มขึ้นไม่ต่างจากการเผาเมืองโดยพม่าข้าศึกเลยแม้แต่น้อย
 
          ประชาชนชาวไทยทั่วไปกำลังเกิดความรู้สึกไม่อยากเข้าร่วมกับม็อบ  ไม่ปรารถนาม็อบ และเริ่มต่อต้านม็อบ จนเริ่มปรากฎเค้าลางพร้อมหาทางสว่างให้กับสังคมร่วมกันอย่างเป็นไปเอง  นี่คือข้อเท็จจริงที่ต้องยอมรับให้ได้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายซ้ายที่ป่วยเป็นโรคทารกทั้งหมดทั้งฝั่งเสื้อแดงและฝั่งเสื้อเหลือง               
 
          สถานการณ์ในขณะนี้คือสถานการณ์ในระยะเปลี่ยนผ่านอย่างแท้จริง เป็นปรากฏการณ์สะท้อนการเปลี่ยนแปลงในระดับฐานรากทางความคิด  มิจฉาทิฎฐิที่สะท้อนออกมาเป็นรูปธรรมกำลังถูกสั่นคลอนอย่างรุนแรงอย่างเป็นไปเอง   คือการเปลี่ยนจากสัจธรรมพื้นฐานซึ่งเกิดจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใหม่  ของการถูกครอบงำโดยมิจฉาทิฎฐิ    ซึ่งนับว่าเป็นปรากฏการณ์เปลี่ยนจากแกนภายนอก เปรียบเสมือนการหมุนรอบตัวของโลก ที่การเปลี่ยนจากแกนภายในย่อมเห็นไม่ชัด แต่จะเห็นการเคลื่อนไหวของแกนภายนอกชัดกว่า  เมื่อแกนนำเปลี่ยน  กลุ่มที่อยู่เปลือกนอกที่สุด  จะหลุดสลายหายสิ้นไปก่อน    
 
          ดังนั้น เพื่อก้าวสู่ของถูกจึงจำเป็นต้องลอกแถบสีปรปักษ์สองสีนี้ออกจากเปลือกนอกเพื่อมองทะลุให้เห็นเนื้อในอันหมดจดกว่า  พร้อมจะได้รับการฟูมฟักบ่มเพาะเป็นสีของแก่นแกนอย่างแท้จริง เป็นการ “ดับล้างมิจฉาทิฎฐิ” ให้หมดสิ้นแผ่นดินเพื่อนำสู่การเริ่มต้นใหม่ที่ดีกว่า
 
          พระเจ้าตากฯทรงเล็งเห็นความพินาศของกรุงศรีอยุธยาฯ ที่มิอาจใช้น้ำเร่งดับไฟได้  จึงทรงเปลี่ยนฐานรากใหม่  ด้วยการย้ายกรุงฯ กอบกู้แผ่นดินใหม่    เริ่มจากยกระดับการเมืองสู่สภารู้รักสามัคคีแห่งชาติ  จากนั้นจึงจะยกระดับการต่อสู้ไปสู่พุทธอหิงสาธรรมให้ได้  
         
           เสนอรัฐบาลเฉพาะกาลผ่าทางตัน
     
           ในตอนที่ผ่านมาได้กล่าวว่าพลังสันติที่ใช้แก้ปัญหาต่อสู้กับความรุนแรงในอดีตนั้น สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงทำหน้าที่สำคัญในการถือดุลสยบความรุนแรงมาหลายต่อหลายครั้ง  และเป็นความรุนแรงขั้นวิกฤตถึงขั้นประหัตประหารเอาชีวิตอันเกิดจากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองทั้งสิ้น   ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ตุลา 16 และพฤษภาทมิฬ 37   แต่นั่นเป็นการยุติความรุนแรงผ่านคุณธรรมบุคคลของพระมหากษัตริย์   
 
           ส่วนการยุติความรุนแรงในปี 2523 เพื่อยุติการฆ่าฟันระหว่างกองทัพแดงคอมมิวนิสต์และกองทัพไทยนั้นเป็นการยุติผ่าน “นโยบายชาติ” ขณะนั้นหรือ “นโยบาย 66/23”   ซึ่งนับว่าเป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง    หรือกล่าวอีกแง่มุมหนึ่งคือแท้จริงแล้วการใช้แนวทางสันติแบบมรรคมีองค์แปดในวิถีพุทธนั้นได้เคยถูกนำมาแปรรูปเป็นดุลทางการเมืองมาแล้วในปี 2523 นั่นเอง  และเป็นข้อเสนอทางออกทางเดียวที่พระอุตตมญาโณหรือพล อ. ชวลิต ยงใจยุทธ์ได้เคยเสนอไว้ก่อนลาสิกขาบท
 
          จะเห็นว่านโยบายนั้นมีความสำคัญมากต่อการบริหารราชการแผ่นดิน  การกำหนดนโยบายขึ้นมาเฉพาะกาลนั้นก็เพื่อแก้ปัญหายุติความรุนแรง   นโยบาย 66/23 เป็นนโยบายที่ได้รับการปฏิบัติแก้ปัญหาระหว่างนั้นได้ทันท่วงทีอันเนื่องมาจาก วิกฤตประเทศขณะนั้นเป็นรูปธรรมเด่นชัดมากที่สุดเพราะยุติการฆ่าฟันลงได้    เมื่อเทียบกับการหยุดความรุนแรงด้วยพระบารมีปกเกล้าฯของสถาบันฯแล้วจะเทียบชั้นกันไม่ได้  แต่ก็เป็นปรากฏการณ์การหยุดความรุนแรงที่เกิดจากการคิดค้นของปราชญ์ราชบัณฑิตที่ประยุกต์ใช้หลักการเดียวกันในการแก้ปัญหานั่นก็คือหลักพุทธศาสนานั่นเอง 
 
           การเปลี่ยนประเทศชาตินั้นคือการเปลี่ยนด้วยนโยบาย   มีรูปและนาม  มีความสัมพันธ์ภายในของสรรพสิ่งคือ การใช้แนวทางสันติเป็นตัวขับเคลื่อน  มีรูปคือนโยบาย ไม่ใช่รูปกฎหมาย ไม่ใช่รูปรัฐธรรมนูญ  แต่ใช้นโยบายที่แปลงมาจากจุดมุ่งหมายและเจตนารมณ์เดียวกันคือการสร้างสังคมสันติสุขให้บังเกิดขึ้นด้วยการกำจัดทุกข์ออกไปจากประเทศ  ตามหลักมรรคมีองค์ 8  นโยบายจึงประกอบด้วยหลักการและมรรควิธีในการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมเป็นขั้นเป็นตอนมีที่มาที่ไปชัดเจน
 
           การวิเคราะห์ทุกข์  สาวหาเหตุแห่งทุกข์ จนได้สมุหทัยคือหนทางแก้ปัญหาสู่การดับทุกข์คือกระบวนการนำหลักพุทธธรรมไปสู่การเมืองการปกครอง  ที่เรียกรวมๆว่า “ การประสานโมกษธรรมกับการเมือง” ดังที่ขบวนฯได้ใช้จั่วหัวในการอธิบายมาโดยตลอด 
 
            ทางออกประเทศไทยจึงมีอยู่ทางเดียว คือการสร้าง “รัฐบาลเฉพาะกาล”  เพื่อเป็นทางออกสำคัญ ทำให้ทุกฝ่ายเข้าร่วมมือกัน  ดับล้างมิจฉาทิฎฐิออกจากแผ่นดิน  ดับไฟร้อนที่กำลังเผาประเทศชาติด้วยสัมมาทิฎฐิ   ข้อเสนอที่ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติได้เสนอเรื่อง “การปกครองเฉพาะกาล” หรือ “รัฐบาลเฉพาะกาล” ด้วยการขยายสภาฯให้เป็นสภาของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง  มิใช่สภาของคนส่วนน้อย และเป็น “สภารู้รักสามัคคีแห่งชาติ” 
 
            ทุกศาสนาสอนเรื่องสันติ ไม่ฆ่าฟันกันก็จริง  แต่พุทธศาสนาสอนให้ดับเหตุที่ผิดด้วยมรรค 8  มีองค์นำคือสัมมาทิฎฐิเป็นองค์แรก  การปฏิบัติจริง ประยุกต์ใช้ได้จริง   ข้อเสนอการปกครองเฉพาะกาลซึ่งประยุกต์มาจากหลักธรรมของพระพุทธเจ้าอันประกอบด้วยมรรค 8  จึงมีองค์ประกอบของ “มรรควิธี” เป็นสำคัญมิใช่เพียงแค่หลักการเท่านั้น   เมื่อนำหลักการ วิธีคิด มาใช้ให้เป็นรูปธรรมจึงได้แปรมาเป็น “นโยบาย”  จึงเป็นการประยุกต์ที่สอดคล้องกับเหตุการณ์และใช้แก้ปัญหาทุกข์ของชาติได้ทันท่วงทีเหมือนที่เคยใช้นโยบาย 66/23 ยุติสงครามคอมมิวนิสต์สำเร็จมาก่อนฉันใดฉันนั้น 
 
   

 


         
 (อ่านต่อตอนหน้า)
  
 
         
  
  
  
 อ่านย้อนหลัง ....
  
 



Webboard is offline.